“หุบปาก!” ต้วนเฉินเซวียนกดเสียงต่ำ “หรงซู่หากเจ้ายังกล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียวล่ะก็…”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนสบตากับซูเหลียนอวิ้น จิตใจของเขาก็ยิ่งห่อเ**่ยว ทว่าเขายังคงมาดเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง แล้วเพ่งสายตาจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ลดละ ทว่าเพียงครู่เดียว สายตาของต้วนเฉินเซวียนก็หันกลับไปจ้องที่หรงซู่อีกครั้ง
เนื่องจากตอนนี้ไฟโทสะที่อยู่ในร่างของเขายังหาทางระบายออกไปไม่ได้ และหรงซู่ก็เหมาะที่จะเป็นที่ระบายอารมณ์ได้ดียิ่ง
“ศิษย์น้อง อย่าโกรธไปเลย” หรงซู่ยิ้มขึ้นแล้วค่อยๆ ดันซูเหลียนอวิ้นมาอยู่ด้นหน้าของตน “เจ้าดูตัวเจ้าสิ ดุร้ายขนาดนั้น แล้วจะมีผู้หญิงคนไหนชอบเจ้าล่ะ ถูกไหม อีกอย่างหากเจ้าทำให้ซูเหลียนอวิ้นเสียขวัญไปจะทำอย่างไร?”
เมื่อหรงซู่ออกแรงผลักซูเหลียนอวิ้นออกไปด้านหน้าแบบนั้น นางก็เกิดความคิดอยากจะเอาหรงซู่ไปประหารแบบพันมีดหมื่นแร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เนื่องจากนางมองออกอย่างแน่นอนว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่ว่านี่เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมิใช่หรือ? ทำไมต้องดึงนางเข้าไปเกี่ยว? ทำไมต้องดึงนางเข้าไปเกี่ยวด้วย!
“ซูเหลียนอวิ้น…” ท้ายที่สุดต้วนเฉินเซวียนก็ไม่ได้จ้องไปยังหรงซู่อีกต่อไป สายตาของเขาเคลื่อนไหวมาตกอยู่ที่ซูเหลียนอวิ้น “การกระทำทั้งหมดของเจ้าเมื่อครู่นี้ เจ้าจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ?”
ครั้งนี้ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ กล่าวย้ำคำพูดแต่ละคำช้าๆ น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินก็รู้สึกราวกับโดนเอามีดทื่อๆ ไร้รูปร่างเฉือนเข้าเนื้อของนางทีละน้อย
โรคประสาทของต้วนเฉินเซวียนกำเริบขึ้นอีกแล้ว! นางจะทำอะไร…นางจะทำอะไรมันเกี่ยวกับเขาตรงไหน? หรือว่าเป็นเพราะหรงซู่เป็นศิษย์พี่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบเห็นหรงซู่อยู่ใกล้ชิดกับนาง?เนื่องจากเมื่อเกลียดสิ่งใดแล้ว เวลาที่คนผู้นั้นข้องเกี่ยวกับสิ่งใดก็จะต้องก็จะพาลเกลียดสิ่งนั้นไปด้วย
เมื่อซูเหลียนอวิ้นสบตากับต้วนเฉินเซวียน แข่งขาและท้องน้อยของนางพลันสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนนี้เขาอยู่ที่เรือนของนางนะ! เขาคงจะไม่ฆ่าคนตายแถวนี้กระมัง? แต่เมื่อนึกถึงเวลาปกติที่เขาแสดงอารมณ์อย่างไม่สนใจใครหน้าไหนเทียบกับสายตาของเขาในตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนคงไม่ได้อยากจะฆ่านางอย่างเ**้ยมโหดจริงๆ กระมัง!
เนื่องจากแววตาของเขามีความเดือดดาลอยู่อย่างเข้มข้น ทั้งความอาฆาตก็ชัดเจน
“ท่านอาจารย์…” ซูเหลียนอวิ้นก้าวถอยหลังแล้วกระตุกเสื้อของหรงซู่ นางกลัวตายจะแย่! ท่านอาจารย์อย่ามัวแต่หลบอยู่หลังนางสิ!
“อวิ้นเอ๋อร์…”เมื่อหรงซู่เห็นท่าทางของต้วนเฉินเซวียนแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าศิษย์น้องของเขาตอนนี้กำลังโกรธอย่างมาก ด้วยเหตุนี้หรงซู่จึงไร้หนทางอื่นแลไม่รู้จะเลือกทำสิ่งอื่นใดได้อีก
“อวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่แกะมือของซูเหลียนอวิ้นที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่เสื้อของเขาออกแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์เองก็เห็นใจเจ้าแต่ไร้หนทางจะช่วย ดังนั้นเจ้าช่วยตัวเองจะดีที่สุด! มียาอีกมากมายที่อาจารย์ต้องรีบกลับไปจัดการ ดังนั้นอาจารย์ต้องขอตัวก่อนแล้ว”
ไม่เอาศิษย์น้องอันตรพาลของท่านไปด้วยเล่า! หรงซู่ท่านกลับมาก่อน!
ตอนนี้บรรยากาศตึงเครียดหาใดเปรียบ อีกทั้งในขณะนี้ที่หรงซู่ก็กำลังจะปลีกตัวหนีไปนั้น หนานกงมู่เสวี่ยก็ผลักประตูเปิดและเดินออกมาในเวลานั้น
ทั้งสามคนจึงมองไปยังหนานกงมู่เสวี่ยเป็นตาเดียวและได้ยินหนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นเพียงว่า “หรงซู่”
ในตอนนั้นหรงซู่ยังคงใช้สายตาขบขันหันไปมองหนานกงมู่เสวี่ย จากนั้นสายตาจึงเริ่มปรากฏความหนาวยะเยือก หรงซู่จึงยื่นมือปล่อยซูเหลียนอวิ้นออกไป จากนั้นจึงทำความเคารพหนานกงมู่เสวี่ยแล้วเอ่ยว่า “จวิ้นจู่”
เมื่อได้ยินคำพูดสองคำนี้ มือของหนานกงมู่เสวี่ยที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพลันกำแน่นขึ้น
จวิ้นจู่…คำสองคำที่หนานกงมู่เสวี่ยได้ยินอยู่ทุกวัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า คำสองคำนี้สามารถทำร้ายคนได้มากถึงขั้นนี้
“หรงซู่” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้น ระหว่างที่ค่อยๆ ก้าวลงมาจากระเบียงทางเดิน “ท่าน…มาตรงนี้ก่อนได้หรือไม่? ข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับท่าน”
หรงซู่ไม่คล้อยตามแต่อย่างใด “มีเรื่องอะไร จวิ้นจู่ก็พูดออกมาได้เลย ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ได้ยินทุกอย่าง”
“หรงซู่” ดวงตาคู่งามของหนานกงมู่เสวี่ยเบิกกว้างแล้วเดินออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “จวิ้นจู่บอกให้เจ้ามาทางนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง?!”
หรงซู่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มเริ่มกลับมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ทว่าแม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ยิ้มออกมาจากดวงตา เขาเอ่ยขึ้นว่า “ดูแล้วจวิ้นจู่คงไม่อยากจะคุยกันดีๆ แล้ว ช่างเถิด ข้าน้อยเองก็คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับจวิ้นจู่แล้วเช่นกัน” เมื่อพูดจบเขาก็เตรียมตัวหันจะเดินจากไป
“หรงซู่เจ้าลองเดินหนีอีกก้าวหนึ่งต่อหน้าข้าดูสิ!” ไม่รู้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยโศกเศร้าหรือว่าโมโห ขณะที่นางกำลังเอ่ยปากอยู่นั้นร่างกายของนางพลางสั่นเทา
เท้าขวาของหรงซู่ที่กำลังจะก้าวหยุดชะงัก จากนั้นจึงวางเท้าลง เขาหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อจวิ้นจู่ไม่ให้ข้าน้อยเดิน ข้าก็จะไม่เดิน”
จากนั้นร่างของหรงซู่ก็กระโดดลอยขึ้นแล้วบินจากไป
เอ่อ เขาไม่ได้เดินสักก้าวเลยจริงๆ เพราะว่าเขาเลือกที่จะบินจากไป
หนานกงมู่เสวี่ยเฝ้ามองเงาร่างสีขาวที่ค่อยๆ เล็กลงและห่างไกลออกไป ร่างกายของนางยิ่งสั่นเทามากขึ้น ท้ายที่สุดของเหลวบางอย่างก็เอ่อทะลักออกมาจากดวงตาของนางอย่างควบคุมไม่ได้
“ศิษย์พี่หญิง” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหรงซู่ใช้วิชาตัวเบาจากไปเช่นนั้น เขาก็อดแอบทอดถอนใจไม่ได้ เขาก้าวไปข้างหน้าเพราะอยากจะเอ่ยปากปลอบใจ ทว่าพอครุ่นคิดดูแล้วกลับเลือกที่จะปล่อยวาง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำปลอบใจของผู้ใดก็คงจะเป็นเพียงเกลือที่โรยลงไปบนบาดแผลเสียมากกว่า…
ร้อยถ้อยคำหมื่นคำพูดก็มิสู้คำพูดของคนผู้นั้นเพียงประโยคเดียว
นี่คือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
“ซูเหลียนอวิ้น” หนานกงมู่เสวี่ยทำจมูกฟึดฟัด ทว่าเพียงครู่เดียวนางก็ยืดตัวตรงแล้วเชิดหน้าขึ้นกลับคืนสู่จวิ้นจู่ที่มีความสูงส่งสง่างามเช่นเดิมตามปกติ นางเอ่ยต่อว่า “จวิ้นจู่ขอตัวก่อน วันหน้าหากมีเรื่องอะไร ข้าจะส่งจดหมายมาเชิญเจ้าไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบหนานกงมู่เสวี่ยก็จากไปโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“ตกลง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าเกร็งๆ
เอ๊ะ มิถูก
หนานกงมู่เสวี่ยเจ้ากลับมาก่อน! เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย ขอร้องล่ะ! เพราะในลานบ้านของนางตอนนี้เหลือเพียงซูเหลียนอวิ้นกับต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น
“ซูเหลียนอวิ้น” หลังจากที่เงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ความโกรธของต้วนเฉินเซวียนก็มิได้รุนแรงอย่างเดิมอีก แต่เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นมองตามหลังหนานกงมู่เสวี่ยไปอย่างคาดหวัง แต่สายตาเมื่อมองกลับมาที่ตน กลับเป็นสายตาของความหวาดกลัวและอยากหลีกเลี่ยง
โทสะของต้วนเฉินเซวียนเดิมทีที่ลดลงไปแล้วเกือบครึ่ง ตอนนี้กลับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ากลัวข้ามากเลยหรือ?” ต้วนเฉินเซวียนก้าวเข้าไปช้าๆ พลางเอ่ยขึ้น ทว่าเสียงของเขาในตอนนี้กลับแหบแห้งชวนฝัน หากไม่ทันระวังตัวให้ดีก็คงจะถูกเสียงนี้ดึงดูดให้ตกลงไปในวังวนที่กำลังหมุนวน
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้างึกหงักราวกับไก่จิกข้าวเปลือก แต่เมื่อมองไปยังสายตาของต้วนเฉินเซวียนที่ยิ่งมืดดำขึ้นเรื่อยๆ ในหัวของนางก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง
“ข้า ข้า ข้า…” ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นเอามือกุมศีรษะของตนเอาไว้แล้วนั่งยองๆ ลงบนพื้น
“เอ๊ะ? เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มพลางเอ่ยถาม