ลิขิตกลกาล 77 ช่วยชีวิต

ตอนที่ 77 ช่วยชีวิต

ด้านนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สุกใส เสียงนกร้องสอดประสาน ทว่าเสียงนี้กลับมิได้ดังกวนใจ เนื่องจากทั่วบริเวณวัดฝ่าฝัวเงียบสงัดอย่างยิ่ง เสียงนกและแมลงแม้ร้องเบาๆ เช่นนี้แต่กลับเติมความมีชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศรอบด้านมากยิ่งขึ้น

 

 

ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน เมื่อนางสวมเสื้อผ้าด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่น

 

 

เนื่องจากวันนี้นางอยู่กับหรงซู่แทบทั้งวัน นางจึงมิได้เดินดูรอบๆ บริเวณวัดฝ่าฝัวเลย แต่จะว่าไปนางมาที่นี่ก็เพื่อไหว้พระและแก้บน ดังนั้นจะไม่ให้แวะไปเลยได้อย่างไร?  มิเช่นนั้นตอนที่จะต้องกลับไปรายงานอันเพ่ยอิง ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่านางจะไม่มีอะไรกลับไปรายงาน

 

 

เจ้าไปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใดที่วัดฝ่าฝัวมาหรือ?

 

 

ไม่รู้เจ้าค่ะ…ลืมไปแล้ว

 

 

คำตอบนี้คงทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนอย่างแน่นอน…

 

 

ซูเหลียนอวิ้นลูบหัวเข่าและข้อศอกของตัวเองจึงรู้สึกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วเพราะแผลเริ่มตกสะเก็ด นั่นหมายความว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว สามารถออกไปข้างนอกได้

 

 

ซูเหลียนอวิ้นผลักหลังคาด้านบนเปิดออก สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด และรับรู้ถึงลมเย็นยามดึกที่พัดผ่าน นางลูบแขนตัวเองไปมา จริงอย่างที่ว่าไว้ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เพราะยืนอยู่บนที่สูงทัศนียภาพเบื้องหน้าจึงไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

แต่พอต้องกระโดดไปกระโดดมาเช่นนี้ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกว่าวิชาตัวเบาอะไรนี่ใช้แรงเยอะกว่าเดินขึ้นมาด้วยซ้ำ นางจึงกลับลงมาเดินตามปกติ

 

 

นางเดินเล่นทอดน่องเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รีบร้อน สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นจึงเดินไปหยุดนั่งลงตรงหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

 

 

นางแหงนมองใบหน้ามีอายุที่ดูมีเมตตาธรรมนั้น ตอนนั้นเองในใจของนางจึงบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเปี่ยมล้น

 

 

นางอยากไหว้ขอพรจากพระพุทธรูปองค์นี้

 

 

ตั้งแต่นางกลับมาเกิดใหม่ ในใจลึกๆ ของซูเหลียนอวิ้นเริ่มเกิดความหวั่นเกรงต่อสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้

 

 

เนื่องจากเมื่อก่อนนางเป็นคนที่เคยไม่เชื่อเรื่องราวภูตผีปีศาจ แต่หลังจากที่นางได้สัมผัสและประสบมาด้วยตนเอง นางก็เริ่มรู้สึกว่าบนโลกใบนี้จะต้องมีบางสิ่งที่มีตัวตนอยู่

 

 

เราสามารถเพิกเฉยและทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ แต่เราไม่สามารถดูถูกและลบหลู่สิ่งเหล่านี้ได้

 

 

ซูเหลียนอวิ้นลากเบาะหวายรองนั่งเข้ามาแล้วนั่งคุกเข่าบนนั้นอย่างระมัดระวัง นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้บาดแผลบริเวณหัวเข่าของตนสัมผัสพื้น

 

 

นางประนมมือขึ้นและหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ลูกขอนมัสการองค์พระโปรดคุ้มครองครอบครัวของลูกให้มีสุขภาพแข็งแรง ปกป้องคุ้มครองให้คนรักของลูกมีแต่ความสุขและขอให้ลูก…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ ซูเหลียนอวิ้นพลันเบิกตากว้าง เพราะนางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกโบสถ์

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นเข้ามาที่นี่?” บุรุษร่างผอมบางผู้หนึ่งเอ่ยปากถาม

 

 

“ถึงอย่างไรก็มาทางนี้แน่ หากไม่ใช่หลังนี้ก็จะต้องเป็นหลังอื่น พวกเราค่อยๆ หาไปทีละหลังจะต้องหาพบอย่างแน่นอน”

 

 

“พี่ใหญ่เฉียบแหลมยิ่ง”

 

 

ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังหลบอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชา

 

 

บางทีนางอาจจะมีสัญชาตญาณในการระวังตัวสูงเกินไปกระมัง หรืออาจจะเป็นเพราะนางรู้สึกว่านางต้องระแวดระวังทั้งสองคนนี้เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามเพียงนางได้ยินน้ำเสียงของพวกเขาแวบแรก นางไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดแล้วรีบหาที่ซ่อนตัวทันที

 

 

หากไม่คิดถึงเรื่องอื่น ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าไม่ใช่คนทุกคนจะว่างถึงขึ้นไม่ยอมนอนแล้วออกมาไหว้พระตอนดึกดื่นครึ่งคืนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง

 

 

นางเงี่ยหูฟังการสนทนาของคนสองคนนี้ ในใจของนางก็เริ่มตึงเครียดขึ้นทีละน้อย มาหาคนหรือ? แต่ตั้งแต่นางเข้ามาในนี้นางก็ไม่เห็นผู้ใดเข้ามาอีก หรือว่าเขาอยู่ในนี้อยู่แล้ว? เช่นนั้นสองคนนี้มาหาใครกันแน่?

 

 

ตามหานางหรือ? ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากดูจากบุคลิกท่าทางและน้ำเสียงของทั้งสองคนนี้ ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาเป็นนักท่องยุทธภพ แต่นางยังไม่เคยออกไปท่องยุทธภพมาก่อนเลย! จะไปบาดหมางกับนักท่องยุทธภพได้อย่างไร?

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าเด็กนั่นมาทางนี้? ที่นี่มีร่องรอยของคนซะที่ไหนกัน” บุรุษร่างผอมบางผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีก

 

 

“มิผิดแน่ ข้ามั่นใจในสายตาของข้าว่าไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน และ…” เมื่อบุรุษร่างกำยำอีกคนเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มเอ่ยช้าลงเรื่อยๆ “เจ้าดูเบาะหวายนั่น เพิ่งจะมีคนขยับมันมานั่งชัดๆ มิผิดแน่นอน ในโบสถ์นี้เพิ่งจะมีคนเข้ามา”

 

 

โธ่เว้ย! ในใจของซูเหลียนอวิ้นมีเสียงก่นด่าดังขึ้น

 

 

คนเรามิอาจดูแต่ภายนอกจริงๆ เจ้ายักษ์นี่สังเกตละเอียดเพียงนี้เชียวหรือ?  การคาดการณ์ของเขาทำเอาซูเหลียนอวิ้นขนลุกซู่ นางประมาทเกินไปจริงๆ!

 

 

นางจะอยากมาไหว้พระอะไรเอากลางดึกป่านนี้! นอนเล่นอยู่บนเตียงก็ดีแล้ว! หากนอนไม่หลับก็ไปนอนนับดาวเล่นอยู่บนหลังคาก็ได้ นางคิดอุตริอะไรอยู่ถึงอยากจะออกมาไหว้พระได้

 

 

จากท่าทางการพูดของทั้งสองคนนี้แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามาเพื่อแก้แค้น! ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าเอาเข้าจริงๆ หากพวกเขาไม่ได้มาตามแก้แค้นนาง นางก็คงจะโดนฆ่าปิดปากเพราะบังเอิญได้ยินความลับอยู่ดี!

 

 

ซูเหลียนอวิ้นแตะไปที่แขนเสื้อของตนอย่างลนลาน แต่นางกลับต้องผิดหวังในทันที

 

 

เนื่องจากนางได้เปลี่ยนชุดไปแล้ว นางจึงลืมดาบสั้นที่นางพกติดตัวไว้ทุกวันไว้ในเสื้อตัวในนั้น!  ดังนั้นในตอนนี้บนตัวนางจึงมีเพียงยาไม่กี่ห่อของหรงซู่ที่นางพกติดตัวเอาไว้รักษาบาดแผลก็เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้พกอะไรมาทั้งสิ้น

 

 

รวมถึงนกหวีดตัวนั้นที่หลานเย่ว์ให้นางในวันนี้ด้วย เมื่อนางพบหน้าหลานเย่ว์ นางก็รีบนำมันคืนเจ้าของไปทันที

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงฝีเท้าที่ยิ่งใกล้เข้ามา เหงื่อชั้นบางๆ ก็เริ่มไหลออกมาทั่วบริเวณกลางฝ่ามือ

 

 

สุดท้ายนางจึงตัดสินใจ เช่นนั้นลองพนันดูสักตั้ง เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามหมดหวังอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็เท่ากับรอความตายเท่านั้น

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าเห็นเงาดำๆ เพิ่งวิ่งผ่านไปด้านนอกนั่น!”

 

 

“อะไรนะ?” เจ้ายักษ์นั่นรีบหันขวับไป จึงเห็นเงาดำๆ ใต้แสงจันทร์วิ่งผ่านไป

 

 

“ไป! รีบตามไป!”

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าด้านนอกโบสถ์เงียบสงบแล้ว มือของนางจึงค่อยๆ คลายออก นางค่อยๆถอนใจและคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่พวกเขาจากไปง่ายๆ เช่นนี้

 

 

ดูแล้วนางคงต้องไหว้พระให้มากหน่อยจะได้โชคดีเช่นนี้อีก!

 

 

นี่คือบทสรุปสุดท้ายที่นางสรุปออกมา

 

 

ทว่าขณะที่นางกำลังจะปีนออกจากโต๊ะหมู่บูชาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ๆ มือหนึ่งเอื้อมออกมาจับข้อเท้าของนางไว้แน่น

 

 

โต๊ะหมู่บูชาจำนวนมากนี้ถูกจัดวางต่อกันเป็นแถว บนโต๊ะทุกๆ ตัวจะต้องมีผ้าคลุมโต๊ะ ดังนั้นระหว่างโต๊ะทั้งสองจึงมีผ้าห้อยลงมาคั่นไว้สองผืน ดังนั้นมือๆ นี้จึงน่าจะยื่นออกมาจากทางด้านหลังของผ้าปูโต๊ะอีกตัวหนึ่ง

 

 

กรี๊ดดดดด!

 

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการร้องในใจ

 

 

เนื่องจากนางในตอนนี้…แม้จะตกใจอย่างสุดขีดแต่ก็ต้องกัดฟันทนเอาไว้ ทว่าโชคยังดีที่นางกัดลิ้นตัวเองเอาไว้จึงไม่ได้ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว

 

 

เพราะหากสองคนนั้นยังไม่ได้ไปไหน? หรือบางทีอาจจะไปไกลแล้วแต่ได้เสียงนางร้องขึ้นมา พวกเขาคงจะวกกลับมาอีกรอบแน่นอน

 

 

“ช่วยข้าด้วย”

 

 

ด้านหลังผ้าปูโต๊ะ เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นฟังดูแล้วคล้ายได้รับบาดเจ็บหนักมา หากสูดดมดีๆ ก็จะได้กลิ่นเลือดจางๆ มาจากด้านหลังผ้าผืนนั้น

 

 

ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับพยายามอย่างสุดแรงที่จะสะบัดมือที่คว้าข้อเท้าของนางออก

 

 

เจ้าคือใครกันแน่? พูดออกมาประโยคแรกก็เป็นคำว่าช่วยเจ้าด้วยแล้ว? แถมยังใช้น้ำเสียงออกคำสั่งกับนางอีก หากข้าช่วยเจ้าก็คงโง่จะแย่!

 

 

ตอนนี้ชัดเจนว่าเพราะคนคนนี้ที่ทำให้สองคนนั้นไล่ตามมาถึงที่นี่ได้?

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset