“ฝ่าบาทเพคะ!” หยางอวี้หลิงยื่นมือออกไปคว้าตัวลี่หยวนตี้เอาไว้ “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทอย่าไปเลยนะเพคะ…อยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่…” นางใช้คำพูดที่อ่อนโยนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น การร้องขอของหยางอวี้หลิงครั้งนี้ ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงความรักความโปรดปราณ สิ่งที่นางต้องการในครั้งนี้มีเพียงความรักของลี่หยวนตี้ที่มีให้กับสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น
“ตกลง” ลี่หยวนตี้ประทับลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างเตียงโดยที่มือข้างหนึ่งโอบหยางอวี้หลิง ส่วนมือมืออีกข้างกวักมือเรียกหลี่กงกงเข้ามาแล้วตรัสว่า “มอบหมายคนไปสืบเรื่องนี้ให้ข้า! ว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
น้ำตา ค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาของหยางอวี้หลิงช้าๆ
“ฝ่าบาท…” หยางอวี้หลิงเอ่ยขึ้นด้วยปากซีดเผือดของนาง “หม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ ตอนบ่ายหม่อมฉัน…”
หัวข้อการสนทนาที่เกี่ยวข้องกับลูกของนางที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล
หยางอวี้หลิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรักของคนเป็นแม่ของนาง ความรู้สึกของการให้กำเนิด นางยังไม่ทันจะได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านี้ ลูกของนางก็จากนางไปเสียแล้ว? อันตรธานหายไป?
ลี่หยวนตี้ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่กำลังออกมาของหยางอวี้หลิง “อย่าร้องไห้ไปเลย เราสามารถมีลูกกันใหม่ได้ เจ้าพูดถึงตอนบ่าย เกิดอะไรขึ้นตอนบ่ายหรือ? มีเรื่องอะไรหรือ? หลิงเอ๋อร์เจ้ามิต้องกังวล เจ้าบอกกล่าวแก่ข้าได้จะได้ไม่ต้องเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว อีกทั้งจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าทายาทของข้าอีก?”
“ตอนบ่ายวันนี้ หม่อมฉันสั่งลงโทษสตรีที่มามอบของให้หม่อมฉันคนนั้น นาง…ขัดใจหม่อมฉัน หม่อมฉันทนไม่ไหวจึงอดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่อยู่ แต่ผลสุดท้ายกลับ…” หยางอวี้หลิงหลับตาทั้งสองข้างของตัวเองลง พยายามที่จะข่มกลั้นไม่ให้ความโกรธแค้นของตนปรากฏออกมาได้
มุมปากทั้งสองด้านของลี่หยวนตี้หยักขึ้น แต่เพียงชั่วขณะก็หายไปไร้ร่องรอย “ใช่คนของท่านพ่อตาหรือไม่? เหตุใดคนของท่านพ่อตาถึงไม่มีความคิดถึงเพียงนี้? ในเมื่อ…หลิงเอ๋อร์แล้วเช่นนี้เจ้าจะให้ข้าเข้าหน้ากับพ่อของเจ้าได้อย่างไร!”
“จริงด้วย…” หยางอวี้หลิงหันหน้าเข้ามา “เหตุใดถึงเป็นคนของท่านพ่อได้…”
“ฝ่าบาท” หลี่กงกงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากปากประตู แล้วเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า “ฝ่าบาท หยางตาอิ้งขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“หยางตาอิ้ง?” ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้ว ราวกับนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร
“คนผู้นี้คือ…” หลี่กงกงเอ่ยขึ้น แล้วเตือนอย่างระมัดระวังว่า “คนที่ใต้เท้าหยางส่งตัวให้ท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นน้องสาวไม่แท้ของของหยางกุ้ยเหรินพะย่ะค่ะ…”
หลี่กงกงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา แต่ในตำหนักที่เงียบสงัดไร้ที่ใดเปรียบเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่เบาเพียงใดก็ถูกขยายขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แน่นอนว่าหยางอวี้หลิงได้ยินการรายงานของหยางกงกงในครั้งนี้ด้วย
“นางมาด้วยเหตุใดกัน? กลัวว่าที่นี่จะยังไม่วุ่นวายพอหรืออย่างไร?
“หยางตาอิ้งบอกว่า หยางอวี้หลิงจะอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกลางดึก ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ควรแวะมาดูสักหน่อย ดังนั้นจึง…”
“ฝ่าบาทเพคะ” หยางอวี้หลิงหันหน้ามายิ้มหวานหยดย้อยให้ “ฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันก็มิสะดวกที่จะปรณนิบัติพระองค์ ในเมื่อน้องสาวมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่าบาททรงออกไปพบนางเถิดเพคะ จะอย่างไรตอนนี้ก็เป็นช่วงกลางดึก หากหนาวจนไม่สบายไปจะทำอย่างไร”
“แต่…” ลี่หยวนตี้คล้ายยังกังวล “แต่หลิงเอ๋อร์…เฮ้อ เอาล่ะ หมอหลวงหลี่ดูแลหยางกุ้ยเหรินให้ดีด้วย ข้าไปแล้วจะรีบกลับมา”
“พะย่ะค่ะ น้อมส่งฝ่าบาท”
“น้อมส่งฝ่าบาท!” ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นทุกคนคุกเข่าลงส่งลี่หยวนตี้
“พระสนมเพคะ!” ตอนนี้ลี่หยวนตี้ไม่อยู่แล้ว หลิงเซียงจึงไม่จำเป็นต้องรักษากิริยาอีกต่อไป นางรีบเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเตียง ทำความเคารพแล้วนั่งลงกับพื้น “เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ บ่าว หากบ่าวสังเกตอาการของพระสนมได้แต่แรก…”
“เฮอะ” หยางอวี้หลิงแค่นหัวเราะ แล้วพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าผิดที่ไหนกัน คนที่ผิดเป็นข้าต่างหาก”
ตัวเองกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่โดนโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมัวแต่มานั่งเสวยสุข ลำพองตนอยู่ตรงนี้อีก!
ท่านพ่อวางแผนจะตัดหางนางแล้วใช่หรือไม่? หรือว่าเพียงการปฏิบัติตัวไม่รอบคอบของตนในวันงานฉลองวสันตฤดูแค่นั้น อาจจะทำให้เขาไม่พอใจ หรือเรื่องเล็กน้อยเท่านี้จะทำให้ท่านพ่อเมินเฉยต่อนางแล้ว?”
น่าขันอะไรเช่นนี้! นางมีตำแหน่งอยู่ในวังหลวงแห่งนี้มาตั้งกี่ปีแล้ว คงมิได้จะลองส่งน้องสาว แม่ตาอิ้งอะไรนั่นเข้ามาเพื่อแทนที่ตำแหน่งนางกระมัง?
หากท่านไม่เมตตาข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่ยุติธรรมก็แล้วกัน!
“พระสนม…” เมื่อหลิงเซียงเห็นความเคียดแค้นในแววตาของหยางอวี้หลิงดังนั้นใจของนางก็เริ่มเต้นแรง “บางที…ตอนนี้พระสนมอาจจะไม่ควรคิดถึงเรื่องราวหนักใจเหล่านี้อีกแล้ว ตอนนี้การดูแลรักษาร่างกายของตนให้ดีถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า” หลิงเซียงค่อยๆ พยุงหยางอวี้หลิงนอนลงแล้วดึงผ่าห่มขึ้นมาห่มให้
“ใช่แล้ว ข้าต้องดูแลร่างกายของตนให้ดีก่อน” หากไม่รักษาตัวเองให้หายจะไปจัดการพวกที่เห็นว่าเรื่องของนางเป็นเรื่องตลกได้อย่างไร?
“พระสนม” เมื่อสบโอกาสหมอหลวงหลี่จึงเอ่ยขึ้น “ตามความเห็นของหม่อมฉัน ตอนนี้พระสนมยังสาว แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับร่างกายมากนัก แต่ก็ต้องดูแลรักษาตัวเองให้ดี เพื่อแผนการในวันข้างหน้า หม่อมฉันขอแนะนำว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ พระสนมมิควรนอนเตียงเดียวกับฝ่าบาท”
“หนึ่งเดือนเลยหรือ…” หยางอวี้หลิงทบทวนคำพูดนั้นอีกครั้งหนึ่งเบาๆ “ได้”
“เช่นนี้แล้ว หม่อมฉันขอตัวไปจัดยาบำรุงให้พระสนมก่อน พระสนมพักผ่อนให้มากๆ หม่อมฉันขอตัวก่อน”
“ไปเถิด”
“หม่อมฉันทูลลา”
พระตำหนักหย่างซิน
“ฝ่าบาท” นักสืบกำลังคุกเข่ารายงานอยู่ด้านใน
ลี่หยวนตี้พลิกดูรายงานที่อยู่ในมือของตนพลางอมยิ้มแล้วตรัสว่า “เป็นอย่างไรบ้าง คนผู้นั้นสารภาพออกมาบ้างหรือยัง?”
“ปากแข็งมากพะย่ะค่ะ แต่จนถึงตอนนี้ก็พอจะสารภาพข้อมูลออกมาบ้างแล้ว”
“หากปากไม่แข็ง จะถูกส่งตัวเข้ามาในวังได้อย่างไร” ลี่หยวนตี้วางพู่กันในมือลง “นางพูดอะไรบ้าง”
“ต่างจากที่ฝ่าบาททรงเดาไว้ไม่มาก ตระกูลหยางเริ่มเตรียมการแล้ว”
“เมื่อใด?”
“คนผู้นั้นบอกว่าไม่รู้เวลาที่แน่ชัด รู้เพียงว่าภายในสองเดือนนี้”
“สองเดือนหรือ…” ลี่หยวนตี้ลุกขึ้นยืน เดินเอามือไพล่หลังไปยังหน้าต่าง ผ่านไปเป็นเวลานานจึงตรัสว่า “จำไว้ว่าเตรียมข่าวของหยางอวี้หลิงไว้ให้พร้อม เวลาสองเดือนก็เพียงพอ”
“พะย่ะค่ะ” นักสืบก้มหน้า “ฝ่าบาท แล้วหยางตาอิ้งเล่า…?”
“ล้วนเป็นพี่น้องตระกูลหยางด้วยกันทั้งสิ้น ข้าย่อมให้พวกนางไปมาหาสู่กัน มีความเป็นห่วงเป็นใยต่อกันอยู่แล้ว” ลี่หยวนตี้ยิ้ม “อีกทั้งวันนี้ช่วงดึกหยางตาอิ้งยังไม่ลืมที่จะมาเยี่ยมพี่สาว ความมีน้ำใจระหว่างพี่น้องทำให้ข้าตื้นตันใจยิ่ง รับคำสั่งของข้าไปว่าให้มอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตอบแทนความเป็นห่วงเป็นใยนี้”
“พะย่ะค่ะ” นักสืบรับคำ
“ไปได้แล้ว”
เมื่อนักสืบออกไป ภายในห้องนั้นจึงเหลือแต่ลี่หยวนตี้เพียงผู้เดียว ลี่หยวนตี้ยื่นมือออกไปส่องกับแสงจันทร์ เหม่อลอยอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงดึงมือกลับ
ในวังหลวงแห่งนี้ สิ่งที่ไม่เคยขาดหายมาก่อนเลยคือมือที่เปื้อนรอยเลือดเช่นนี้ ทุกผู้ทุกคนต่างมิอาจหลีกพ้น
……
“หนานกงจวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในเรือนของนาง สตรีผู้มีท่าทางเยือกเย็น นางอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ผู้ใดพอจะบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดจวิ้นจู่ผู้นี้ถึงได้มาที่เรือนของนางโดยไม่บออกกล่าวนางสักคำ!
“เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทีกังวลเช่นนั้น?” หนานกงมู่เสวี่ยวางถ้วยน้ำชาในมือลงคล้ายไม่เข้าใจสาเหตุ “ที่นี่มิใช่บ้านของเจ้าหรอกหรือ?”