“เอาล่ะท่านแม่” ต้วนเฉินเซวียนจับมือซูเหลียนอวิ้นยืนขึ้นเตรียมที่จะออกไปข้างนอก “เช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับไปเตรียมตัวก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้เข้าวังหลวง”
“ดี” จางเจาหวายิ้มพลางหยักหน้า “ไปเถิด”
จนกระทั่งเดินออกจากห้องมาไกลแล้ว ซูเหลียนอวิ้นยังคงรู้สึกได้ถึงการสอดส่องของบิดาต้วนเฉินเซวียนอยู่ นางจึงควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ให้สั่นเทาไม่ได้
“เป็นอะไรหรือ” ต้วนเฉินเซวียนหยุดเดิน “หนาวรึ” แต่ตอนนี้เป็นตอนกลางวันที่พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ อยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงเช่นนี้ยังตัวสั่นได้…ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าออกจะแปลกไปสักหน่อย
“ต้วนเฉินเซวียน บิดาของท่านไม่ชอบข้าหรือ” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เพราะตอนนี้นางเพิ่งจะแต่งงานเข้ามาเป็นวันแรก! แต่กลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบใจแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร!
การที่นางแต่งงานเข้ามาแม้ว่าวัตถุประสงค์หลักอาจจะไม่ได้แต่งเข้ามาเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่นางก็ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าจะเข้ามาเพื่อเป็นที่รองรับอารมณ์ของใคร!
“เรื่องนี้เอง” ต้วนเฉินเซวียนคิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยปากเรื่องนี้ “พูดไปเดินไปก็ได้ พ่อของข้าก็เป็นเช่นนั้นนั่นแหละ กับข้าก็เป็นเหมือนกัน อย่าไปสนใจเขาก็พอ ขอเพียงเอาหน้ารอดไปได้ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าเลย แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ชอบเขาจริงๆ เจ้าจะไม่สนใจเขาและสนใจแต่ข้าก็ได้!”
“ง่ายขนาดนั้นเชียว?” คำตอบนี้ทำเอาซูเหลียนอวิ้นตกใจ เพราะนางคิดว่าจะอย่างไรต้วนเฉินเซวียนก็ควรจะอธิบายให้นางฟังดีๆ ว่าพ่อของเขาเป็นอย่างไร หรือไม่ก็อธิบายถึงแนวทางว่าต่อไปนางควรจะปฏิบัติอย่างไรกับคนผู้นี้ดี แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะตอบกลับมาแค่นี้ว่าไม่อยากยุ่งก็ไม่ต้องยุ่ง
แต่คนผู้นั้นคือพ่อของเขานะ! ปล่อยไปแบบนี้จะดีหรือ
อีกอย่างตอนนี้นางแต่งเข้ามาแล้ว ต่อไปไม่ว่านางจะเงยหน้าหรือก้มหน้าก็คงจะต้องเจอเขาทุกวัน
“ข้าย่อมพูดจริงอยู่แล้ว”
รถม้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนที่ทั้งคู่ไปทำความเคารพจางเจาหวาแล้ว ตอนนี้รอแค่ทั้งคู่เข้าไปนั่งข้างในเท่านั้น
ต้วนเฉินเซวียนเปิดม่านออกแล้วจับมือซูเหลียนอวิ้นเพื่อส่งให้นางขึ้นไปบนรถก่อน จนกระทั่งซูเหลียนอวิ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ต้วนเฉินเซวียนถึงจะก้าวขึ้นรถตามไป
เด็กรับใช้ที่บังคับรถม้าเมื่อเห็นภาพดังนี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะคุณชายของเขาเคยดูแลผู้ใดเสียที่ไหน นี่…ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยกระมัง
แต่สุดท้ายด้วยความอิจฉาของคน ข่าวที่แผ่ออกไปข้างนอกกลับกลายเป็นข่าวที่บิดเบือน โดยบอกว่าคุณชายจำเป็นต้องแต่งกับคุณหนูบ้านนั้นอย่างเสียไม่ได้ ดูจากท่าทางของคุณชายแล้วเห็นชัดๆ ว่ากล้ำกลืนฝืนทนขนาดไหน!
“พ่อของข้านอกจากออกไปว่าราชการและกลับจวนแล้ว ธุระอื่นๆ ของเขาก็มีเพียงการออกไปงานเลี้ยงสำคัญๆ เท่านั้น นอกนั้นเขาก็ไม่ออกไปไหน” สีหน้าของต้วนเฉินเซวียนเรียบเฉย “ดังนั้นหากอวิ้นเอ๋อร์ไม่อยากเห็นหน้าเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่ข้าบอก เพียงแค่นี้ก็รับประกันได้แล้วว่าเจ้าจะไม่ได้พบเขา”
“อย่างนี้เอง…” นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่า ตระกูลต้วน…ดูจะค่อนข้างซับซ้อนไปสักหน่อย
แม้ว่าเรือนหลังของต้วนหงอวี้จะมีมารดาของต้วนเฉินเซวียนคือจางเจาหวาเพียงคนเดียวและไม่มีเรือนเล็กสักเรือน ถ้าคิดตามเหตุตามผลแล้วแสดงให้เห็นว่าเขามีความรักอย่างลึกซึ้งและจริงใจต่อมารดาอย่างจางเจาหวามาก มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงได้แต่งงานกับนางเพียงคนเดียว เพราะเรื่องเช่นนี้สำหรับผู้ชายในตระกูลใหญ่แล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง
แต่เช้าวันนี้นางได้มีโอกาสเห็นตัวเป็นๆ ของต้วนหงอวี้และสายตาที่เขาใช้มองจางเจาหวา นอกจากจะเป็นสายตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แล้ว ยังไม่มีความอ่อนโยนแสดงออกมาด้วย
สายตานั้น…คล้ายกำลังมองคนแปลกหน้า หรือเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเล็กน้อยเท่านั้น
“เอาล่ะ ไม่ต้องคิดแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนยื่นนิ้วออกมาเคาะหน้าผากของต้วนเฉินเซวียน “เจ้าอยากรู้อะไรถามข้ามาก็สิ้นเรื่อง ข้านั่งอยู่ข้างเจ้าตัวเป็นๆ เจ้ายังไม่สนใจอีก อีกอย่างเขาว่ากันว่าหากสตรีคิดมากจะทำให้แก่เร็ว!”
คำพูดของต้วนเฉินเซวียนทำให้จิตใจของซูเหลียนอวิ้นหวั่นไหวได้ เพราะหากพูดเช่นนี้ ขอเพียงนางหันไปมองด้านข้างนางก็จะเห็นคนที่อยู่ข้างๆ นางและสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้นางได้ ซึ่งทำให้นางรู้สึกดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางเพิ่งจะหลุดพ้นจากอ้อมอกของตระกูลซูมา นางจึงยังไม่รู้ทิศทางที่ควรจะเดิน คำพูดของต้วนเฉินเซวียนทำให้นางรู้สึกได้ถึงคนที่กำลังปลอบโยนนางอยู่
แม้ว่าในใจนางจะรู้สึกเช่นนี้ แต่นางจะแสดงความอ่อนแอออกไปให้เห็นไม่ได้!
ซูเหลียอวิ้นถอนใจเสียงดังแล้วเอ่ยว่า “อะไรนะ นี่เพิ่งจะวันแรก ท่านก็กลัวว่าข้าจะแก่แล้วหรือ” จากนั้นนางจึงยื่นมือออกไปหยิกที่เนื้อบริเวณเอวทั้งสองข้างของต้วนเฉินเซวียน เพราะเมื่อวานนางเพิ่งจะสังเกตได้ว่า สองจุดนี้บนร่างกายของเขาเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุด! เพียงสัมผัสนิดเดียว ร่างกายของเขาก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว!
“เจ้ากล้าดีเกินไปแล้ว!” เนื้อที่บนรถม้าเดิมทีก็แคบอยู่แล้ว ดังนั้นต้วนเฉินเซวียนเพียงหลบซ้ายหลบขวาอยู่ครู่เดียวหลังของเขาก็ติดผนังของรถม้าอย่างไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้แล้ว
ต้วนเฉินเซวียนมองมือที่เกายุกหยิกอยู่ที่เอวของตัวเอง ตอนนั้นเองที่เขาก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง! เนื่องจาก…เขากลัวการโดนจั๊กจี้เป็นที่สุด แต่เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ ตอนนั้นเขาจึงรู้สึกว่าหากเรื่องนี้สามารถทำให้ซูเหลียนอวิ้นมีความสุขได้ บางทีจุดอ่อนนี้อาจจะไม่ถือเป็นจุดอ่อนก็ได้
คำพูดเช่นนี้อย่าว่าแต่ต้วนเฉินเซวียนเคยคิดจะพูดออกมาเลย ต่อให้ความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัวของเขายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ! จุดอ่อนเดียวที่เขาไม่ชอบมันมาตลอด วันหนึ่งเขากลับรู้สึกชอบมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น หรือว่านี่จะ…
ซูเหลียนอวิ้นจั๊กจี้เขาอยู่ครู่หนึ่งจนรู้สึกว่าตัวเองหมดแรงแล้ว นางก็เบะปากและเอ่ยออกมาว่า “ไม่สนุก ไม่เล่นแล้ว”
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! ทั้งๆ ที่เมื่อคืนวาน…ทั้งคู่ต่างก็เจ็บตัวกันทั้งคู่ ทำไมตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจึงทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ส่วนนางที่เป็นฝ่ายแกล้งเขากลับรู้สึกเหนื่อยไปเองได้?
โลกนี้มันช่างไม่ยุตธรรมเอาเสียเลย!
คนบังคับรถเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของคนทั้งสองดังมาจากด้านในรถม้า ก็อดไม่ได้ที่จะเฆี่ยนม้าแรงๆ หนึ่งที จากนั้นจึงถอนใจ
เฮ้อ นี่แหละคือวัยหนุ่มสาว
“หากเจ้าอยากเล่นอะไร ข้าสามารถเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ทุกเมื่อ” ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกมาเพื่อจัดปิ่นปักผมที่เมื่อครู่ซูเหลียอวิ้นเขยิบตัวจนทำผมเผ้ายุ่งเหยิง ขอเพียงเจ้ามีความสุขเช่นนี้ เจ้าจะเล่นอะไรก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
คงต้องเอ่ยว่าต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ ได้กลายเป็นเจ้าชายที่หน้ามืดตามัวลุ่มหลงในผู้หญิงไปแล้ว! ตอนนี้ต่อให้ซูเหลียนอวิ้นต้องการดาวบนท้องฟ้า เขาก็จะไปเก็บมาให้โดยที่ไม่อารมณ์เสียเลยสักนิด
“ได้” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วปล่อยให้ต้วนเฉินเซวียนเล่นผมของนางต่อไป “ท่านพูดเองนะ” นางจำเอาไว้หมดแล้ว! หากครั้งหน้ากล้าหลอกนางอีก…เหอะๆ
แม้ว่านางไม่ได้ต้องการคนที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับตน เพราะนางโตแล้ว! แต่นางต้องแสดงออกให้เห็นว่านางจะไม่ยอมโดนผู้ใดรังแกได้!
“ใช่ ข้าพูดเอง”