“คุณหนูใหญ่ คุณชายใหญ่ พวกท่านกลับมาแล้วหรือ” เพียงก้าวเข้าประตูบ้าน บรรดาบ่าวรับใช้ในบ้านก็พุ่งตัวเข้ามา “ฮูหยินบอกว่า หากทั้งสองกลับมาถึงจวนแล้ว ขออย่าเพิ่งกลับไปที่เรือนของตัวเอง แต่ให้ไปที่เรือนของฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ”
สายตาของซูเหลียนอวิ้นมองไปยังซูมั่วเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความลังเล และก็พบว่าซูมั่วเยี่ยเองก็มีสีหน้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นกัน ฉับพลันนั้นก็ปรากฏความสงสัยเกิดขึ้น เพราะ…เรื่องราวเร่งด่วนนั้นจะเป็นเรื่องอะไรได้
“อวิ้นเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาจนได้” ในขณะที่เปิดม่านเข้ามาก็ได้ยินเสียงโดนหยอกจนหัวเราะของอันเพ่ยอิงที่ไม่ได้ยินมานาน “เหตุถึงกลับมาช้าเช่นนี้ เฉินเซวียนบอกว่าระหว่างทางพบพวกเจ้าด้วย แต่สุดท้ายเขากลับมาถึงแล้ว พวกเจ้ากลับมัวโอ้เอ้อยู่”
ถึงแม้ว่าคำพูดของอันเพ่ยอิงจะเป็นเชิงตำหนิ แต่ฟังออกได้ไม่ยากเลยว่าอันเพ่ยอิงในตอนนี้อารมณ์ดีไม่เลวเลยทีเดียว
“ข้าก็แค่ออกไปซื้อขนมก็เท่านั้น” ต้วนเฉินเซวียนยิ้ม “อวิ้นเอ๋อร์กับพี่ใหญ่คงจะไม่ได้ไปซื้อของเพียงที่เดียวกระมัง ถึงได้กลับมาช้ากว่าเล็กน้อย”
ยังดีที่ก่อนที่ต้วนเฉินเซวียนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซูมั่วเยี่ยได้นั่งลงไปแล้ว เพราะ…หากเขายังยืนอยู่ ยากที่จะรับประกันได้ว่าซูมั่วเยี่ยจะไม่ตกใจจนหงายหลังไป!
ผู้ใดกันคือพี่ใหญ่ของเจ้า! นี่มันนับญาติกันมั่วๆ นี่นา นี่เป็นอีกครั้งที่ซูมั่วเยี่ยถูกพฤติกรรมไม่รักษาหน้าของเขาทำเอาต้องจำยอมไปโดยปริยาย
ติดตรงที่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้! เพราะหากพูดออกไปอันเพ่ยอิงอาจจะว่าเขาได้ว่าเขาเป็นคนใจแคบคิดเล็กคิดน้อย! และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งก็คือตอนนี้อันเพ่ยอิงมีท่าทีเช่นนี้ไปแล้ว ซูมั่วเยี่ยจึงทำได้เพียงถลึงตาใส่ต้วนเฉินเซวียนและไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมา
แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาอาฆาตของซูมั่วเยี่ย เขาจึงใช้โอกาสนี้ยิ้มกลับไปเพื่อแสดงว่าตัวเขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นั่นเป็นเพราะว่า…เขาไม่สนใจจริงๆ! เพราะผู้ที่ดูแลตระกูลซูไม่ใช่ซูมั่วเยี่ย และคนที่เขาจะแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่ซูมั่วเยี่ยอีกเช่นกัน ดังนั้น…ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยของซูมั่วเยี่ยตอนนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าไม่ได้ทำให้ตนรู้สึกรู้สาอะไรได้เลย
“อ่อใช่สิ เฉินเซวียน” ถึงตอนนี้อันเพ่ยอิงถึงจะเริ่มนึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงเดินเข้าไปด้านในห้อง ไม่นานนักก็เดินออกมาใหม่
ทว่าตอนที่กลับมาในครานี้ ในมือของนางได้ถือจดหมายเชิญที่สลักด้วยทองหลายแบบออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องวุ่นวายใจที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกจดหมายเชิญแบบไหนดีนั่นเอง
“ท่านแม่อยากจะถามข้าใช่หรือไม่ว่าแบบไหนสวยกว่ากัน” ต้วนเฉินเซวียนรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปเพื่อรับแบบจดหมายเชิญมาจากมือของอันเพ่ยอิง
“แค่กๆๆๆ “
“น้องหญิง เจ้าเป็นอะไรไป” ซูมั่วเยี่ยวางของในมือตัวเองลง แล้วพยายามลูบซูเหลียนอวิ้นพลางบ่นด้วยความกังวลปนโมโหว่า “เกิดอะไรขึ้น กินน้ำยังสำลักได้ ระวังหน่อยสิ อาการสำลักนั้นไม่ดีเอาเสียเลย! “
ส่วนซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กำลังไออยู่ นางไม่สามารถใช้ปากพูดเพื่อสื่อสารอะไรออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงโบกมือไปมาเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่านางไม่ได้เป็นอะไรมาก
เพราะนางไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ! เมื่อครู่นี้นางก็เพียงแค่รีบดื่มน้ำเข้าไปจนสำลักก็เท่านั้น!
อีกเรื่องหนึ่งคือ…ซูเหลียนอวิ้นตกใจที่ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเรียก ‘ท่านแม่’ ออกมาเช่นนั้น!
“อวิ้นเอ๋อร์ เหตุใดยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนเด็กๆ เช่นนี้! ” น้ำเสียงของอันเพ่ยอิงแฝงความรู้สึกเหลืออดอยู่ในนั้นด้วย “ค่อยๆ ดื่มสิ มิต้องรีบ”
แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนเองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ด้วยเช่นกัน ดวงตาคู่งามของเขาจึงปรากฏแววขบขันขึ้น จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าว่าอวิ้นเอ๋อร์เลย ด้านนอกอากาศร้อนขนาดนั้น นางเพิ่งกลับเข้ามาเมื่อครู่นี้เอง ดูท่าแล้วนางต้องกระหายน้ำอย่างมากแน่นอน”
“ต่อให้กระหายน้ำแค่ไหนก็ไม่ควรดื่มน้ำเช่นนี้! ” อันเพ่ยอิงหัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างอับจนหนทาง “การดื่มน้ำเช่นนี้มิต่างอะไรกับวัวดื่มน้ำ! แถมยังไม่ดีต่อร่างกายอีกด้วย”
ซูเหลียนอวิ้นไร้วาจา เพราะตอนนี้ในหัวของนาง…กำลังตกตะลึงอยู่กับคำว่า ‘ท่านแม่’ ที่ต้วนเฉินเซวียนเรียกอันเพ่ยอิง!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออันเพ่ยอิงเองก็ยอมรับการเรียกเช่นนั้นด้วยอย่างไม่ลังเล…แถมยังคล้ายว่ารู้สึกชินกับการเรียกแบบนี้เสียแล้ว? นี่มัน นี่มัน เหตุใดนางจึงยอมรับให้ต้วนเฉินเซวียนเรียกนางว่าแม่ได้?
เพราะหากเป็นเช่นนี้แล้ว นางเองมิใช่ต้องเรียกจางเจาหวาว่าท่านแม่ด้วยเช่นกันหรือ แต่นี่มันจะไม่เร็วเกินไปหรือ
ความก้าวหน้าเช่นนี้เร็วเกินไปหรือไม่!
ต้วนเฉินเซวียนย่อมรู้ความคิดของซูเหลียนอวิ้นดี แต่อันเพ่ยอิงกลับไม่ใช่เช่นนั้น
แม้ว่าตอนแรกเริ่มนางจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการเรียกของต้วนเฉินเซวียนเช่นนี้ แต่ต้วนเฉินเซวียนได้ใช้ใบหน้าที่สามารถเอาอกเอาใจสตรีที่มีอายุเป็นหมื่นๆ ปีไปจนถึงแปดสิบหรือจะเพียงแค่สิบห้าขวบนั้นกับนาง ดังนั้นการจะทำให้อันเพ่ยอิงมีความรู้สึกดีๆ กับเขา แน่นอนว่าหวังผลอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแน่นอน
ดังนั้นอันเพ่ยอิงในตอนนี้จึงรู้สึกว่า หากต้วนเฉินเซวียนอยากจะเรียกนางก็ให้เขาเรียกไปเถิด! เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถึงอย่างไรในภายภาคหน้าก็ต้องเรียกอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็คงจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่
เมื่อซูเหลียนอวิ้นไม่เห็นท่าทีเห็นอกเห็นใจจากมารดาของตนเองจึงหันหน้าไปทางซูมั่วเยี่ยที่อยู่ข้างๆ เพื่อพยายามหาการปลอบใจสักเล็กน้อยจากพี่ชายของตัวเอง หรือไม่ก็หันไปด่าทอต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่ไว้หน้าก็ได้เช่นกัน!
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สายตาของซูมั่วเยี่ยนั้น…ถูกจดหมายเชิญสลักสีทองที่อยู่ในมือของอันเพ่ยอิงดึงดูดความสนใจไปหมดแล้ว จึงน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เขาไม่ได้เห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้น
“เฉินเซวียน อันที่จริงที่ข้าชอบคืออันนี้ แต่ไม่รู้ว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้าเห็นเป็นเช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่” อันเพ่ยอิงพูดพลางเลือกจดหมายเชิญที่ดูแล้วสวยงามหรูหราที่สุดออกมาแล้วส่งให้ต้วนเฉินเซวียนกับซูมั่วเยี่ยดู
“ท่านแม่แก่ที่ไหนกันเล่า” หลังจากที่ต้วนเฉินเซวียนกวาดตาดูแล้วรอบหนึ่งก็ส่งจดหมายเชิญนั้นให้ซูมั่วเยี่ยอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านกับท่านแม่ของข้ามีนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด! ไม่มีเรื่องอะไรก็ชอบว่าว่าตัวเองแก่ จริงๆ แก่ที่ไหนกันเล่า! หากเดินไปข้างนอกแล้วบอกว่าท่านเป็นพี่สาวของข้า ข้าเชื่อว่าต้องไม่มีผู้ใดสงสัยอย่างแน่นอน!”
อีกด้านหนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นพยายามฝืนตัวเองไม่ให้พุ่งตัวไปดูว่าจดหมายเชิญเป็นแบบใดกันแน่ นางทำเพียงฝืนนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ แล้วฟังต้วนเฉินเซวียนเอ่ยคำพูดไพเราะพวกนี้ยกยอปอปั้นอันเพ่ยอิงว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้
นางเพียงสงสัยว่า…ความสามารถในการพูดเจื้อยแจ้วของต้วนเฉินเซวียนผู้นี้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แม้ว่าแม่ของนางจะดูวัยรุ่นอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเดินออกไปข้างนอกแล้วจะบอกใครๆ ว่าเป็นพี่สาวได้! ประจบประแจงเก่งขนาดนี้แต่กลับไม่แสดงสีหน้าออกมาเลยสักนิด หนำซ้ำยังพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้? นี่มันไม่ใช่ความสามารถที่คนธรรมดาจะทำได้!
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามาดูด้วยกันสิ” ต้วนเฉินเซวียนยกมือขึ้นแล้วกวักมือเรียกซูเหลียนอวิ้นเข้ามาอย่างร่าเริง “เจ้านั่งไกลเสียขนาดนั้นจะมองเห็นชัดได้อย่างไร!”