ลิขิตกลกาล 45 องค์ชายเก้า

ตอนที่ 45 องค์ชายเก้า

“เฮ้อ! ไม่รู้จริงๆ นะว่าไปทำอะไรให้องค์ชายทรงกริ้วเข้า อีกประเดี๋ยวคงมีละครสนุกๆ ให้ดูอีกแน่”

 

 

“ถูกต้อง น่าเสียดายที่พวกเราตามไปดูไม่ได้แล้ว”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เพียงแค่ตอนนี้นางเองก็ยังคงงุนงง!

 

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น…

 

 

นางก้มหน้ามองพื้นที่ใช้ก้อนหินปูไว้เป็นชั้นหนาๆ แล้วก็แอบถอนใจ ฮองเฮานะฮองเฮา! คำพูดที่พระองค์เอ่ยไว้ก่อนหน้านั้นถูกต้อง ถูกต้องแม่นยำเกินไปด้วยซ้ำ! เช่นนี้แล้วจะไม่ให้มีคนมาหาเรื่องนางได้อย่างไรเล่า!

 

 

“ตอนนี้เจ้าก็นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนเถิด”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น นางไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาหยุดอยู่ตรงศาลานี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

“ที่นี่หรือเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้น “ที่นี่มีอะไรพิเศษหรือเพคะ” สถานที่แห่งนี้เป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่วิวทิวทัศน์โดยรอบกลับไม่สวยงาม สถานที่เช่นนี้ไม่น่าอยู่และไม่มีอะไรน่ามอง

 

 

“เจ้าอยู่ที่นี่คงไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าแล้ว รออีกสักครู่พองานเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง โดยจะไม่มีใครตำหนิเจ้า” เมื่อพูดจบ หนานกงเช่อจึงนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลา แล้วบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “วุ่นวายจริงๆ”

 

 

ซูเหลียนอวิ้น “…”

 

 

ตัวนางคงไม่ได้ไปทำอะไรให้องค์ชายองค์นี้ทรงกริ้วกระมัง เหตุใดต้องไม่พอใจนางถึงขั้นนี้

 

 

ด้วยเหตุนี้ ซูเหลียนอวิ้น หลีมู่ และหนานกงเช่อจึงนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จากันเป็นเวลาครึ่งก้านธูป และในตอนนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยปากถามว่า “องค์ชายเก้าเพคะ พระองค์ให้หม่อมฉันมาที่นี่ มีคนไหว้วานมาใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าข้อดีอันดับแรกของตนก็คือ นางรู้จักตนเองอย่างปรุโปร่ง หากบอกว่าองค์ชายน้อยจู่ๆ ก็ถูกชะตากับนางจึงนำนางมาที่นี่เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายแล้ว นางคงได้แต่กลอกตาให้กับความคิดนี้

 

 

หนานกงเช่ออายุเพียงห้าขวบ จะไปเข้าใจอะไร! แถมวันนี้ยังเป็นวันแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากัน หากเขาไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องนี้เอง อย่างนั้นก็คงจะมีผู้ใดไหว้วานเขามากระมัง ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างการนั่งอยู่เฉยๆ ก็น่าอึดอัดเกินไปหน่อย หากต้องนั่งเงียบๆ เช่นนี้ต่อไปนางอาจจะต้องอกแตกตายเป็นแน่

 

 

“ไม่มี” หนานกงเช่อคิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นที่อดกลั้นมานานจะถามคำถามนี้ออกมา ตอนนั้นจึงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี จึงทำหน้าตายแล้วเอ่ยว่า “ข้าตัดสินใจจะทำอะไร ต้องรอให้เจ้าอนุญาตด้วยหรือ”

 

 

เจ้าเด็กไม่รู้ประสานี่ไม่น่ารักเลยสักนิด เจ้าคิดเองงั้นหรือ เหตุใดนางจึงรู้สึกไม่เชื่อเลยเล่า

 

 

“อ้อ อย่างนี้เองหรือ เช่นนั้นหม่อมฉันขอขอบพระทัยองค์ชายเก้าเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ช่างเถิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็คงต้องปล่อยไปก่อน

 

 

“อันที่จริง ฮองเฮาเป็นคนให้ข้ามา” หนานกงเช่อเงียบไปนานแล้วเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาเป็นห่วงเจ้ามาก ดังนั้นจึง…”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางรู้อยู่แล้ว แต่เหตุใดจู่ๆ ฮองเฮาจึงหันมาใส่ใจนางเช่นนี้ นางเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง

 

 

เมื่อหนานกงเช่อเห็นว่าตนพูดออกไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจจึงเริ่มอึกอักวางตัวไม่ถูก จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูเหลียนอวิ้น เช่นนี้แล้วคนทั้งสองจึงอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน เพราะซูเหลียนอวิ้นนั่ง ส่วนหนานกงเช่อเป็นฝ่ายยืนอยู่

 

 

“นี่ ข้าพูดอยู่เจ้าไม่ได้ยินหรือ” หนานกงเช่อยื่นมือโบกไปมาตรงหน้า “พูดสิ เจ้าเหม่ออะไรอยู่”

 

 

“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่นางกำลังคิดเรื่องของฮองเฮาอยู่อย่างไรเล่า เจ้าเด็กไม่รู้ประสา ทำไมถึงจะทำให้คนอื่นสบายใจบ้างไม่ได้

 

 

เมื่อหนานกงเช่อเห็นว่านางเริ่มเอ่ยปาก จึงเท้าสะเอวแล้วพูดต่ออีกว่า “สรุปแล้วครั้งนี้เป็นข้าที่ช่วยเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าจะต้องพูดกับฮองเฮาเช่นไร เจ้าคงรู้อยู่แล้วกระมัง” พูดจบก็เชิดคางขึ้น แล้วมองซูเหลียนอวิ้นอย่างเสียไม่ได้

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก “หม่อมฉันจะกล่าวขอบคุณฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วงและดูแลเป็นอย่างดี หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”

 

 

“มิใช่!” เมื่อหนานกงเช่อเห็นนางไม่ตกหลุมพรางก็เริ่มร้อนใจ “เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เพียงนี้! เป็นข้า เป็นข้าที่ช่วยเจ้า! เจ้าต้องพูดกับฮองเฮาถึงความเสียสละของข้า ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง! “

 

 

อ้อ ซูเหลียนอวิ้นนึกออกแล้ว นางว่าแล้วว่าเหตุใดตัวนางจึงรู้สึกประหลาดอย่างยากจะอธิบายกับเรื่องเรื่องนี้ ตอนนี้นางเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว

 

 

มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายเก้าหรือหนานกงเช่อ เป็นนางในนางหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงเมาไม่ได้สติแล้วเข้าหอกับนาง จึงทำให้หนานกงเช่อถือกำเนิดมาด้วยเหตุนี้ โชคร้ายที่นางในผู้นั้นชะตาอาภัพ เมื่อคลอดองค์ชายเก้าออกมาแล้วก็ลาโลกนี้ไป ทิ้งเด็กน้อยผู้หิวโหยเอาไว้บนโลกใบนี้เพียงลำพัง

 

 

เมื่อฮองเฮาเกาอู่เตี๋ยเห็นเด็กผู้นี้เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก จึงรู้สึกทนดูไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนของตนหลายคนไปคอยดูแลจนเด็กผู้นี้ไม่ขาดเหลือสิ่งใด เมื่อฮ่องเต้เห็นว่าฮองเฮาดูแลเด็กผู้นี้ดีมากจึงใช้โอกาสนี้ตรัสว่าจะทรงให้เด็กผู้นี้เป็นลูกบุญธรรมในความดูแลของเกาอู่เตี๋ยดีหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาเกาอู่เตี๋ยก็ยังคงไร้ทายาทสืบทอด

 

 

ผู้ใดจะคิดว่าเกาอู่เตี๋ยจะทรงไม่ยอมรับ เพียงตอบเรียบๆ ว่าเรื่องของโชคชะตามิอาจกำหนด ในตอนแรกนางเพียงเห็นเด็กผู้นี้น่าสงสารจึงดูแลเท่านั้น ทว่าผู้คนที่น่าสงสารมีมากมายนักบนแผ่นดินนี้ ต่อให้นางเป็นฮองเฮาก็คงรับดูแลไว้เองทั้งหมดไม่ไหว อีกทั้งตอนนี้องค์ชายเก้าก็อยู่ในสายตาของฝ่าบาท คงไม่น่าสงสารมากเท่าไหร่แล้วใช่หรือไม่ เมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นว่าฮองเฮาออกปากเช่นนี้จึงปล่อยให้เป็นไปตามความประสงค์ของนาง ด้วยเหตุนี้องค์ชายเก้าจึงเติบโตขึ้นจนถึงปัจจุบัน

 

 

ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะทรงไม่รับหนานกงเช่อไว้อยู่ในความดูแลของตน แต่เขากลับมีชีวิตอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในวังหลวงแห่งนี้ เขาถือว่าเป็นผู้ที่สามารถทำสิ่งใดก็ได้แม้ว่าจะไม่มีสถานะใด แม้ว่านางจะไม่เคยยอมรับเด็กผู้นี้ แต่นางก็ไม่เคยแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อเด็กผู้นี้เช่นกัน

 

 

คนในวังเมื่อเห็นรูปการเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้มงวดกับเขา เพราะทุกคนรู้ว่าหากวันหนึ่งฮองเฮาเกิดเปลี่ยนใจ แล้วยอมรับหนานกงเช่อ หากหนานกงเช่อกลายเป็นโอรสบุญธรรมของฮองเฮาแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาจะเป็นโอรสเพียงคนเดียวของฮองเฮา ซึ่งมีฐานะโดดเด่นเหนือผู้ใด

 

 

หนานกงเช่อเติบโตขึ้นท่ามกลางความซับซ้อนเช่นนี้ ความคิดของเขาจึงเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าฮองเฮาดีกับเขาถึงเพียงนี้เหตุใดกลับไม่ยอมรับเขา มีเรื่องใดที่เขายังทำได้ไม่ดีอีกหรือ หรือว่าเรื่องอื่น เขามิอาจเข้าใจ แต่เขาคิดว่าคนที่เกาอู่เตี๋ยต้องการปกป้อง ตัวเขาเองก็ต้องช่วยปกป้องให้ดีๆ เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ เกาอู่เตี๋ยคงจะเปลี่ยนมุมมองในตัวเขาบ้างกระมัง เพราะหากอาศัยแต่เพียงเกาอู่เตี๋ย ก็จะมีแค่กำลังช่วยเหลือจากคนผู้เดียว เขาหวังว่าเกาอู่เตี๋ยจะมองเห็นว่าตัวเขาสามารถแบ่งเบาภาระนางได้ คนสองคนอย่างไรก็ย่อมดีกว่าคนเพียงคนเดียว

 

 

ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนเข้าใจถึงที่มาที่ไปแล้ว ตอนนั้นเองใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มซับซ้อนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเก้า อยากให้หม่อมฉันพูดเช่นนี้หรือ”

 

 

เมื่อหนานกงเช่อเห็นซูเหลียนอวิ้นยิ้มเช่นนี้ พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น เพราะรอยยิ้มเช่นนี้เขาพบเห็นมามากมายแล้วและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

 

 

รอยยิ้มนี้ของซูเหลียนอวิ้นเหมือนกับรอยยิ้มของต้วนเฉินเซวียน ศัตรูคู่แค้นของเขาไม่มีผิด!

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset