“ข้า ข้า…” หยางอวี้หลิงคิดไม่ถึงว่าเกาอู่เตี๋ยจะมีหมัดเด็ดเช่นนี้ ถึงกับดึงให้นางติดร่างแหเข้าไปด้วย ในตอนนั้นนางจึงเกิดความรู้สึกขึ้นหลังเสือยากจะลง หากนางตอบรับตนเองก็ต้องโดนโบย หากไม่ตอบรับเล่า ตอนนี้มีสายตาตั้งมากมายจดจ้องอยู่ ต่อไปนางจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน
นางได้แต่บังคับใจตนเองไม่ให้ใช้สายตากินเลือดกินเนื้อมองไปทางซูเหลียนอวิ้น ตอนนี้ฮองเฮากำจุดอ่อนของนางอยู่ในมือแล้ว หากใช้สายตาเช่นนั้นอีกเล่า นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นไปเปล่าๆ
เกาอู่เตี๋ยมองเห็นปฏิกิริยาเบื้องหน้าจึงพอคาดคะเนบางอย่างได้ พลันยกมือขึ้นไปสัมผัสมงกุฎหงส์[1] ที่ประดับอยู่บนผมอย่างไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “แต่วันนี้เป็นวันดี ข้าคิดว่าฮ่องเต้คงไม่อยากได้กลิ่นคาวเลือด เช่นนั้นเรื่องของพวกเราก็เอาไว้เท่านี้เถิดน้องหยาง เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“เสด็จพี่…ตรัสได้ถูกต้องเพคะ…” แม้ว่าน้ำเสียงของหยางอวี้หลิงจะยังไม่สลด แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงก้มหัวไม่สนใจสิ่งใดแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาเพคะ จู่ๆ น้องก็รู้สึกว่าร่างกายของน้องไม่ค่อยสบายนัก เช่นนั้นน้องขอตัวก่อนนะเพคะ”
“ไปเถิด”
คราวนี้หยางอวี้หลิงจำได้ขึ้นใจจึงไม่ลืมทำความเคารพ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น
‘ซูเหลียนอวิ้น…ข้าหยางอวี้หลิงจะจำเจ้าไม่ลืม! เส้นทางต่อจากนี้ยังอีกยาวไกลนัก เจ้ารอดูก็แล้วกัน!’
“เอาล่ะ แยกย้ายเถิด” เกาอู่เตี๋ยโบกมือ บรรดาผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านเมื่อครู่ต่างก็ผ่อนคลายลง รีบแยกย้ายกันออกไป
เมื่อครู่พวกเขาถือว่าเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายเข้าแล้ว! จึงต้องฉวยโอกาสในตอนที่ยังไม่มีผู้ใดจดจำใบหน้าตนได้หลบหนีไปจากสถานที่ที่วุ่นวายนี้เสีย เพราะหากถูกฮองเฮาหรือหยางกุ้ยเหรินจำหน้าได้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อตนเองทั้งนั้น
“เด็กน้อย หากข้าไม่มาเห็นพอดี เจ้าจะจัดการอย่างไร” เกาอู่เตี๋ยหันตัวกลับมาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เรื่องนี้หรือเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นจับแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันคงจะไม่ยอมให้ผู้อื่นนำตัวไปโบยง่ายๆ เช่นนั้น กุ้ยเหรินจะโบยเองหรือ สาวใช้คงจะเป็นผู้ลงมือกระมัง หากกล้าเข้ามาก็ต้องเจอหมัดหม่อมฉันเข้าสักหน่อย อย่างไรหม่อมฉันก็ไม่เชื่อว่านางจะมาจับตัวหม่อมฉันด้วยตัวเองเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยวาจาอย่างไร้เดียงสา ตอนนี้นางคิดว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้สูงศักดิ์ โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องครุ่นคิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา หากนางมัวแต่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม พวกเขาคงมองว่านางอ่อนหัดและไม่รู้จักประมาณตน มิสู้ยอมรับความผิดพลาดของตนเองไปตรงๆ บางทีอาจจะทำให้พวกเขาประทับใจแล้วจดจำภาพดีๆ เอาไว้
เกาอู่เตี๋ยไม่คิดว่านางจะเอ่ยวาจาเช่นนี้จึงยิ้มขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่เมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ว่าควรระแวดระวังทุกฝีก้าว แต่ก็มิต้องใส่ใจมากจนเกินไปนัก เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่มีคนต้องการหาเรื่องเจ้า ต่อให้เจ้าระวังตัวดีสักเพียงใด คนผู้นั้นก็ยังหาเรื่องจับผิดเจ้าจนได้ ในเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าก็จะต้องถูกลงโทษ ไม่สู้ต่อยออกไปให้สะใจสักหมัดสองหมัด แล้วค่อยว่ากันทีหลังถูกหรือไม่”
ถึงคราวซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายสับสนบ้าง นาง…นางคิดว่าฮองเฮาจะตำหนินางสักยกว่าไม่ให้นางทำเช่นนี้อีก หรือไม่ก็ใช้เหตุผลชักจูงไปในทางที่ถูกที่ควร คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วฮองเฮายังคิดจะสนับสนุนนาง? ซูเหลียนอวิ้นนิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรออกไปดี
เกาอู่เตี๋ยเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ จึงเดาได้ว่านางกำลังตกใจกับคำพูดเมื่อครู่ของตนจนไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร เพราะนี่ไม่คล้ายกับพฤติกรรมของสตรีสูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางเองยังเป็นถึงฮองเฮาด้วย
“เจ้าอย่าได้คิดมากเลย” เกาอู่เตี๋ยจูงมือนางพาเดินไปทางอื่นพลางเอ่ยว่า “เมื่อข้าเห็นเจ้าเช่นนี้ จึงทำให้ข้าอดคิดถึงตัวเองตอนเข้ามาในวังใหม่ๆ ไม่ได้ ข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้ามากนัก เลือดร้อนแบบนี้เช่นกัน แต่ว่าตอนนี้…ช่างเถิด เรื่องเหล่านั้นล้วนผ่านมานานแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าต้องไปเฝ้าฮ่องเต้แล้ว เจ้าอยู่บริเวณรอบๆ นี้กับเพื่อนของเจ้าก่อนเถิด เรื่องใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ คงไม่มีผู้ใดมาหาเรื่องพวกเจ้าอีกสักพักใหญ่ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้ส่งคนมาแจ้งกับข้าก็พอ”
“ฮองเฮา เดินระวังด้วยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นกับหลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นถึงจะยืนขึ้น สายตาของนางมองไปยังด้านหลังชุดสีทองอร่ามชุดนั้นหรูหราเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงความอ้างว้างเดียวดายอย่างยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบ
สิ่งหนึ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้คือ คำพูดเมื่อครู่ของนางได้ไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเกาอู่เตี๋ยเข้า
อย่างไรเสีย ครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงนางมาดั่งมุกดั่งหยก ได้รับความรักความใส่ใจอย่างเต็มอิ่มมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งยังมีนิสัยตรงไปตรงมาที่ร้อนแรงดั่งไฟ แต่เรื่องราวทั้งหมดในครั้งอดีตกลับถูกความจริงในปัจจุบันอันโหดร้ายบดขยี้จนไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว ตอนที่ตนคิดว่าในชาตินี้คงเป็นแบบนี้ตลอดไปนั้น นางกลับไม่อยากเห็นซูเหลียนอวิ้นเป็นแบบนั้น
เหตุการณ์ตอนนั้นได้ปลุกความเงียบงันที่อยู่ในใจของนางมานานหลายปีให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะนางคล้ายเห็นภาพตนเองเมื่อครั้งก่อน นางที่เป็นตัวของตัวเองไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติใด คล้ายกับว่าเพียรพยายามจะต่อต้านคนรอบตัวทุกคน
ตอนที่นางเห็นภาพซูเหลียนอวิ้นพยายามอดกลั้นอยู่นั้น ในหัวของนางไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากก็เดินออกไปเสียแล้ว นางไม่อยาก…ไม่อยากให้ซูเหลียนอวิ้นต้องกลายเป็นนางคนที่สองอีก คนที่โดนวังหลวงแห่งนี้ลบเหลี่ยมคมจนสิ้น
ดังนั้นในตอนท้ายเกาอู่เตี๋ยจึงพูดประโยคเหล่านั้นกับซูเหลียนอวิ้น เพราะความจริงแล้วต้องการสื่อความให้นางรู้ว่าตนคอยแอบช่วยเหลืออยู่ เพราะตนเองไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว จึงอยากให้เด็กคนนี้เป็นตัวแทนในการคงภาพความทรงจำอันมีค่าเหล่านั้นไว้ จะถือเป็นความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ของตนเองก็ได้
“เหลียนอวิ้น?” หลินเหวินเสี่ยวร้องเรียก “ต่อไปข้าเรียกเจ้าเช่นนี้แล้วกัน เรียกชื่อตามด้วยแซ่ ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ที่แท้เจ้ากับฮองเฮานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อครู่ทำเอาข้าใจหายใจคว่ำไปหมด”
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามาหาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เมื่อครู่นางกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
“จริงหรือ มิใช่สักหน่อย ข้าเพียงแค่อาศัยบารมีของท่านแม่ข้าเท่านั้น แม่ของข้ากับฮองเฮาเคยเป็นเพื่อนรักกัน ดังนั้นพอเห็นข้าจึงอยากยื่นมือเข้ามาช่วยกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มออกมาราวกับว่าไม่มีความคิดอื่น
“เป็นเช่นนี้เอง” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า “พูดมีเหตุผล แต่ข้าไม่นึกเลยว่าฮองเฮาจะเป็นคนใจกว้างแบบนี้ ในความคิดของข้า ข้าคิดมาตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนเย่อหยิ่งถือตัว คงไม่อยากลดตัวลงมาพูดคุยกับพวกเรา ผู้ใดจะคิดว่านางจะเป็นกันเองอย่างนี้ การพูดการจาก็เช่นกัน”
หลินเหวินเสี่ยวคิดสักพัก จากนั้นพลันยิ้มขึ้น “แถมยังเอ่ยวาจาได้ถูกต้อง ในเมื่อพูดจากันไม่รู้เรื่องก็ใช้กำปั้นพูดแทนจะตรงประเด็นกว่า นิสัยเช่นนี้ของฮองเฮา ข้าชอบ”
ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะสองเสียง เนื่องจากตอนนี้นางอยากจะตะโกนขึ้นไปบนฟ้า พระเจ้าอยู่ไหน ช่วยประทานเพื่อนที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาให้ข้าสักคนได้หรือไม่ ผู้ที่ใฝ่การลงไม้ลงมือ ไม่มีหัวคิด ใช้กำปั้นเจรจา นางเป็นคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้ามีมาเพิ่มอีก นางเกรงว่าสองกำปั้นนี้ของนางคงจะรับมือไม่ไหวแน่
——
[1] มงกุฎหงส์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะแสดงบรรดาศักดิ์ของสตรีชั้นสูง