เมื่อเปิดประตูเข้าไปและไม่มีคนอยู่ด้านใน บรรยากาศก็วังเวงเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเด็กน้อยย่อมไม่สนใจอะไร มือน้อยๆ ของต้วนเฉินเซวียนจับนู่นขยับนี่ ทุกอย่างในห้องนี้ล้วนน่าสนใจไปหมดสำหรับเขา
“ผู้หญิงคนนี้สวยจัง” ต้วนเฉินเซวียนปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วมองไปยังภาพวาดที่มีคนกางเอาไว้บนโต๊ะและออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบจึงยังไม่ได้เก็บภาพนั้น
ในภาพเป็นรูปของสตรีวัยแรกรุ่น แต่กลับไม่ใช่จางเจาหวา ทว่า…เป็นคนคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นตา ต้วนเฉินเซวียนเอียงศีรษะแล้วเอามือสัมผัสกับรูปวาดเพื่อพยายามนึกให้ออกว่าคนในภาพผู้นี้คือใคร
“เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่!” ตอนนั้นต้วนเฉินเซวียนยังไม่ทันรู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร ก็มีเสียงฝีเท้าและน้ำเสียงตำหนิดังเข้ามาในห้องทันทีในตอนนั้น
“ใครให้เจ้าเข้ามา!” สายตาของต้วนหงอวี้แดงก่ำราวกับกำลังควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่ “รีบออกไปเดี๋ยวนี้! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรเข้ามา!”
“ขอรับ…ท่านพ่อ” ต้วนเฉินเซวียนในวัยเด็กแม้จะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเพียงรู้ว่า บิดาขอเขาที่ไม่เคยโมโหและไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาก่อน ที่แท้แล้ว…ก็มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
เพียงสบตากับเขาก็ทำให้รู้สึกสยดสยองขึ้นมาได้
แต่ตอนนี้เมื่อต้วนเฉินเซวียนลองมานึกย้อนคิดดูอีกครั้ง ตอนนั้นที่ต้วนหงอวี้โกรธก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เพราะเขาปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมาล่วงรู้สิ่งที่น่าอายที่สุดของตน ความลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้มากที่สุดของตน
เรื่องนี้หากพูดออกไปจะต้องเป็นเรื่องที่น่าขายหน้านัก
“แล้วหลังจากนั้นเล่า” ซูเหลียนอวิ้นฟังจบเงียบๆ แล้วหันหน้าไปมองต้วนเฉินเซวียน “ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พ่อของท่าน…ไม่เอาเรื่องท่านหรือ” เหตุการณ์ที่เกิดจากการลงมือเพราะความอับอายที่กลายเป็นความโกรธนั้นมีตัวอย่างมากมาย! นางหวังว่าต้วนหงอวี้คงไม่ใจร้ายกับต้วนเฉินเซวียนด้วยเรื่องเล็กๆ เพียงเท่านี้
เนื่องจากหากดูจากลักษณะท่าทางของต้วนหงอวี้แล้ว…ในด้านจิตใจของเขานั้น ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะมองเขาไปในแง่ร้าย!
“ไม่ได้ทำอะไร” ต้วนเฉินเซวียนโอบซูเหลียนอวิ้นแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เพียงแค่ในคืนนั้น เขามาที่ห้องของข้าเพื่อถามว่าข้าเห็นอะไรไปบ้าง รู้อะไรไปบ้างก็เท่านั้น”
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเขาไม่มีทางลืมได้แน่! ดวงตาแดงก่ำของของต้วนหงอวี้จ้องเขม็งมาที่เขา มือทั้งสองข้างของต้วนหงอวี้ออกแรงทั้งหมดบีบคอของเขาเอาไว้แน่น แล้วเค้นถามเขาให้ยอมพูดออกมาทั้งหมดและถามว่าเขารู้เรื่องมากน้อยเพียงใด
แต่สุดท้ายแล้ว ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะตายอยู่นั้น จางเจาหวาก็ปรากฏตัวเข้ามา นางพยายามผลักต้วนหงอวี้ออก แล้วโอบต้วนเฉินเซวียนเข้าไปกอดอยู่ในอกของนาง
นางปลอบเขาเหมือนเป็นลูกแมวตัวหนึ่งและบอกเขาว่าไม่ต้องกลัว
และตอนนั้นเองที่ต้วนเฉินเซวียนมองทุกอย่างออกว่าคนเป็นบิดาอย่างต้วนหงอวี้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ รวมทั้งมีความคิดอ่านในด้านที่ยากจะได้เห็นเป็นอย่างไร ส่วนจางเจาหวานั้นแน่นอนว่านางได้เดินเข้ามาในใจของเขาแล้วตอนนี้
“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอาศีรษะของตัวเองซุกเข้าไปในอกของต้วนเฉินเซวียนจึงสัมผัสถึงเสียงหัวใจของต้วนเฉินเซวียนที่เต้นระส่ำอย่างรุนแรง แม้ว่าต้วนเฉินเซวียนจะพยายามพูดทุกอย่างอย่างสบายอารมณ์ แต่…ช่างเถิด เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างที่นางพูด นั่นก็คือผ่านไปแล้ว
การจมปลักนั้นไม่มีประโยชน์อะไร
“อืม ทุกอย่างผ่านไปแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนก้มหัวให้คางของตัวเองเกยอยู่บนศีรษะของซูเหลียนอวิ้น
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยอยู่ตัวคนเดียว เมื่อก่อนไม่เคย ในอนาคตก็ยิ่งไม่มีทาง ……
“องค์ชายสาม หมอตำแยยอมสารภาพแล้วพะย่ะค่ะ”
“เพิ่งจะมาพูดเอาป่านนี้รึ” หนานกงหงแค่นหัวเราะ “แต่ว่าก็ถือว่าไม่เลวที่ยอมทนมาจนถึงตอนนี้ได้” อุปกรณ์ที่ใช้ในการลงทัณฑ์ของเขาเป็นอย่างไร เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนออกแบบทุกอย่างขึ้นมาเอง
ดังนั้นสตรีอายุหกสิบกว่าคนหนึ่งยอมทนมาได้หลายวันเช่นนี้กว่าจะยอมเปิดปากออกมา เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำให้หนานกงหงแปลกใจเป็นอย่างมาก
“พะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นขานตอบ “หมอตำแยผู้นี้กระดูกแข็งยิ่งนัก” แต่ไม่ว่ากระดูกจะแข็งอย่างไร มันก็เป็นได้เพียงกระดูกเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องหักมันก็ต้องหัก!
“หมอตำแยผู้นั้นพูดอะไรออกมาบ้าง”
“คุณชายต้วนเป็นอย่างที่พวกเราเดาไว้ไม่มีผิด หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็คือลูกชายของฮองเฮาที่ลือกันว่าเสียชีวิตไปแล้วในตอนนั้น” ผู้ที่รายงานเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ขาทั้งสองของเขาก็ก้าวถอยไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ เพราะเขากลัวว่าหนานกงหกงจะระบายความโกรธใส่เขา
และก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ หนานกงหงก็ถีบโต๊ะไม้สีแดงที่อยู่ข้างๆ ตัวลอยกระเด็นไปไกลลิบ
“เป็นไปตามคาด!” เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติมานานแล้ว เพราะเจ้าเด็กต้วนเฉินเซวียนนั่น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องไม่ใช่คนต่างนามสกุลกับเขาอย่างแน่นอน เพราะเสด็จพ่อของเขาจะดีกับคนต่างตระกูลเกินไปหรือไม่
สุดท้ายเพราะสืบออกมา ก็พบความลับที่ถูกซ่อนเอาไว้ในนั้นมากมาย!
“จำเอาไว้ว่าต้องปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี หากได้ยินว่ามีใครที่มีความสงสัยเหมือนพวกเราและตั้งท่าจะสืบเรื่องนี้ล่ะก็ ไม่ต้องเก็บพวกเขาเอาไว้” เรื่องนี้หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะไม่ส่งผลดีกับเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเรื่องนี้ควรหยุดเอาไว้ที่เขาเท่านี้
“พะย่ะค่ะ องค์ชายสาม” คนที่นั่งคุกเข่าผู้นั้นตอบรับ ทว่าสีหน้าของเขากลับยังมีความลังเลปรากฏอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าควรรายงานเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อครู่นี้ดีหรือไม่
เพราะ…เรื่องที่ได้ยินมาเมื่อครู่นี้ คล้ายว่าจะเป็นเรื่องสำคัญและเรื่องที่ไม่สำคัญ
“ทำไมรึ ยังมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดอีก” หนานกงหงสุดหายใจลึก “พูดออกมาทีเดียวให้จบเลยเถิด” พูดออกมาให้หมด เขาจะได้หาวิธีว่าจะรับมือกับต้วนเฉินเซวียนอย่างไรต่อไปดี
เพราะตำแหน่งฮ่องเต้นั้นจะผิดพลาดสักนิดเดียวก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวเช่นกัน!
“เมื่อช่วงต้นชั่วยามก่อนหน้านี้ ฝ่าบาททรงเรียกฮูหยินโหวไปเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นพูดพลางก้มหน้าต่ำลงอีก “ส่วนพูดคุยกันเรื่องอะไรนั้น บ่าวยังไม่ได้ข่าวกลับมาพะย่ะค่ะ”
“ฮูหยินโหว…ซูเหลียนอวิ้น?” หนานกงหงหันขวับกลับมา “เจ้ากำลังบอกว่าเสด็จพ่อเรียกซูเหลียนอวิ้นไปคุยตามลำพังหรือ”
การแต่งงานระหว่างซูเหลียนอวิ้นกับต้วนเฉินเซวียนถือเป็นเรื่องกวนใจเขามาโดยตลอด แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะเขาชอบซูเหลียนอวิ้นแต่เป็นเพราะว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นตัวแทนของอะไร แน่นอนว่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลซู ดังนั้นจึงเป็นตัวแทนของซูปั๋วชวน
ส่วนซูปั๋วชวนนั้นเป็นตัวแทนของอะไร แม่ทัพผู้ปกป้องแผ่นดินย่อมหมายถึงอำนาจทางการทหาร!
ดังนั้นสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้นั้นชัดเจน หนานกงหงไม่อาจไม่ร้อนใจได้ และตอนที่มีข่าวออกมาว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังจะแต่งงานในตอนนั้น เขาเองก็ไปเข้าเฝ้าลี่หยวนตี้มาเช่นกัน โดยเขาบอกว่าเขาจะแต่งตั้งซูเหลียนอวิ้นเป็นชายารองของเขา
ทว่าคำตอบของลี่หยวนตี้นั้นคืออะไร ลี่หยวนตี้ปฏิเสธเขา ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายมากนั่นคือบอกว่าเยียลี่ว์เพิ่งจะแต่งงานกับเขา เจ้ากลับอยากจะแต่งงานกับคนอื่นแล้วหรือ นี่เจ้ากำลังตบหน้าเยี่ยลวี่เยียนหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่อนุญาต