ลิขิตกลกาล 41 หน้าแดง

ตอนที่ 41 หน้าแดง

ในที่สุดซูเหลียนอวิ้นก็มองเข้าไปในกระจกแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ

 

 

วันนี้ซูเหลียนอวิ้นตั้งใจทำเครื่องประดับรูปดอกบ๊วยให้ตัวเอง ซึ่งเข้ากันได้ดีกับกระโปรงปักลายดอกบ๊วยที่นางสวมใส่ในวันนี้ จากนั้นนางจึงยืนหมุนเพื่อชื่นชมความงามของตนอีกรอบหนึ่ง

 

 

อืม…ทรงผมก็เข้ากันดี ไม่เสียแรงที่หลีมู่อยู่ข้างกายนางมานานเพราะเข้าใจว่านางต้องการแบบใด แต่ปิ่นปักผมดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันเท่าไรนัก ดูแล้วให้ความรู้สึกว่าบางอย่างขาดหายไป

 

 

“คุณหนู รถม้าเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่รอคุณหนูอยู่ด้านนอกแล้วด้วย เร็วหน่อยเจ้าค่ะ!” สีหน้าของหลีมู่ร้อนรน “คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนูดูดีมากแล้ว เร็วหน่อยเถิด!”

 

 

“ได้ๆๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ หลีมู่เจ้าไม่ต้องดันข้าก็ได้”

 

 

 เฮ้อ ช่างเถิด คนเรามิอาจสมบูรณ์แบบได้ไปเสียทั้งหมด ความไม่สมบูรณ์แบบย่อมต้องมีอยู่บ้าง…ถือว่าความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งสวยงามก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรส่วนอื่นๆ ก็ไม่เลวแล้ว

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ พวกเรารีบไปกันเถิด” บนรถม้า ซูมั่วเยี่ยได้ขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อสามารถมองเห็นซูเหลียนอวิ้นได้อย่างชัดเจนจากบนรถม้า ซูมั่วเยี่ยพลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยว่า “เจ้า วันนี้เจ้า…”

 

 

“ทำไมหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่แล้วเงยหน้าถามขึ้น

 

 

“ไม่มีอะไร เจ้าสวยมาก ข้าแค่อยากให้เจ้าจำเอาไว้ว่าต้องอยู่กับข้าตลอดเวลา พวกเราห้ามแยกจากกัน” ซูมั่วเยี่ยกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

เขาไม่มีอะไรจะแย้งต่อการแต่งตัวของซูเหลียนอวิ้น เพราะตัวเขาเองรู้สึกว่านางงดงามมาก แต่สิ่งที่เขากังวลก็คือ การแต่งตัวเช่นนี้…มันสวยเกินไปหน่อย วันนี้คนที่มางานทั้งหมดล้วนเป็นบรรดาคุณหนูของทุกตระกูล พวกนางย่อมแต่งตัวกันมาอย่างเต็มที่ ความขัดแย้งในวงสตรี เขาเองไม่ได้เข้าใจไปเสียทุกอย่าง เวลานี้ซูเหลียนอวิ้นแต่งกายโดดเด่นเช่นนี้ เขากลัวว่าพอถึงเวลาจะไปกระตุ้นความริษยาจากพวกคนถ่อยเข้า

 

 

ยอมล่วงเกินวิญญูชน ดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย และเป็นไปได้ว่าคนถ่อยในที่นี้จะหมายถึงสตรี หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คงจะจัดการยากทีเดียว

 

 

ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ชะงักไปแต่ยังฝืนยิ้มขึ้น “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีปัญหาแน่ ตัวข้าสามารถจัดการได้ ในเมื่อข้ากล้าแต่งตัวมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าข้าต้องพร้อมรับมืออยู่แล้ว”

 

 

ซูมั่วเยี่ยได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ก็วางใจลงได้บ้าง ทว่าสายตายังคงกังวล

 

 

ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปอีกทาง เปิดผ้าม่านขึ้นมุมหนึ่งแล้วมองไปด้านนอก บนถนนมีเสียงร้องขายของดังเบาสลับกัน ฟังแล้วทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น นางสูดหายใจลึก เรื่องทั้งหมดจะต้องผ่านไปด้วยดี

 

 

งานเลี้ยงวสันตฤดูครานี้เลือกจัดขึ้น ณ มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ส่วนพระองค์ในวังหลวง ณ ที่นี้ดอกไม้นานาชนิดกำลังบานสะพรั่ง ล้อมรอบไปด้วยลำธารสายเล็กและภูเขาจำลอง จัดว่าเป็นสถานที่ที่งดงามมาก

 

 

ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นมาถึงก็มีคนเริ่มมารวมตัวจับเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มแล้ว และกำลังยิ้มแย้มสนทนากันอยู่

 

 

พวกนางไม่ได้มาถึงช้า ทว่าด้านหน้ามีคนมาถึงกันหนาตาแล้ว นั่นหมายความว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปทุกคนที่มาใหม่จะต้องเดินผ่านสายตาจับจ้องวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคนในงานก่อน

 

 

ฝูงชนในงานเงยหน้าขึ้น เมื่อมองเห็นการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นต่างก็ตื่นตะลึง แต่ทุกคนล้วนเก็บอาการไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะถึงอย่างไรก็ตกตะลึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนวันนั้นมาคราวหนึ่งแล้ว หากจะตกตะลึงอีกก็คงเป็นเพียงการทำเพื่อแสดงความชื่นชมเท่านั้น

 

 

คุณชายบางคนที่ไม่ได้เข้าเรียนในวันนั้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้าต่างตกใจไปตามๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงหันหน้าไปซุบซิบกับคนด้านข้าง แต่ไม่มีใครกล้าพูดเสียงดังจนเกินไปนัก เพราะสายตาข่มขู่คุกคามของซูมั่วเยี่ยในตอนนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง

 

 

เหล่าสตรีเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเช่นนี้ต่างก็นำพัดกลม[1] ขึ้นมาบังใบหน้าหรือไม่ก็นำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกไว้ ทำท่าทางราวกับว่าตรงที่นางยืนอยู่นี้กำลังมีพิษแพร่กระจายในอากาศ

 

 

ซูเหลียนอวิ้นยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อชาติที่แล้วนางไม่ได้แต่งตัวเช่นนี้ นางเพียงใส่ชุดเรียบๆ ชุดหนึ่ง คนพวกนั้นจึงไม่ได้แสดงออกสักเท่าไร เพียงแค่จับผิดนางแล้วทำให้นางกลายเป็นที่น่าตลกขบขันในงานฉลอง นางแต่งกายธรรมดาเพียงนั้น แต่งมาให้ใครดูกัน สตรีเหล่านั้นต่างพากันรู้สึกว่านางทำให้ทุกคนหมดอารมณ์

 

 

แต่พอถึงวันนี้นางแต่งกายด้วยสีสันสดใส คนพวกนี้กลับพูดว่านางแต่งตัวมาก็เพื่อต้องการให้ท่าคนในงาน เห็นได้ชัดว่าหากไม่ถูกชะตาผู้ใดแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอย่างไรก็สามารถหาเรื่องจับผิดได้ทั้งนั้น

 

 

 ซูเหลียนอวิ้นเดินต่อไปข้างหน้า บรรดาคุณหนูที่อยู่รอบด้านต่างทำราวกับว่านางเป็นโรคระบาด เมื่อนางเดินหน้าหนึ่งก้าว พวกนางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าน่าขันอย่างไร้สาเหตุ

 

 

ทำไมหรือ สายตาเหล่านั้นดูคล้ายว่ากำลังกลัวนางจะกินทุกคนเข้าไป?

 

 

“ซูเหลียนอวิ้น มาทางนี้!” คนที่เอ่ยขึ้นคือหลินเหวินเสี่ยว ผู้ที่เป็นฝ่ายชวนนางคุยก่อนในห้องเรียนเมื่อครั้งที่แล้ว

 

 

นางกำลังจะสืบเท้าเข้าไปหา แต่กลับนึกถึงซูมั่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังนางอยู่ตลอดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ทางด้านนั้นเป็นที่สำหรับสตรีอยู่ด้วยกันแล้ว ชายที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อย่างท่านคงไม่สะดวกเท่าไร ดูสิเจ้าคะ ตอนนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว ท่านพี่วางใจเถิด”

 

 

“อืม…” ซูมั่วเยี่ยเม้มปากส่งเสียงตอบรับ เมื่อครู่เขาเห็นสายตาของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือวังหลวง แถมรอบกายยังมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ เขาจะต้องลากตัวคนพวกนั้นออกไปทีละคนแล้วสั่งสอนให้สำนึก แต่ตอนนี้ดูแล้วน้องสาวของตนก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขาเองจึงหมดห่วงลงไปบ้าง

 

 

ซูมั่วเยี่ยจึงหันไปกำชับกับหลีมู่ว่า “วันนี้เจ้าต้องดูแลคุณหนูให้ดี หากมีเรื่องใด ให้มาตามข้าก็พอ”

 

 

หลีมู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น นางเข้าใจทุกอย่างและจะดูแลเป็นอย่างดี

 

 

“นี่ เจ้ามัวบ่นไร้สาระอะไรอยู่ตรงนี้ ตรงนี้มีอะไรน่าดูกัน พวกเราไปด้านนั้นกันเถิด ตรงนั้นมีดอกไม้บาน…” หลินเหวินเสี่ยวรอไม่ไหวจึงวิ่งเข้ามาหา เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นซูมั่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังซูเหลียนอวิ้น

 

 

ตอนนั้นเองหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง

 

 

ซูมั่วเยี่ยเมื่อเห็นนางหน้าแดงเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร เขากระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปยืนอยู่ด้านนั้น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้มาเรียกข้า ข้า ข้าขอไปรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ทำราวกับหนีภัยจากตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเงาด้านหลังของซูมั่วเยี่ยเช่นนั้นก็รู้สึกว่าช่างน่าขันยิ่ง จึงหันหน้ากลับมาพูดว่า “ไปเถิด ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เมื่อครู่เจ้าพูดว่าดอกอะไรบานนะ”

 

 

“เอ๊ะ? อ้อๆ ดอกไม้หรือ ทางนั้นมีมากทีเดียว พวกเราไปดูกันเถิด” หลินเหวินเสี่ยวมีท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน พยักหน้ารับอย่างมึนงง “สวยๆ ทั้งนั้น เจ้าไปดูก็จะรู้เอง”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากนัก ดูแล้วพี่ชายของนางคงทำให้แม่นางคนนี้ตกใจเข้าแล้ว…ซูเหลียนอวิ้นอดกังวลถึงพี่สะใภ้ในอนาคตไม่ได้ พี่ชายของนางเป็นอย่างนี้ จะต้องเป็นพี่สะใภ้แบบใดจึงจะเอาอยู่เล่า

 

 

“คนนั้นน่ะ ซูเหลียนอวิ้น”

 

 

“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามา “อะไรหรือ”

 

 

“คนเมื่อครู่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหรือ” ใบหน้าของหลินเหวินเสี่ยวแดงก่ำ ราวกับว่าต้องรวบรวมกำลังมากมายกว่าจะถามคำถามนี้ออกมาได้

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของนางเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อครู่ไม่ได้ตกใจจนหน้าจะมืดไปหรอกหรือ ท่าทางในตอนนี้หมายความเช่นไร แต่นางก็ยังคงตอบไปตามความจริง “คนเมื่อครู่คือพี่ชายของข้าเอง มีนามว่าซูมั่วเยี่ย เจ้าไม่รู้จักหรือ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] พัดกลม คือ พัดที่มีรูปทรงกลมหรือเกือบกลม ทำจากวัสดุหลากหลายประเภท เช่น กระดาษ, ผ้าทอ อาจมีรูปภาพประดับบนตัวพัดเพื่อความสวยงาม เช่น ดอกเหมย, ใบไผ่, ผลไม้ ฯลฯ

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset