“ใครนี่หมายถึงคนอื่นนอกจากคนในครอบครัวเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ รู้อย่างนี้แล้วน้องพลับน่าจะเดาออกว่าตัวเองสำคัญกับเฮียมากแค่ไหน” เขาส่งรอยยิ้มหล่อมีเสน่ห์มาให้ ลูกพลับคลี่ยิ้มตอบตามมารยาท โดยไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรด้วยเลย คิดแค่ว่าเป็นพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น
“ผมไม่ยักรู้เลย เฮียคิดจะจีบผมจริง ๆ หรือครับ”
“ถามอย่างนี้เฮียเสียใจแย่เลย ชัดเจนขนาดนี้แล้วนะ ตอนนี้น้องพลับเองก็ยังไม่มีใครเปิดใจให้เฮียจะได้ไหม เฮียสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดีไม่งอแงเด็ดขาด โอเคไหมครับ”
“นี่เฮียจะมัดมือชกผมงั้นเหรอครับ ผมรู้ว่าเฮียจีบผมแหละ แต่…ผมยังไม่อยากมีแฟนนี่นา อยากจะตั้งใจเรียนเพียงอย่างเดียวก่อน” เขากล่าวอย่างไม่ได้อึดอัดใจอะไร เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้จริงจังอะไรมาก คนระดับเจตน์คงมีคนมาเสนอตัวให้เยอะแยะ เขาเคยได้ยินฮ่องเต้เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ฮ่องเต้ยังเตือนไว้อีกว่าอย่าเพิ่งหลงคารมต้องดูกันไปยาว ๆ
“เสียใจจัง เฮียจะยังพอมีหวังอยู่ไหมนะ”
“ถ้าเฮียรอจนผมเรียนจบได้ ผมจะยอมเป็นแฟนเฮียก็แล้วกัน โอเคไหมครับ”
“โห! นั่นมันอีกตั้งห้าปีเลยนะ ไม่นานไปหน่อยเหรอ”
“เคยได้ยินสำนวนที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คนไหมครับ ผมว่ามันยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยเลยนะ ถ้าเฮียรักผมจริงต้องรอได้สิ”
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารครับ”
เสียงบริกรหนุ่มดังขัดจังหวะพอดี ทำให้คนที่นั่งทำหน้างองุ้มอยู่ตรงหน้านิ่งเงียบ ทว่าสายตาที่ส่งมานั้นกลับมีแต่ความน้อยใจฉายออกมาให้เห็น ลูกพลับได้แต่นั่งยิ้มมองดูความน่าเอ็นดูของเจตน์ ถึงแม้อายุจะสามสิบแล้วแต่ยังมีโหมดวัยรุ่นขี้น้อยใจให้เห็น
ทั้งสองลืมเรื่องที่สนทนากันก่อนหน้านี้ไปครู่หนึ่ง นั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ ทว่าเจตน์ยังคงหยอดคำหวานส่งให้เป็นช่วง ๆ ตามประสาหนุ่มนักรัก โดยมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา
เป็นแทนไทนั่นเองที่บังเอิญมานั่งทานที่ร้านเดียวกัน แต่อยู่กันคนละมุม เขาบังเอิญเห็นลูกพลับเมื่อตอนเดินไปเข้าห้องน้ำ จึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่พยายามห้ามตัวเองแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ทำไมต้องรู้สึกโมโหเมื่อเห็นเด็กคนนั้นอยู่กับผู้ชายคนอื่น มือที่วางอยู่หน้าขาใต้โต๊ะกำแน่นจนสั่น คู่ควงที่นั่งฝั่งตรงข้ามถามว่าเป็นอะไร ทำไมจึงทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ แทนไททำได้เพียงยิ้มรับแล้วปฏิเสธไป ตีเนียนทำเป็นตักอาหารให้ แต่ก็ไม่วายชายตามองไปยังอีกมุมหนึ่ง กลับพบว่าตอนนี้เหลือเพียงโต๊ะเปล่า สองคนนั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“คืนนี้เราจะไปไหนต่อกันดีคะ”
“ค้างคืนที่นี่เลยไหมล่ะ เรามีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ คืนนี้แป้งอยู่ค้างกับพี่แทนได้ทั้งคืนเลยค่ะ” เธอกล่าวด้วยโทนเสียงอ่อนหวานชวนฟัง ส่งสายตาอันหวานเยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างรู้กัน
“ถ้างั้นรีบทานเถอะ เราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นให้นาน ๆ”
“ค่ะพี่แทน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วก็สนใจรับประทานอาหารต่อไป ทว่าแทนไทกลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูบ่อย ๆ อยากจะโทรหาไอ้เด็กคนนั้นเหลือเกิน อยากรู้ว่ามันจะไปไหนกับผู้ชายคนนั้นต่อ ทำไมถึงได้เหลวไหลอย่างนี้ หรือจะโทรบอกป้ามันให้รู้ว่าตอนนี้มันมาคั่วกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ นั่งคิดอย่างนั้นสักพักคู่ขาก็เอ่ยเรียกทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป เขาจะไม่มีทางไขว้เขวกับมันอีกเด็ดขาด
…ก็แค่ไอ้ตุ๊ดหน้าตาดีที่เป็นหลานคนใช้ในบ้าน เขาจะไม่มีทางสนใจมัน
แม้ว่าผู้ชายอย่างเจตน์จะมีความหล่อระดับเทพ ทว่าคู่ควงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้มาจากวิธีสกปรก เขามักจะมอมยาและมัดมือชกคนที่สนใจมาโดยตลอด ด้วยหน้าตาและฐานะที่ใคร ๆ ก็อยากจะคบหาก็ทำให้ทุกคนยอมใจอ่อน แถมยังดีใจต่างหากที่ได้ตกเป็นของเขา
และวันนี้ลูกพลับก็คือหนึ่งในเหยื่อเช่นเดียวกัน หลังจากนั่งรับประทานอาหารไปได้สักพักร่างเล็กก็รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมจึงขอตัวกลับ ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็ต้องหมดสติไปเสียก่อน เจตน์จึงอุ้มร่างเล็กเดินตรงไปยังห้องที่ได้จองไว้ล่วงหน้าเพื่อการนี้โดยเฉพาะ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อหากใครได้เห็นในตอนนี้ คงรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีความเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน
เช้าวันต่อมา…
แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามากระทบบนใบหน้าขาวใส ทำให้เปลือกตาสวยขยับและเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ลูกพลับเริ่มขยับตัวด้วยอาการงัวเงีย มือน้อย ๆ สัมผัสกับบางสิ่งที่อยู่ข้างตัวจนต้องเบิกตาตื่นขึ้นมา ดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมองก็พบว่าเจตน์ได้นอนหลับอยู่ เห็นอย่างนั้นเขาจึงสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง พบว่าตอนนี้ได้สวมใส่ชุดลำลองของใครก็ไม่ทราบได้ หากใครตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงคิดได้อย่างเดียวนั่นคือโดนมอมยา
“เฮียเจตน์! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ฮึก…” คนพูดตะโกนลั่น สะอื้นไห้ด้วยความรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกกับผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน
“น้องพลับตื่นแล้วเหรอครับ” เจตน์งัวเงียตื่นขึ้นมา ขยี้ตาทั้งสองแล้วหันมาส่งยิ้มให้ราวกับเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เฮียทำอะไรผม! เฮียมอมยาผมเหรอ ทำไมเฮียแม่งเลวอย่างนี้ ผมไม่น่าหลงเชื่อคนอย่างเฮียเลย” ลูกพลับตะโกนอย่างสุดเสียง ร่ำไห้ใจจะขาด มองหาชุดนักศึกษาของตัวเองก่อนเดินเข้าไปคว้ามันขึ้นมาถือไว้เตรียมตัวจะออกไปจากห้อง
เจตน์รีบลุกขึ้นทั้งที่ยังสวมใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว เขาเดินตามหลังไปจนถึงประตูห้อง รั้งแขนเรียวไว้ได้ทันเวลา ทว่าลูกพลับหันกลับมาง้างมือฟาดใบหน้าสุดแรง
“เลวที่สุด! ต่อไปนี้ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”
“น้องพลับฟังเฮียก่อน เฮียรักน้องพลับนะยังไงเราก็มีอะไรกันแล้ว ยอมเป็นแฟนกับเฮียเถอะนะ”
“ไปตายซะ!”
ลูกพลับผลักอกสุดแรงแล้วเปิดประตูออกไป แต่เจตน์ยังไม่ยอมละความพยายาม เดินตามหลังไปคว้าแขนเรียวที่หน้าประตูห้องอีกครั้ง แถมยังสวมกอดจากด้านหลัง ลูกพลับพยายามดิ้นรนเพื่อเรียกร้องหาอิสรภาพแต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยผมนะ”
“ไม่ปล่อย จนกว่าน้องพลับจะยอมเป็นแฟนกับเฮีย ยังไงเราก็ได้กันแล้วจะเล่นตัวไปทำไมกันครับ”
“อย่าพูดคำนี้ให้ผมได้ยินอีก ไม่งั้นผมเอาคุณตายแน่”
กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูออกมาเห็นเข้าพอดี เป็นแทนไทนั่นเองที่ออกมาพร้อมกับคู่ขา เห็นภาพนั้นเข้าพอดีถึงกับหน้าขึ้นสี ดูจากสภาพแล้วคงจะจัดหนักกันมาทั้งคืน ไอ้เด็กนั่นสวมใส่ชุดลำลองแถมยังหอบชุดนักศึกษาพะรุงพะรัง อีกคนที่กำลังกอดอยู่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว
…ช่างหน้าไม่อาย!
เมื่อเห็นว่าเป็นใครลูกพลับก็หน้าถอดสี ทั้งสองประสานสายตากันเข้าอย่างจัง แววตาของลูกพลับมีแต่ความตื่นตกใจ แต่แววตาเขามีเพียงความเดือดดาล ลูกพลับออกแรงเฮือกสุดท้ายผลักร่างของเจตน์จนหลุดพ้น รีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้นพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นไม่มีทีท่าจะหยุด มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเขา เหตุใดมันจึงบังเอิญเช่นนี้ เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรกับคนพวกนี้เอาไว้นะ
คิดไปน้ำตาก็ไหล สองเท้าน้อย ๆ ย่ำลงบนพื้นถี่ ๆ จนสะดุดล้ม ขาแพลงจนลุกขึ้นไม่ไหว จึงนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้าโรงแรม ไม่นานก็รู้สึกว่ามีใครบางคนดึงแขนให้ลุกขึ้น จะว่ากระชากก็ย่อมได้เพราะมันรู้สึกเจ็บไม่น้อย
“ร่าน! กลับบ้าน!”
ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่เป็นเสียงของแทนไท เขาถลึงตามองแล้วกระชากให้เดินตามหลังไป แต่ด้วยที่เจ็บข้อเท้าทำให้ลูกพลับไม่สามารถลุกขึ้นได้ อีกฝ่ายจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ตัดสินใจช้อนร่างเล็กขึ้นในท่าเจ้าสาว พาเดินไปที่รถอย่างอารมณ์ฉุนเฉียว ลูกพลับไม่ยอมพูดอะไร ไม่ยอมมองหน้าเขา ทำได้เพียงซบหน้าบนแผงอกแกร่งร้องไห้ แม้รู้ว่าแทนไทคงไม่เต็มใจจะให้ใช้อ้อมอกนี้เพื่อระบายความเจ็บปวดก็ตาม
ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถนั้นมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของลูกพลับดังอยู่ตลอดทาง แม้ว่าแทนไทจะตะโกนสั่งให้หยุดหลายต่อหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถห้ามเสียงสะอื้นได้ ใครไม่ใช่เขาคงไม่รู้ว่ามันเจ็บมากแค่ไหน ที่ต้องโดนผู้ชายสองคนปล้ำในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้ อยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอด
รถคันหรูเคลื่อนล้อเข้ามาในรั้วบ้านแล้วขับไปหยุดที่โรงจอดรถ แทนไทพยายามควบคุมสติให้มากที่สุดเพื่อจะกล่าวอะไรบางอย่าง
“ร้องไห้อย่างกับโดนปล้ำ เล่นละครตบตากูไปเพื่ออะไร มึงแสร้งทำเป็นร้องไห้ไปเพื่ออะไร มึงมันร่าน กูไม่น่าไปสมสู่กับคนอย่างมึงเลย” แทนไทหันไปตวาดลั่นใส่หน้า จนอีกฝ่ายสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ผมมันไม่ดีในสายตาคุณอยู่แล้วนี่ จะทำอะไร จะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผม ขอบคุณที่เคยมาสมสู่กับคนอย่างผม ขอบคุณที่อุตส่าห์ให้ติดรถกลับมาด้วย”
กล่าวอย่างไม่ใส่ใจแล้วเปิดประตูรถ แม้จะยังคงเจ็บข้อเท้าอยู่แต่ก็พยายามฝืนตัวเองลงไปให้ได้ ลูกพลับล้มลงบนพื้นพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ แทนไทนั่งมองดูจากในรถด้วยความสมน้ำหน้า เขาแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าร่างเล็กล้มลงไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับมีเสียงเรียกร้องให้ออกไปช่วยอุ้มพาส่งกลับห้องพัก รอยยิ้มที่เย้ยหยันจางลงเรื่อย ๆ กำลังจะเปิดประตูรถลงไปช่วย ทว่ากลับได้ยินเสียงปิ่นวดีเอ่ยทักหลานชายเสียก่อน จึงต้องนั่งอยู่นิ่ง ๆ มองแม่บ้านเก่าแก่ช่วยพยุงไอ้เด็กนั่นห่างจากรถไปเรื่อย ๆ
“ถ้ามึงโดนปล้ำมาจริง ๆ กูควรจะแตะเนื้อต้องตัวมึงอีกไหมวะ”
แทนไทเอ่ยถามตัวเองอย่างเบาเสียง รู้สึกโกรธและสับสนไปพร้อมกัน โดยยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร เพราะเหตุใดเขาจึงต้องสนใจเรื่องของมันด้วย ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ