“เทียนเกอเจ้าช่างโชคดีเสียจริง” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดกึ่งชื่นชมกึ่งล้อเล่น นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมถอนใจและพูด “ศิษย์ของท่านปรมาจารย์… ทำไมข้าถึงไม่มีโชคเช่นนั้นบ้าง!”
โม่เทียนเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้ดูมีความสุขหรือภูมิใจนัก นางพูด “ข้าก็เหมือนกับท่านตอนนี้มิใช่หรือ ในอนาคตข้าก็หวังว่าศิษย์พี่หลัวจะสามารถดูแลข้าได้” ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินพูดว่านางจะต้องอาศัยอยู่กับศิษย์พี่หลัว ดังนั้นนางจำเป็นที่จะต้องได้รับการชี้แนะในเรื่องต่างๆ จากผู้มีความสามารถอย่างศิษย์พี่หลัวแน่นอน
หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่บ่นไปเรื่อยและไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดนัก ดังนั้นนางจึงหัวเราะและพูดว่า “ใช่สิ ต่อไปข้าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เจ้าอาจกลายเป็นท่านอาจารย์ลุงของข้า ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ข้าจะต้องรีบหาผลประโยชน์ในการประจบเจ้า!”
หลังจากที่พูดคุยและหัวเราะขบขันกันอยู่ระยะหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยก็พานางไปที่ที่นางจะต้องพักต่อไป
ศิษย์ในกลุ่มผู้ฝึกตนได้แบ่งออกเป็นหลายประเภท ประเภททั่วๆ ไปเป็นศิษย์นอกเวลา ศิษย์ทางการ และศิษย์ระดับหัวกะทิ
ในสำนักอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอจัดได้ว่าเป็นศิษย์ทางการซึ่งสูงกว่าศิษย์นอกเวลาเพียงแค่หนึ่งระดับ ที่สำนักอวิ๋นอู้ศิษย์ทางการจะเป็นระดับที่ปกติและมีจำนวนมากที่สุด ในเมื่อพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ภายในจากอาจารย์ท่านไหน พวกเขาหลายร้อยคนบางครั้งหลายพันคนจะต้องเบียดอัดกันหากต้องการที่จะฟังเทศน์หรือคำสอนจากผู้อาวุโส ไม่มีใครคอยดูแลความคืบหน้าของการฝึกตนให้พวกเขา แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตัวเอง
สำหรับศิษย์ระดับหัวกะทิ พวกเขาต่างได้รับการยอมรับจากท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่าความอาวุโสในโลกแห่งการฝึกตนจะจัดลำดับจากระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตน ถ้าผู้ฝึกตนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ภายในอย่างเป็นทางการจากท่านอาจารย์ การจัดลำดับความอาวุโสนั้นจะยิ่งซับซ้อนขึ้น เป็นกฎที่ตายตัวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระดับการฝึกตนของพวกเขา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเหมือนกับนาง นางก็สามารถเรียกผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังว่าท่านอาจารย์ลุงได้
ศิษย์ระดับหัวกะทิได้ถูกแบ่งออกหลายรูปแบบ รูปแบบที่ต่ำที่สุดคือศิษย์ที่ได้ลงนามการเข้าเป็นศิษย์ ความจริงแล้ว ศิษย์ที่เพียงแค่ลงนามยังไม่สามารถนับได้ว่าเป็นศิษย์ที่แท้จริงเพราะท่านอาจารย์ไม่ได้สอนพวกเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นทางเลือกเดียวของโม่เทียนเกอคือเลือกอยู่กับหลัวเฟิงเสวี่ย ในฐานะศิษย์ที่ลงนามแล้ว ซึ่งตามหลักความเป็นจริงสถานะของนางต้องอยู่ต่ำกว่าหลัวเฟิงเสวี่ย ทว่าในเมื่อท่านอาจารย์ของนางเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ สถานะของนางจึงแตกต่าง แม้แต่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ยังปฏิบัติกับนางอย่างมีมารยาท
ศิษย์ทั่วไปที่พบได้มากที่สุดในระดับศิษย์ชั้นหัวกะทิคือศิษย์ภายใน โดยทั่วไปแล้วเมื่อผู้ฝึกตนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ที่ระดับสูงกว่า พวกเขาจะกลายเป็นศิษย์ภายในและสามารถรับคำชี้แนะจากอาจารย์ของพวกเขาได้ ถ้าอาจารย์ของพวกเขาพึงพอใจกับความคืบหน้าในการฝึกตน พวกเขาก็อาจจะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์ภายในชั้นสูง ในงานที่ศิษย์ได้รับการเลื่อนขั้นท่านอาจารย์ของพวกเขาจะสอนวิชาลับและพลังศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพวกเขาจะถูกจัดลำดับระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องด้วยกันเอง เช่น ในเมื่อท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงลำดับหนึ่งของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาจึงเป็นที่รู้จักในนามศิษย์ผู้อาวุโสสูงสุดของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ศิษย์ระดับหัวกะทิแบบสุดท้ายหรือศิษย์แบบที่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์มากที่สุด คือศิษย์โดยตรง ผู้ซึ่งจะได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจาย์โดยแท้จริง และนับได้ว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดด้วย โดยทั่วไปแล้วอาจารย์หนึ่งท่านจะมีศิษย์โดยตรงเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
ตอนนี้โม่เทียนเกอเป็นเพียงศิษย์ที่ลงนามไว้แต่ในเมื่ออัตลักษณ์ท่านอาจารย์ของนางนั้นพิเศษเกินธรรมดา สถานะของนางจึงไม่เหมือนคนอื่น ด้วยเหตุผลนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยจึงจัดที่พักข้างถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินสำหรับโม่เทียนเกอ และนางในการอาศัยอยู่ร่วมกันกับศิษย์ผู้หญิงคนอื่น
หลัวเฟิงเสวี่ยต้องการที่จะแนะนำนางให้กับศิษย์ผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ทว่าพวกนางทั้งหมดนั้นล้วนไม่อยู่หรือไม่ก็กำลังปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิกันอยู่ สุดท้ายแล้วนางก็ไม่มีทางเลือกจึงต้องทิ้งเรื่องนี้ไปและรอเวลาที่เหมาะสมแทน ในขณะที่นางกำลังอยู่ในหน้าที่วันนั้น นางจึงปล่อยให้โม่เทียนเกอได้พักผ่อนไปก่อน
เมื่อนางส่งหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอรู้สึกอ่อนล้าในทันที อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มยังคงเบ่งบานอยู่บนหน้าของนาง
แท้จริงแล้วนางคาดว่าในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิง เหล่าสมาชิกน่าจะต้องมีระดับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและศิษย์แต่ละคนน่าจะหยิ่งทะนงตน แต่ก็ต้องเป็นที่น่าประหลาดใจสำหรับนาง คนแรกที่นางพบซึ่งก็คือหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นทั้งเป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย อีกอย่างท่านปรมาจารย์จิ้งเหอยังรับนางให้เข้าเป็นศิษย์ลงนามของท่านอีก
ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนนางรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง ตั้งแต่ที่นางตัดสินใจก้าวเท้าเข้าสู่ถนนแห่งเซียน นางมักจะต้องดิ้นรนอยู่เสมอ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่นางจะมีอนาคตสดใสที่รออยู่เบื้องหน้าชัดเจนเช่นนี้
แน่นอนที่นางยังคงสงสัยว่าพวกเขาอาจจะมีแรงจูงใจแอบแฝง เหมือนที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของนาง โม่เหยาชิง ผู้ซึ่งพบว่าท่านอาจารย์ของนางได้วางแผนมาเป็นเวลานานแล้วต่อชะตาของนางเมื่อนางสามารถเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โม่เทียนเกอนึกให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็พบว่ามันไม่มีอะไรที่นางจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยในเมื่อนางยังคงเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ถึงแม้ว่าท่านปรมาจารย์จิ้งเหอจะมีเจตนาที่ไม่ดี ด้วยระดับการฝึกตนของท่านแล้ว ท่านก็เพียงแค่ต้องบีบบบังคับนางด้วยกำลังก็ได้ ทำไมจะต้องจัดการอะไรต่างๆ ทั้งหมดนี่เพื่อนางด้วย
ด้วยความคิดนี้ โม่เทียนเกอจึงทำใจปล่อยวางไป
สุดท้ายแล้ว ศิษย์ระดับหัวกะทิก็ยังคงเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ การเลี้ยงดูที่พวกเขาได้รับนั้นแตกต่างจากศิษย์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง บ้านพักของนางอยู่ข้างถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน มันทั้งเงียบ เป็นส่วนตัวและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ มีเพียงแค่ศิษย์ผู้หญิงเท่านั้นที่พักอยู่ที่นี่และแต่ละคนต่างได้รับถ้ำเซียนเล็กๆ เป็นของตัวเอง ในแต่ละถ้ำนั้นแบ่งไปด้วยห้องหลายห้อง ตั้งแต่ห้องนอน ห้องสำหรับฝึกตน ห้องปรุงยา และห้องสำหรับเลี้ยงดูสัตว์วิญญาณและอื่นๆ ทุกอย่างที่พวกนางต้องการล้วนมีจัดเตรียมไว้ให้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องเรือนทั้งหมดล้วนทำจากหยกแทบทั้งสิ้น
นี่ช่วยขยายขอบเขตความคิดของโม่เทียนเกอออกไปอย่างมาก เท่าที่นางรู้แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักอวิ๋นอู้ก็ไม่ได้มีถ้ำเซียนดีๆ เช่นนี้ แต่โรงเรียนเสวียนชิงสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่โดดเด่นในขั้วแห่งท้องฟ้าจริงๆ
ความประหลาดใจและความสุขที่นางได้ถ้ำเซียนดีๆ ทำให้นางลืมความอ่อนล้าไปจนหมดสิ้น นางจึงเริ่มที่จะตกแต่งถ้ำของตัวเอง
ห้องนอนเป็นห้องที่ง่ายที่สุด ตอนนี้นางอยู่ในระดับสิบของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว และนางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนอนก็ได้ ดังนั้นนางจึงตกแต่งเพียงแค่เล็กน้อยด้านใน ในห้องสำหรับฝึกตน นางวางเสื่อสวดมนต์และม่านรวมพลังวิญญาณและหนังสือที่ไม่ค่อยสำคัญบางเล่มไว้ นางวางเตาหลอมที่ซื้อมาจากสำนักเทียนเต๋าที่ห้องปรุงยา สำหรับห้องว่างอื่นๆ นางไม่ได้ปรับเปลี่ยนสิ่งใด นางยังค้นพบลานสมุนไพรด้านหลังถ้ำซึ่งทำให้นางเกิดความคิดบางอย่างออกมา
ถ้ำเซียนของศิษย์ผู้หญิงนั้นตั้งเรียงกัน ทางด้านหลังเป็นหุบเขาเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยลานสมุนไพร พื้นที่สนามตรงนี้ส่วนมากเต็มไปด้วยพืชวิญญาณ หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนางว่าแต่ละถ้ำนั้นจะมีการแบ่งลานสมุนไพรเอาไว้ให้และเจ้าของถ้ำสามารถจัดการได้ตามที่ต้องการ
โม่เทียนเกอมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาอยู่แล้ว สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณและเหมาะอย่างมากที่จะปลูกพืชวิญญาณ ดังนั้นนางจึงได้วางแผนที่จะถามหลัวเฟิงเสวี่ยว่านางจะสามารถหาเมล็ดพันธุ์ได้จากที่ไหนบ้างในวันถัดไป
…
ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังยุ่งกับการตกแต่งถ้ำของนาง ประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอกำลังเอนกายนอนอยู่บนตั่งมังกรในถ้ำสูงสุดแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ทว่าในครั้งนี้ไม่มีหญิงงามร่วมอยู่ด้วย และไม่มีองุ่นให้ทานอยู่ด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่พลิกหน้าหนังสือไปมาอย่างขี้เกียจ หลังจากที่เปิดหนังสือดูผ่านๆ ครู่หนึ่งเขาก็เปล่งเสียง “ชิ” และพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ “เส็งเคร็งเอ๊ย! บรรพบุรุษของเหล่าผู้ฝึกตนใช้หนังสัตว์แบบนี้ทำกระดาษน่ะหรือ เจ้าไม่ได้รู้ตัวเลยสินะว่าโดนคนอื่นหลอกเอาเสียแล้ว!”
แล้วเขาก็โยนหนังสือใส่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้ที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเขา
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเก็บหนังสือขึ้นมา ขมวดคิ้วจนแทบชนกัน เขาถามในขณะที่ยังคงคาดหวัง “ท่านอาจารย์ นี่เป็นของปลอมจริงหรือ”
ฉินจิ้งเหอลุกขึ้นนั่งและรับชาถ้วยที่ศิษย์ยื่นให้ บุ้ยปากพร้อมพูด “มันเป็นของปลอม! ตั้งแต่สมัยยุคอดีตอันไกลโพ้นจนถึงสมัยยุคกลาง หินปีศาจน้ำแข็งมีอยู่แค่ทางใต้ของภูเขาและมีจำนวนน้อยมาก ในภายหลังช่วงยุคกลาง สงครามทำให้ฝ่ายธรรมะ และฝ่ายอธรรมต้องแตกหัก และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลานั้นที่จำนวนของหินปีศาจน้ำแข็งมีเพิ่มขึ้น ไม่ต้องพูดถึงวัสดุที่ทำหนังสือเล่มนี้เลย พูดถึงเนื้อหาในเล่มเสียดีกว่า เนื้อหาดูเหมือนจะถูกต้องแต่ความจริงแล้วผิด มีแต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแบบเจ้าเท่านั้นแหละที่ถูกมันหลอก! เจ้าคิดว่าของเช่นนี้จะหลอกข้าได้งั้นรึ ฝันไปเถอะ!”
“…”
บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินดูผิดหวังอย่างหนัก ฉินจิ้งเหอจึงถาม “นี่เจ้าเสียเงินไปเท่าไหร่”
“สามร้อย…”
“แค่สามร้อยศิลาวิญญาณ? เออ… ลืมมันไปเสียเถอะ” ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะไม่ถือว่าเงินเท่านั้นเป็นจำนวนน้อยนิด ไม่ต้องพูดถึงตัวฉินจิ้งเหอเลย
อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดอีกครั้ง “ท่านอาจารย์มันเป็นสามร้อยศิลาวิญญาณคุณภาพระดับกลางเสียด้วย…”
“อะไรนะ!” ฉินจิ้งเหอกระโดดลุกจากตั่งที่นั่งอยู่
ในโลกแห่งการฝึกตน โดยทั่วไปแล้วจะใช้เพียงแค่ศิลาวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น ศิลาวิญญาณระดับกลางหาไม่ได้ง่ายๆ และสามร้อยศิลาวิญญาณระดับกลางก็เทียบได้กับจำนวนกว่าสามหมื่นศิลาวิญญาณระดับต่ำทีเดียว
“สามร้อยศิลาวิญญาณระดับกลาง เจ้าโง่… เจ้านี่โง่จริงๆ …” ฉินจิ้งเหออยากจะประณามเขา แต่เมื่อนึกได้ เสวียนอินได้ถูกหลอกไปแล้ว การประณามเขาจะสามารถแก้ไขอะไรได้งั้นหรือ อย่างไรก็ตาม หัวใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน อาาา… ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วแห่งท้องฟ้า ทว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะได้เพียงแค่ศิลาวิญญาณจำนวนหลายพันในทุกปี การถูกหลอกในครั้งนี้มันช่าง…
“เจ้านี่ยิ่งแก่ยิ่งซื่อบื้อ!” เมื่อนึกถึงศิลาวิญญาณเหล่านั้น ฉินจิ้งเหอรู้สึกไม่พอใจและดุเขาอย่างรุนแรง “พูดมา! เด็กที่ไหนมันหลอกเจ้า ข้าจะหั่นมันให้เป็นชิ้นๆ และทำให้มันเสียใจที่ได้เกิดมาทีเดียว!”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินรู้สึกกังวลเพราะเรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อได้ยินที่ฉินจิ้งเหอพูด เขาจึงรีบพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้มันมาจากการแลกเปลี่ยนในที่ที่ไร้ชื่อ ท่านลืมเรื่องที่จะตามผู้นั้นเสียเถิด ข้ายังไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ”
ความต้องการที่จะฆ่าคนของท่านอาจารย์นั้นแข็งกร้าวเกินไป ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ของเขาฆ่าคน ท่านมักจะถูกตำหนิโดยผู้เฒ่าผู้อาวุโส และในทางกลับกัน ท่านอาจารย์ของเขาก็จะตำหนิคนที่ก่อให้เกิดปัญหาหลังจากที่เขากลับมา ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินอายุมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะถูกต่อว่าเหมือนเด็กสามขวบจากท่านอาจารย์ อีกอย่างเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของผู้นั้นเลย เขาได้ยอมรับชะตากรรมของเขาแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉินจิ้งเหอยังอยากที่จะพูดอยู่ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงรีบพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ข้ามีเรื่องที่จะรายงานท่าน เกี่ยวกับศิษย์ลงนามคนใหม่ของท่าน”
ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดทำให้ฉินจิ้งเหอสนใจ “หือ”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ ข้าตรวจสอบรากวิญญาณของโม่เทียนเกอ ดูเหมือนว่ามันจะ… เป็นรากวิญญาณต้นกำเนิดที่ท่านเคยพูดถึง!”
“อะไรนะ” ฉินจิ้งเหอจ้องเขาเขม็งพร้อมกับอ้าปากค้าง “รากวิญญาณต้นกำเนิด นี่เจ้าพูดถึงรากวิญญาณต้นกำเนิดที่รากวิญญาณทั้งห้าธาตุอยู่รวมกันและมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตอบ เมื่อเห็นท่าทางของฉินจิ้งเหอ เขาพูดด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยชี้แจงข้าหน่อยได้หรือไม่ว่ารากวิญญาณเหล่านั้นคืออะไร ข้าจำได้เพียงว่าในช่วงนั้นท่านกล่าวว่ารากวิญญาณต้นกำเนิดเป็นหนึ่งในประเภทของรากวิญญาณที่มีเอกลักษณ์ มันไม่ได้แย่ไปกว่ารากวิญญาณกลายพันธุ์หรือรากวิญญาณเดี่ยว แต่มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีปรากฏออกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว”
แทนที่จะตอบ ฉินจิ้งเหอพึมพำด้วยความประหลาดใจ “รากวิญญาณต้นกำเนิด? เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจนัก ร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์พบเห็นได้ยากในช่วงสหัสวรรษ และรากวิญญาณต้นกำเนิดก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นมาในช่วงหลายสหัสวรรษเช่นกัน แต่ทั้งสองอย่างกลับมีอยู่ในร่างนาง!”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าศิษย์ของเขายังคงอยู่ตรงนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกับท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน “พวกเรากำลังฝึกวิถีแห่งลัทธิเต๋า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าลัทธิเต๋าคืออะไร”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตะลึงงันในคำถาม โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งลัทธิเต๋า เมื่อศิษย์เข้ามาที่โรงเรียน ทุกๆ คนรวมถึงศิษย์นอกเวลาจะเริ่มจากการเรียนคัมภีร์แห่งลัทธิเต๋า จากคำถาม “ลัทธิเต๋าคืออะไร” เป็นทั้งคำถามที่ตื้นและลึกในความหมาย ศิษย์ทุกคนในโรงเรียนล้วนมีคำตอบแต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้
นี่เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากที่ฉินจิ้งเหอจะดูเหมือนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่จริงๆ เขาพูดด้วยท่าทางที่ผึ่งผาย “ลัทธิเต๋าคือสวรรค์และโลก อวกาศ ความว่างเปล่า กฎเกณฑ์ และต้นกำเนิด สามารถเป็นได้ทุกสิ่ง กระนั้นก็ตาม ในยุคอดีตอันไกลโพ้น ลัทธิเต๋าเป็นที่รู้จักในนามศูนย์รวมของสิ่งหนึ่ง… บทบัญญัติ”
“บทบัญญัติที่ว่านี้รวมเข้าไว้ในเรื่องของสมดุล การควบคุมสมดุลนั้นและการเป็นนิรันดร์ ด้วยความสมดุลโลกย่อมมีอยู่ได้ ด้วยการควบคุมสมดุล กฎเกณฑ์สามารถตั้งขึ้นมาได้ หลังจากนั้นจึงจะสามารถบรรลุนิรันดร์ได้”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตกใจและถาม “ท่านอาจารย์หมายความว่ารากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับลัทธิเต๋าในยุคอดีตอันไกลโพ้นอย่างนั้นหรือ”
ฉินจิ้งเหอพยักหน้าและตอบ “ถูกต้องแล้ว ด้วยวิถีการฝึกตนที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ยิ่งรากวิญญาณมีน้อยยิ่งดีกว่าเพราะมันจะเกิดความขัดแย้งระหว่างพลังวิญญาณที่จะเข้าสู่ร่างกายได้น้อย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงมีวิถีแห่งการฝึกตนอีกรูปแบบหนึ่งได้ถูกใช้กันในยุคที่ผ่านมาเป็นเวลานานมากแล้ว
“นั่น…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินรู้สึกทึ่ง นั่นหมายความว่า… ในระหว่างช่วงยุคอดีตอันไกลโพ้น รากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นความจริงแล้วเป็นพรที่สวรรค์ประทานมาอย่างนั้นหรือ
ฉินจิ้งเหอถอนใจอีกครั้งพร้อมพูด “ช่างน่าเสียดาย… ยุคอดีตอันไกลโพ้นนั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน ในช่วงยุคกลางผู้คนก็ได้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบของการฝึกตนไป ตอนนี้พวกเราไม่มีทางที่จะพบวิถีแห่งการฝึกตนของ ‘บทบัญญัติ’ นี้ เด็กคนนี้… ช่างน่าสงสารยิ่งนัก…”