เมื่อได้ยินหยางอวี้หลิงเอ่ยเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่โกรธ เพราะเมื่อครู่นี้ได้เตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว
“หยางกุ้ยเหรินชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเองก็เพิ่งจะได้เรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ จากเมื่อครู่นี้เท่านั้น ก่อนจะเริ่มการแข่งขันมีพี่ชายสองคนกำลังแข่งขันกันอยู่ก่อน หม่อมฉันเพียงดูแมวแล้ววาดออกมาเป็นเสือ[1] ก็เท่านั้น นำสิ่งที่เห็นรวบรวมเข้าด้วยกัน ผู้ใดจะคิดว่าจะเอาชนะในการประลองได้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างยิ่ง เมื่อพูดจบซูเหลียนอวิ้นจึงผายมือไปข้างตัว
เมื่อหยางอวี้หลิงได้ฟังคำอธิบายของนางอารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัวหนักขึ้นอีก เล่นมั่วๆ? แค่ใช้ตาดูเพียงครู่เดียวก็เอาชนะผู้อื่นได้? นี่นางกำลังยกตัวเองว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ หรือว่ากำลังเหน็บแนมน้องสาวของตนที่ฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลานาน แต่กลับสู้นางที่ยืนดูคนเล่นเพียงครู่เดียวไม่ได้?
“เอาล่ะ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในเมื่อผลคะแนนออกมาแล้ว พวกเราอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย อวิ้นเอ๋อร์เจ้าคงยืนจนเมื่อยแล้ว กลับไปนั่งพักผ่อนเถิด” เกาอู่เตี๋ยผายมือออกแล้วเอ่ยขึ้น
“เพคะ ฮองเฮา” นางทำความเคารพ แล้วค่อยๆ ถอยออกไป
เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นเงาด้านหลังที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น ในใจก็เริ่มวิตก การเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างกะทันหันของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่ นางสามารถรับรู้ได้ จึงรีบเรียกอีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายตน
หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กผู้นี้อีก
การประลองของผู้อื่นได้สิ้นสุดไปก่อนหน้านานแล้ว ในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของงานฉลองวสันตฤดู
ลี่หยวนตี้โบกพระหัตถ์ “เริ่มแสดงได้”
เพียงพริบตาเดียว นางรำที่เตรียมตัวพร้อมตั้งแต่แรกก็ออกมาทำการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ครู่เดียวบทเพลงก็กลับมาบรรเลงแบบที่เคยมีในงานฉลอง และบรรยากาศการประลองอันดุเดือดเมื่อครู่ก็ถูกดนตรีบรรเลงขับกล่อมเสียจนหมดสิ้น ไม่ทิ้งร่องรอยใดทิ้งไว้อีก
“เหลียนอวิ้น เจ้ากลับมาเสียที” ที่ด้านข้างหลินเหวินเสี่ยวกลับมานานแล้ว เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นจึงอดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้ “เจ้าทำได้ คมในฝักโดยแท้! เมื่องานฉลองวสันตฤดูสิ้นสุดลง เจ้าคงมีชื่อเป็นสตรีผู้มีชื่อเสียงของเมืองหลวงแล้ว”
“ที่ไหนกันเล่า” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มด้วยสีหน้าซีดเซียว “ข้าก็เป็นแค่แมวตาบอดเจอหนูตาย[2] ที่บังเอิญทำสำเร็จก็เท่านั้น”
เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นนางหน้าซีดเซียวราวกระดาษขาว ก็ไม่พูดอะไรต่ออีก รีบส่งน้ำเย็นที่เตรียมไว้ให้นางตั้งแต่แรกก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ารีบดื่มน้ำเถิด อากาศร้อนขนาดนี้ ทั้งยังตากแดดอยู่เป็นเวลานาน คงจะร้อนจนแทบทนไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบใจ”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปรอบตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจนางแล้ว จึงก้มหน้าขมวดคิ้วเพื่อปกปิดสีหน้าของตน
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ จู่ๆ หัวใจก็เต้นระรัวราวกับได้รับความเจ็บปวด นับว่าโชคยังดีที่เกิดขึ้นระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ความรู้สึกคล้ายเจ็บปวดนั้นก็ทิ้งร่องรอยไว้ไม่จางหาย
งานฉลองหลังจากนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ในตอนสุดท้าย เมื่อทุกคนรวมตัวกันถวายบังคมและฮองเฮาแล้วก็ทยอยลุกขึ้นออกไป ไม่มีใครกล้าอยู่ตรงนั้นมากนัก
“น้องอวิ้น!” ซูมั่วเยี่ยอดทนมาเป็นเวลานาน สำหรับเขานั้นไม่ง่ายเลยที่ต้องทนรอจนถึงตอนจบ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “น้องอวิ้นไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงหน้าซีดเช่นนี้”
“เหลียนอวิ้นคงจะเป็นไข้แดด ท่านพานางกลับไปกินอาหารคลายร้อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อาการน่าจะดีขึ้น” หลินเหวินเสี่ยวเงียบไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่นางไม่ได้กินอะไร ดูอาการตอนนี้แล้วคงไม่พ้นเป็นลมแดดเจ้าค่ะ”
ซูมั่วเยี่ยเหลือบมองหลินเหวินเสี่ยวที่เอ่ยปากเมื่อครู่ จึงเห็นว่านางคือคนที่อยู่กับซูเหลียนอวิ้นมาตลอดช่วงเช้า เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลน้องสาวของข้า ข้าซาบซึ้งในน้ำใจยิ่ง” เมื่อเอ่ยจบ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงรีบพาซูเหลียนอวิ้นออกไปจากที่นั่นทันที
เมื่อซูเหลียนอวิ้นต้องเดินตามพี่ชายที่สาวเท้ารวดเร็วเช่นนี้ ก็เริ่มมีอาการเวียนหัว “ท่านพี่ ท่านมิต้องเดินเร็วเช่นนี้ก็ได้กระมัง ข้ารู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนแล้วเจ้าค่ะ”
ซูมั่วเยี่ยได้ยินเช่นนี้จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับมาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ “เจ้าเพิ่งจะหายป่วยมาเมื่อไม่นานนี้เอง เหตุใดจึงกล้าก่อเรื่องเช่นนี้อีก หากอาการป่วยกำเริบขึ้นมาจะทำอย่างไร! เดิมทีข้าคิดว่าคงจะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าแล้ว ข้าจึงกล้าไปประลองกับผู้อื่น ใครเลยจะคิดว่าเจ้าจะก่อเรื่องเช่นนี้อีก!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นพี่ชายของตนมีโทสะสุดขีด แต่กลับมิกล้าแสดงท่าทีสั่งสอนนาง นางจึงฉีกยิ้มให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “โธ่ มีคนมาขอท้าประลองกับท่านพี่สิดี ท่านพี่เป็นขุนพลหนุ่มแน่น คงมีหลายคนแอบอิจฉาอยากจะจัดการท่านพี่อยู่ในใจ! ในเมื่อพวกเขากล้ามา ก็ควรเปิดโอกาสให้ แต่จะกลับออกไปได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง! ท่านพี่ดูสิ น้องเองก็ชนะเช่นกัน น้องไม่ทำให้ท่านพี่ต้องขายหน้า ท่านพี่อย่าได้โมโหน้องเลยเจ้าค่ะ”
โชคดีที่ตอนนี้ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปพอสมควรแล้ว เพราะหากผู้ใดได้เห็นภาพเช่นนี้ก็คงจะตกใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
ตอนนี้สาวน้อยที่กำลังกอดแขนออดอ้อนพี่ชาย กับสาวน้อยที่อวดดีจองหองไม่ยอมผู้ใดเมื่อครู่นั้น มีใบหน้าเหมือนกัน
ผู้คนล้วนต้องระอาใจเนื่องเพราะสตรีมีความแปรปรวนเช่นนี้ มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าอีกวินาทีต่อมาพวกนางจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร
“พี่ต้วน พี่ต้วน! ท่านดูผู้นั้นสิ” หันชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมชี้นิ้วสั่นเทา “คนเมื่อครู่คือซูเหลียนอวิ้น! พระเจ้า นางมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ด้วยหรือ ข้ายังนึกว่านางเป็นคนหยาบกระด้างมาตั้งแต่เกิดเสียอีก” ไม่ไกลนัก เมื่อหันชิงอวี่หันกลับไปก็บังเอิญเห็นภาพที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังออดอ้อนพี่ชายอยู่พอดี
ต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนั้นจึงหันไปมอง บังเอิญอย่างยิ่งที่สายตาของตนประสานเข้ากับสายตาซูเหลียนอวิ้นพอดี
แต่ในเมื่อสบตากันแล้ว คงจะไม่ดีแน่หากเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเดินเลี่ยงไป ทั้งตัวนางก็มิได้ทำอะไรผิด เหตุใดจะต้องเดินหนีด้วยเล่า ซูเหลียนอวิ้นแอบสนับสนุนความคิดตัวเอง ทว่าร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งแล้วเดินตัวลีบไปหลบอยู่ด้านหลังซูมั่วเยี่ย
“คุณชายน้อยต้วน คุณชายรองหัน” ซูมั่วเยี่ยคารวะอย่างไร้อารมณ์และเตรียมที่จะผละออกไปทันที เพราะหากมองเห็นแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น จะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
“เอาล่ะๆ แม่นางผู้นี้คือ คุณหนูใหญ่ซู?” หันชิงอวี่เบี่ยงตัวไม่รับการคารวะของซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ซู ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ช่างน่าประหลาดใจและตื่นเต้นยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซูจะมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในการเล่นหมากล้อมด้วย หากวันหน้ามีโอกาสเจ้ากับข้ามาประลองกันสักกระดานดีหรือไม่”
ฝีเท้าของซูมั่วเยี่ยหยุดชะงัก เพราะได้ยินน้ำเสียงแบบเกี้ยวสตรีของหันชิงอวี่ดังขึ้น หากเขาเพิกเฉย การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็นับว่าเสียเปล่ามานาน
กล้าพูดจาเกี้ยวพาน้องสาวเขาต่อหน้าต่อตาเลยหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ ตอนนั้นเองจึงกำหมัดไว้แน่นเตรียมเริ่มเปิดศึก
ซูเหลียนอวิ้นเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่ชายใหญ่ ตอนนั้นเองจึงรีบกุมมือซูมั่วเยี่ยเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ที่นี่คือวังหลวงนะเจ้าคะ พวกเราต้องใช้เหตุผลสยบผู้อื่น”
เมื่อเอ่ยขึ้นดังนี้แล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงหันตัวไปแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญของคุณชายรองหันมากเจ้าค่ะ แต่เมื่อข้าเห็นหน้าท่านทำให้ข้านึกถึงพี่ชายใหญ่ของท่านไปด้วย แบบนี้จะดีได้อย่างไร เมื่อข้านึกถึงก็พาให้ท้องไส้ข้าปั่นป่วนรู้สึกรวนไปทั่วทั้งร่าง ดังนั้นเพื่อสุขภาพของตัวข้าเอง ข้าคิดว่าพวกเราอย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีกว่า ถูกหรือไม่เจ้าคะ”
——
[1] ดูแมวแล้ววาดออกมาเป็นเสือ หมายถึง การลอกเลียนแบบ
[2] แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถ แต่ประสบความสำเร็จโดยบังเอิญ