“เจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้าและขานตอบ “นอนพักสักหน่อยเถิด นอนแล้วอะไรๆ จะได้ดีขึ้น” ช่วงนี้คุณหนูไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่นัก …หลีมู่คิดในใจพลางยกผ้าห่มขึ้นมาจากด้านข้างแล้วห่มไปบนตัวซูเหลียนอวิ้น
คุณหนูใหญ่จะตรากตรำเกินไปหน่อยแล้ว! อันที่จริงจะพักผ่อนสักเดี๋ยวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะในความคิดของหลีมู่นั้น ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นฝึกระบำกระบี่ในตอนนั้นก็ถือว่าเต็มที่อย่างถึงที่สุดแล้ว นางไม่จำเป็นต้องฝึกดึกดื่นค่อนคืนขนาดนั้นเลย หากจะพักผ่อนบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร
แต่…ก็ช่างเถิด หลีมู่มองไปที่ซูเหลียนอวิ้นที่เพียงล้มตัวลงนอนก็หลับสนิทไปทันทีแล้วส่ายหน้า เรื่องราวอื่นๆ รอให้คุณหนูตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ก็ได้
หลีมู่ออกจากห้องไปแล้วปิดประตู ทว่าช่วงเวลาที่นางเพิ่งจะหันตัวออกไปนั้น ใบหน้าใหญ่ๆ ก็จ่อเข้าตรงหน้านางโดยทันที
“พวกเจ้า! ” หลีมู่ปิดปากตัวเองแน่น แล้วรอจนตัวเองสงบอารมณ์ลงได้ถึงจะเอ่ยว่า “นี่พวกเจ้ากะจะทำให้ข้าตกใจตายเลยหรือ! ” จริงๆ เลยนะคนพวกนี้! มีวรยุทธ์และวิชาตัวเบาดีเลยคิดจะทำอย่างนี้ก็ได้หรือ วันๆ เอาแต่ผลุบๆ โผล่ๆ ราวกับเป็นผีไปได้ เร็วๆ นี้ นางคงจะตกใจจนหลอนไปแน่ๆ!
“กว่าคุณหนูใหญ่จะหลับไปได้ไม่ง่ายเลยนะ! หากข้าส่งเสียงร้องออกมาแล้วทำให้คุณหนูใหญ่ตกใจตื่นขึ้นมาจะทำอย่างไร! ” หลีมู่กวาดตามองอย่างหัวเสียไปที่คนตรงหน้าตนที่มีท่าทางราวกับรูปปั้นหกอันที่ถูกแกะสลักเป็นรูปคน
“โธ่เอ๊ย หลีมู่ อย่าดุไปหน่อยเลย! ” หยาเอ่อร์กล่าวพลางยิ้มคิกคัก “ข้ารู้สึกว่าหลีมู่เองก็คงจะเคยชินกับการปรากฏตัวของพวกเราเช่นนี้ตั้งนานแล้วกระมัง ดูเจ้าตอนนี้สิว่าสงบขนาดไหน หากเป็นเมื่อก่อนคงจะโมโหจนฟาดงวงฟาดงาไปแล้ว” ตอนนี้กลับควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียงออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลีมู่มีพัฒนาการขึ้นมากทีเดียว!
“พวกเจ้า! ” หลีมู่ส่งเสียงอู้อี้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้นางจำเป็นต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน เพราะว่าซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี้เอง อีกอย่างช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นต้องการนอนอย่างสงบมากๆ หากมีเสียงรบกวนแม้เพียงนิดเดียวก็คงจะทำให้นางตกใจตื่นขึ้นมาได้
“พวกเราเดินไปจากตรงนี้ให้ไกลๆ หน่อยแล้วค่อยว่ากัน! ” หลังจากที่หลีมู่เดินไปยังห้องที่นางคิดว่าห่างจากห้องของซูเหลียนอวิ้นไกลพอสมควรแล้วก็เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ว่ามา พวกเจ้าอยากถามอะไร” เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ซูเหลียนอวิ้นได้แสดงรำกระบี่ ดังนั้นพวกเขาจึงร้อนใจและรอกันแทบไม่ไหว และดูเหมือนว่าพวกเขาคงรอกันมานานแล้วกว่าจะเห็นนางออกมา
“วันนี้คุณหนูแสดงเป็นอย่างไรบ้าง!” ผูหลิวไม่ได้มีท่าทางสงบนิ่งเหมือนอย่างวันก่อนๆ แล้ว นางจึงเอ่ยถามขึ้นเป็นคนแรก “ครั้งนี้เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นหรือไม่ ท่าทางการร่ายรำของคุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง โดยพื้นฐานแล้วคงไม่มีอะไรผิดพลาด…แต่หากไปถึงสนามจริงแล้วตื่นเต้นขึ้นมาเล่า เพราะเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วคงจะเป็นเรื่องยากเหมือนกัน…”
“ใช่แล้วๆ ! สุดท้ายผลเป็นอย่างไรบ้าง แม่เยียลี่ว์เยียนนั่นแสดงอะไร ร่ายรำได้สวยงามกว่าคุณหนูของข้าหรือไม่” อวี่ซางถามขึ้น
“จะไปรำดีกว่าคุณหนูของเราได้อย่างไรเล่า!” หยาเอ่อร์ทำคอเชิด “คุณหนูใหญ่ร่ายรำเก่งเป็นที่สุด! แม่องค์หญิงนั่นจะไปสู้คุณหนูได้อย่างไร!”
เมื่อหลีมู่ได้ยินพวกเขาเถียงกันคอเป็นเอ็นเช่นนี้ก็รู้สึกรำคาญ แล้วแอบคิดว่า มิน่าเล่าคุณหนูถึงบอกว่าทุกครั้งที่ฝึกเสร็จแล้วจะรู้สึกปวดหัวมากกว่าปวดเมื่อยตามตัวเป็นไหนๆ ! เถียงกันเอะอะเช่นนี้มันน่าปวดหัวเอามากๆ
หลีมู่กระแอมคอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกคนเงียบเดี๋ยวนี้! สรุปจะให้ข้าเล่าให้ฟังหรือไม่!”
“หลีมู่เชิญเล่าเถอะ…” คนทั้งห้าคนปิดปากแล้วก้มหน้าราวกับเด็กที่ทำความผิดบางอย่างมาและกำลังรอรับโทษอยู่
“เอ่อ ผลการแข่งขัน…ก็เป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้าคิด”
“เหมือนอย่างที่คิด?” ผูหลิวกระพริบตา “เช่นนั้นก็หมายความว่า…คุณหนูเป็นฝ่ายชนะรึ!” นางกะเอาไว้อยู่แล้วเชียว! มีนางคอยเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้คุณหนูใหญ่ทุกวันทั้งคน อีกอย่างตัวคุณหนูเองก็ขยันฝึกซ้อมมากขนาดนั้น การเป็นฝ่ายชนะ…ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา!
เมื่อครู่นี้นางตกใจแทบแย่! หลีมู่ดันทำหน้าขมขื่นเช่นนั้นเข้ามา ทำเอาใจของพวกเขาห่อเ**่ยวไปโดยฉับพลัน!
ยังดีๆ …
แต่ในเมื่อเป็นฝ่ายชนะ เหตุใดตอนที่เข้ามานางจึงต้องทำหน้าขมขื่นเช่นนั้นด้วย
“คุณหนูใหญ่เป็นฝ่ายชนะก็เป็นเรื่องน่ายินดีน่ะสิ” หลานเย่ว์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เก็บความยินดีเอาไว้ไม่อยู่ “ดังนั้นวันนี้ก็มีเรื่องน่าเบิกบานใจกันแล้ว แล้วเหตุใดหลีมู่ต้องทำหน้าเช่นนั้นด้วย”
“ข้า…” หลีมู่ผายมือ “เป็นเพราะว่าวันนี้เกิดทั้งเรื่องดีและทั้งเรื่องร้ายน่ะสิ”
“เรื่องร้ายเรื่องใด”
หลีมู่เอ่ยว่า “วันนี้คุณหนูใหญ่เจอคุณชายต้วนเข้า”
หลานเย่ว์ “…”
หยาเอ่อร์เอ่ยถามต่อว่า “แล้วอย่างไรเล่า คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง ถึงพวกเราจะไม่ได้ตามไปด้วย แต่มีคุณชายใหญ่ไปกับคุณหนูด้วย ดังนั้นคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรกระมัง”
“ตอนแรกเริ่มก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่หลังจากที่งานเลี้ยงจบลง คุณชายต้วนก็ลากคุณหนูออกไปคุยตามลำพัง” หลีมู่หรี่เสียงลงตรงคำว่า ‘ลำพัง’ สองคำ
“คุณชายใหญ่คิดอะไรอยู่…” น้ำเสียงของผูหลิวหรี่ค่อยลง “ถึงกับปล่อยให้คุณหนูใหญ่กับคนอย่างนั้นไปคุยกันตามลำพัง…คุณชายใหญ่ก็ปล่อยมากเกินไป!”
นี่ถือว่าใจกว้างเกินไปหน่อยหรือไม่
“ไม่รู้” หลีมู่ส่ายหน้าแล้วสูดหายใจลึก “แต่สรุปแล้วตอนนี้คุณหนูอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง! พวกเราก็อย่าพูดอะไรกันมากเลย และยังมีอีกคือคืนวันนี้…ข้าเกรงว่าจะมี เฮ้อ นั่นแหละ! ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องตั้งสติให้ดี ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญบุกรุกเข้ามาที่นี่อีกหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว” คนทั้งห้าตอบรับและพยักหน้าพร้อมกัน
ทว่าเมื่อได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นกลับไปมีทีท่าทางเหมือนเมื่อสองสามวันก่อนอีกครั้งนั้น และมีสาเหตุมาจากการได้พบหน้าต้วนเฉินเซวียนในวันนี้ ใจของพวกเขาก็เริ่มกระตุก เมื่อนึกหน้าต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์โกรธของพวกเขาก็ไม่รู้พลุ่งพล่านขึ้นมาจากที่ใด!
หากมีโอกาสจะต้องแก้แค้นแทนคุณหนูใหญ่ให้ได้!
……
“หลีมู่?” เนื่องจากไม่ค่อยได้พักผ่อนติดต่อกันมาหลายวัน ทำให้วันนี้ซูเหลียนอวิ้นนอนยาวไปถึงตอนค่ำ
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าตอนที่ตัวเองกำลังจะนอนตะวันยังคงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ส่วนตอนนี้เล่าบุหลันกลับออกมาทำงานแทนเสียแล้ว!
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ตั้งแต่ตอนที่หลีมู่คุยกับพวกผูหลิวเสร็จ นางก็ไม่วางใจที่จะปล่อยให้คุณหนูอยู่ในห้องตามลำพังอีกเพราะหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำอย่างไรเล่า
ดังนั้นตลอดบ่ายที่ผ่านมานี้ หลีมู่จึงอยู่ในห้องนี้ตลอดโดยไม่ไปไหน ดังนั้นเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเรียกนาง นางจึงรีบลุกขึ้นก่อนเป็นอย่างแรกแล้วค่อยขานรับ “คุณหนูใหญ่ บ่าวเห็นว่าคุณหนูหลับลึกมากก็เลยไม่ได้เรียกคุณหนูเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูหิวอะไรหรือไม่ ในห้องครัวคอยอุ่นกับข้าวอยู่ตลอด หากตอนนี้คุณหนูจะกิน บ่าวจะรีบไปเอามาให้คุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่หิว” ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลายพลางรู้สึกว่าคอของตัวเองในตอนนี้แสบร้อนราวกับถูกไฟเผา “รินน้ำให้ข้าสักแก้วเถิด ข้าเจ็บคอไปหมด” แถมยังปวดหัวมากด้วย! แม้ว่านางจะนอนหลับไปนาน แต่นั่นก็เท่ากับว่านางมีเวลาฝันถึงเรื่องนั้นนานยิ่งขึ้น!