“ท่านมาทำอะไรที่นี่” ผ่านไปพักใหญ่ ต้วนเฉินเซวียนเริ่มเก็บอาการทางสีหน้าได้ แล้วออกไปยืนที่ด้านหน้าประตูด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านมาหาคนที่จวนของข้ารึ”
“น้องสาวของข้าอยู่ที่ไหน” ซูมั่วเยี่ยผลักชายรับใช้ที่พยายามดึงตัวเขาเอาไว้ “ซูเหลียนอวิ้น น้องสาวของข้าอยู่ที่ไหน! ” เสียงของซูมั่วเยี่ยสั่นเครือ เพราะลางสังหรณ์ไม่ดีนั้นของเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ!
ความรู้สึกนั้นโจมตีที่หัวใจของเขาจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก!
“น้องสาวของท่านอยู่ที่ไหน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” กล่าวได้ว่าฝีมือการแสดงของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้จัดว่าแสดงด้วยความชำนาญ ริมฝีปากของเขาที่แย้มยิ้มได้อย่างพอเหมาะ น้ำเสียงเย็นชาแถมไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ราวกับว่า…เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ และเขาเป็นเพียงคนที่ออกมาดูเหตุการณ์และกำลังกล่าวเยาะเย้ยซูมั่วเยี่ยเท่านั้น
“เจ้าเปิดประตูให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดู” เสียงของซูมั่วเยี่ยแข็งกร้าว จากนั้นจึงหลับตาลงชั่วคราว
แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ซูมั่วเยี่ยที่อารมณ์เดือดพล่านผู้นั้นก็ได้หายตัวไปแล้ว แทนที่ด้วยซูมั่วเยี่ยที่มีความดื้นรั้นทะเยอทะยานและแน่วแน่เด็ดขาดเข้ามาแทนที่
“ท่านคิดว่าท่านเป็นใครกัน” ต้วนเฉินเซวียนกำหมัดแน่น “ที่นี่คือจวนจิ้งอันโหว ส่วนท่านเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ข้าไม่จับท่านโยนออกไปก็ดีแค่ไหนแล้ว แล้วท่านยังจะกล้ามาพูดจาเหลวไหลกับข้าเช่นนี้อีกหรือ ซูมั่วเยี่ย ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”
ในขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังพูดเขาก็หันตัวกลับไปไม่หันไปมองที่สีหน้าของซูมั่วเยี่ยอีก “หลิวจือ จับเขาโยนออกไป”
นี่เขาสบประมาทซูมั่วเยี่ยมากเกินไปหน่อยหรือไม่ ซูมั่วเยี่ยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร! เพราะต่อให้ข่าวเร็วแค่ไหนก็ไม่มีทาง…ที่จะเร็วเช่นนี้ได้
อีกอย่างเขาเองก็ไม่เชื่อว่าที่จวนของเขาจะมีคนทรยศหักหลังเขาแล้วคาบข่าวออกไปบอกซูมั่วเยี่ย
“ขอรับ นายท่าน! ” แม้ว่าบางครั้งหลิวจือจะทึ่มทื่อไปบ้าง แต่สำหรับคำสั่งของต้วนเฉินเซวียนแล้ว เขาปฏิบัติตามด้วยดีตลอดมา “ทหาร นำตัวขุนพลซูออกไปจากจวน”
สองมือยากจะต่อกรสี่เท้าได้ คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงชายรับใช้ที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้อย่างตอนที่ซูมั่วเยี่ยเข้ามาตอนแรกแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นต่อให้ซูมั่วเยี่ยจะมีฝีมือเพียงใด ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงหักใจยอมเท่านั้นแล้ว
“ต้วนเฉินเซวียน ให้คนของเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ” แขนทั้งสองข้างของซูมั่วเยี่ยถูกจับเอาไว้ “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังอยู่ใช่หรือไม่! พวกเจ้าให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้นะ! “
เงาของต้วนเฉินเซวียนแข็งทื่อ ใช่ เขามีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้นอยู่! ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขาจำเป็นต้องปิดบังเอาไว้ก่อน!
“คุณชาย” หมอหลวงสวีที่ยังนั่งอยู่ด้านในห้องได้ยินเสียงเอะอะที่พวกเขาเถียงกันตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย นั่นคือพี่ชายที่แท้ๆ ของคุณหนูซู”
“แล้วอย่างไร? ” ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตา “ก็เพราะว่าเขาเป็นพี่ชายของนาง ข้าเลยให้คนลากตัวเขาออกไปก็เท่านั้น” หากเป็นคนอื่นกล้าเข้ามาเอะอะเสียงดังแถมยังกล้าบุกเข้ามาตามหาคนที่เช่นนี้ล่ะก็…แค่สั่งฆ่าอย่างเดียวคงไม่พอ”
“เหอะๆ ไม่มีอะไร” หมอหลวงสวีนวยนาดเก็บกล่องยาของตัวเอง “ข้าเพียงแค่สลดใจเท่านั้น เพราะเขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ดังนั้น…ย่อมมีความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากผู้อื่น”
ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกลับไม่สนใจการบ่นพึมพำของหมอหลวงสวี เขาเพียงคว้าข้อมือเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “หมอหลวงสวี ท่านหมายความว่าอย่างไร นี่ท่านจะกลับแล้วหรือ”
“ทำไมหรือคุณชาย” มือของหมอหลวงสวีหยุดชะงักแล้วหันหน้าไปยิ้มให้ต้วนเฉินเซวียน “สิ่งที่ข้าพอจะทำได้ ข้าได้ทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้อีกแล้ว แล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปอีกทำไมเล่า? “
“ท่านยังไม่ได้รักษานางเลย” ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตา “ข้าต้องการให้นางฟื้นขึ้นมา”
แม้เวลาจะผ่านพ้นไป แต่กลับไม่ได้ทำให้ต้วนเฉินเซวียนได้สติขึ้นมาเลย แถมยังทำให้เขามีความดื้อรั้นขึ้นมาอีก
ดื้อรั้นตรงที่เขาคิดเพียงว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังหลับอยู่เท่านั้น นางเพียงแค่หมดสติไป! นางจะฟื้นขึ้นมาได้ นางยังไม่…ตาย!
“นางยังมีลมหายใจอยู่! ” ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปดึงตัวหมอหลวงสวีมาที่เตียง “นางยังหายใจอยู่ ชีพจรของนางยังเต้น! ท่านไม่ได้ยินหรอกหรือ อะไรคือการที่ท่านบอกว่าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ท่านยังไม่ได้ทำอะไรเลย! “
“คุณชาย! ” หมอหลวงสวีออกแรงดึงแขนซ้ายของตัวเองกลับมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยแววขำขัน “คุณชาย คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีช่วงเวลาที่เลอะเลือนเช่นนี้ด้วย”
“แม่นางที่อยู่บนเตียงตอนนี้อาการเป็นอย่างไร ท่านกับข้าล้วนรู้อยู่แก่ใจดี ดังนั้นท่านตั้งสติเสียเถิด จะหลอกตัวเองอยู่ทำไมเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…” หมอหลวงสวียิ้มอย่างเลือดเย็น “ตอนนี้ท่านต้องดีใจถึงจะถูกมิใช่รึ เพราะเด็กสาวที่ท่านเกลียดขี้หน้าและคอยพัวพันอยู่ใกล้ๆ ท่านมาตลอด ในที่สุดตอนนี้นางก็ตายเสียที! ดังนั้นท่านควรจะดีใจมิใช่หรือ”
“หุบปากเดี๋ยวนี้” เสียงของต้วนเฉินเซวียนพยายามสะกดความเดือดพล่านเอาไว้แล้วรีบยื่นมือออกไปลากคอของหมอหลวงสวีเข้ามาจ้องตากับตน “ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยคำนั้น”
คอของหมอหลวงสวีถูกรัดเอาไว้จนสีหน้าของเขาเริ่มกลายเป็นสีม่วง ทว่าแม้ว่าเขาจะพูดอะไรไม่ได้ แต่ตาของเขายังสามารถขยับได้ ลูกตาของเขากรอกกลิ้งไปมาเพื่อมองไปยังต้วนเฉินเซวียน แววตาของเขานั้นสื่อความหมายบางอย่างออกมาชัดเจน
นั่นก็คือ ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้
เนื่องจากโดยปกติแล้วซูเหลียนอวิ้นมักจะปรากฎตัวในวังหลวงบ่อยๆ แถมยังชอบไปป้วยเปี้ยนแถวสำนักหมอหลวงอีกด้วย นั่นเป็นเพราะว่าหรงซู่เป็นคนที่ชอบสะสมยาสมุนไพรเอาไว้ ดังนั้นจึงชอบไหว้วานซูเหลียนอวิ้นให้มาสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรให้ บางทีก็ให้นางเอาของบางอย่างออกไปให้เขาด้วย
ดังนั้นเวลาผ่านไปนานวันเข้า ซูเหลียนอวิ้นจึงเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากับบรรดาหมอหลวงในนั้น หมอหลวงสวีก็เป็นหนึ่งในคนที่จำหน้าค่าตาของซูเหลียนอวิ้นได้เช่นกัน
หมอหลวงสวีมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้โดยที่ไม่เคยมีลูกเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกเหงาใจหาใดเปรียบ บางครั้งเขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเมื่อก่อน…เขาควรมีลูกชายที่ซุกซนน่ารักหรือหลานสาวที่ร่าเริงสดใสสักคนหนึ่ง
ดังนั้นการปรากฏตัวบ่อยๆ ของซูเหลียนอวิ้น อันที่จริงแล้วก็ถือเป็นการเติมเต็มความปรารถนาส่วนตัวของเขาด้วยเช่นกัน บ่อยครั้งหมอหลวงสวีจึงแอบคิดเอาเองในใจว่าซูเหลียนอวิ้นก็คือหลานสาวของเขา
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อน เพราะซูเหลียนอวิ้นในครานั้น สายตาของนางไม่เคยใส่ใจผู้ใดที่นอกเหนือจากต้วนเฉินเซวียนเลย แม้แต่เด็กหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับนางนางยังไม่สนแล้วนับประสาอะไรจะมาสนใจอะไรคนแก่หัวขาวอย่างเขาเล่า
ทว่าหมอหลวงก็มิได้ใส่ใจนัก เพราะเขาก็อายุปาไปป่านนี้แล้ว ขอแค่เขาได้มองนางเพื่อให้สมความปรารถนาของตัวเองก็พอแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรในใจของเขาก็แน่วแน่แล้ว ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ของซูเหลียนอวิ้นเขาล้วนรับรู้ทั้งสิ้น!
ต้วนเฉินเซวียนหรือ? เขาเป็นผู้ที่หมอหลวงสวีไม่ชอบขี้หน้าอย่างที่สุด! ดังนั้นพอเขาพบว่าซูเหลียนอวิ้นกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปอย่างกระทันหันเช่นนี้ อันที่จริงแล้วถือได้ว่าหมอหลวงสวีควบคุมตัวเองได้ดีมากแล้วที่ไม่ได้ต่อยหน้าต้วนเฉินเซวียนสักยกใหญ่ แต่เขากลับทำเพียงแค่เยาะเย้ยประชดประชันเท่านั้น