และแล้ววันนี้ลูกพลับก็ตัดสินใจบอกความจริงไป ทั้งสองนั่งเปิดอกคุยถึงเรื่องราวชีวิตของกันและกันให้ฟัง เรื่องของลูกพลับมันมาจากประสบการณ์ชีวิตจริงทุกเรื่อง แต่สำหรับแทนไทนั้นมันคือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา แม้จะรู้สึกผิดที่สร้างเรื่องโกหก แต่หากไม่ทำอย่างนี้คงไม่มีโอกาสได้ดูแลลูกพลับอย่างใกล้ชิดเป็นแน่
“พี่โตคิดยังไงเรื่อง…ที่ผมท้องไม่มีพ่อ” ลูกพลับก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเศร้าเมื่อต้องเล่าถึงเรื่องนี้ให้ใครฟัง แม้จะทำใจได้บ้างแล้วแต่พอนึกถึงใบหน้าแทนไทก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดอีกครั้งจนได้
“นายเป็นคนที่เข้มแข็งมากที่สุดเท่าพี่ที่เคยเห็นมา หากไม่รังเกียจพี่จะขอเป็นพ่อของเด็กได้ไหม อย่างน้อยเด็กที่เกิดมาต้องมีพ่อตามกฎหมายนะ”
“ผม…ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้เลยครับ ป้าปิ่นแนะนำให้พี่ชายของผู้ชายคนนั้นเป็นคนเซ็นรับรองเป็นพ่อให้ เพราะถึงยังไงก็มีศักดิ์เป็นลุง”
“ไม่ได้เด็ดขาดนะ!” เมื่อได้ยินอย่างนั้นแทนไทก็รีบเอ่ยแย้งทันที ลืมตัวไปว่าตอนนี้ตนเองคือนายโต
“ทำไมพี่โตต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยครับ”
“โทษที พี่แค่ไม่เห็นด้วย ใจจริงพี่อยากให้ลองเปิดอกคุยกับพ่อของเด็กก่อน บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดก็ได้นะ ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกหรอกจริงไหม”
“จริงครับ แต่ไม่ใช่คนเลว ๆ อย่างนั้น ชาตินี้ผมไม่มีทางญาติดีด้วยหรอก ผมเกลียดเขาที่สุดในโลก”
ได้ยินอย่างนั้นใบหน้าของคนที่นั่งตรงข้ามก็เจื่อนลงทันที จะทำอย่างไรดีให้ลูกพลับยอมใจอ่อน โกรธเกลียดกันขนาดนี้คงไม่เผาผีแน่ ๆ ยิ่งคิดยิ่งเครียดเหลือเกิน
“ถ้างั้นให้พี่เป็นพ่อของลูกเถอะนะ ในชีวิตคนอย่างพี่คงไม่มีโอกาสได้เป็นพ่อคนแล้วล่ะ นายช่วยทำให้พี่สมหวังในชีวิตสักครั้งได้ไหม” เจ้าตัวทำหน้าเศร้าเพื่อเรียกคะแนนสงสาร คลุกคลีอยู่นานจนรู้ว่าลูกพลับเป็นคนขี้ใจอ่อน ยิ่งตนอยู่ในสภาพนี้ยิ่งน่าจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนได้ง่าย
“งั้น…ก็ได้ครับ ผมจะให้พี่เซ็นรับรองเป็นพ่อของลูก อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปรบกวนคนบ้านนั้น”
“จริงนะ พี่ดีใจมากเลยรู้ไหม”
“ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ทำอย่างกับเป็นลูกตัวเองแท้ ๆ อย่างนั้นล่ะ” ลูกพลับเองก็ยิ้มตามไปด้วย
ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทว่ากลับมีแรงดึงดูดบางอย่างทำให้ไม่อาจละสายตา ยังคงค้างไว้อย่างนั้น แทนไทเอื้อมมือไปสัมผัสที่พวงแก้มขาวอย่างลืมตัว โดยที่อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ปัดป้องและปฏิเสธใด ๆ โน้มใบหน้าเข้าไปอย่างช้า ๆ เล็งสายตาไว้ที่ริมฝีปากทว่าแทนไทเปลี่ยนไปจุมพิตที่พวงแก้มขาวแทน เมื่อได้สติลูกพลับก็รีบผละใบหน้าออกมา ทำไมเขารู้สึกเหมือนโดนมนตร์สะกดให้อยู่นิ่ง ๆ อย่างนี้นะ
“เอ่อ…”
“พี่ขอโทษที่ล่วงเกินนาย พี่รู้ตัวว่าคนอย่างพี่มันคงไม่เหมาะสมกับนายหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คือ…ผมว่ามันเร็วเกินไปไหม เราเพิ่งเจอกันได้ไม่นาน อีกอย่างผมกำลังท้องอยู่มันคงไม่ดี ลูกยังไม่ทันเกิดก็คิดจะหาพ่อใหม่ให้ลูกแล้ว ผมไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
“พี่เข้าใจ พี่จะระวังตัวก็แล้วกัน จะพยายามคิดกับนายแค่พี่น้องเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะยากก็ตาม บางทีหากนายยอมเปิดอกคุยกับพ่อของเด็กอีกครั้ง…”
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมคือคนร่านในสายตาเขาไปแล้ว ทำไมจะต้องกลับไปหาคนที่ดูถูกเหยียดหยามตัวเองด้วยล่ะ”
“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง แต่ตอนนี้อาจจะรู้ใจแล้วก็ได้นะ”
“คนอย่างนั้นจะไปรู้สำนึกอะไร วัน ๆ เอาแต่ทำตัวหล่อหม้อสาวก็เท่านั้น หาสาระอะไรไม่ได้เลย”
“บางทีเขาอาจจะเลิกแล้วก็ได้ คนเราย่อมมีผิดพลาดกันบ้าง พอมีลูกมีเมียแล้วอาจจะเปลี่ยนนิสัยกันได้”
“ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก”
“ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ล่ะ ตอนนี้ก็เปลี่ยนแล้ว”
“เปลี่ยนแล้ว…หมายความว่ายังไงครับพี่โต พี่รู้จักเขาเหรอถึงได้ออกรับแทนขนาดนี้” ลูกพลับรู้สึกหงุดหงิด ส่งสายตามองคนที่นั่งตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง
“เอ่อ…พี่แค่อยากให้นายคิดให้ดีอีกครั้งเท่านั้นเอง พี่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากให้ลูกของนายเกิดมาต้องรู้สึกแบบเดียวกันก็เท่านั้น นายเข้าใจพี่ใช่ไหม” แทนไทพยายามหาเหตุผลมาอ้างเท่าที่จะคิดได้ในตอนนี้ และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเมื่อสายตาของลูกพลับเริ่มอ่อนโยนลงแล้ว
“ผมขอโทษที่โมโหใส่พี่ครับ พูดเรื่องนี้ทีไรมันเครียด”
“เอาเป็นว่าจากนี้ไปพี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก โอเคไหม” คนพูดยกนิ้วก้อยขึ้นมารอ ส่งสายตาอันอบอุ่นจ้องมองดวงหน้าหวาน
“โอเคครับ”
ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลูกพลับ เขายอมเกี่ยวก้อยจนได้ ทุกครั้งที่ได้มองตาผู้ชายคนนี้ก็อดคิดถึงเขาคนนั้นไม่ได้ แต่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แววตาของคนเรามันอาจจะเหมือนกันได้ ในเมื่อคลุกคลีกันมาขนาดนี้แล้วมั่นใจว่าโตอัปลักษณ์จริงและมีขาที่พิการจริง หากจะเป็นคนเดียวกับแทนไทมันคงเกิดขึ้นเฉพาะในละครหรือความฝันเท่านั้น คิดแล้วก็รู้สึกโล่งใจที่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับเขาคนนั้น