คำพูดของประมุขเต๋าจิ้งเหอยังมีนัยยะอื่นซ่อนอยู่ด้วย
ลางสังหรณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นลางดีหรือลางร้าย หาใช่สิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็สัมผัสได้ไม่ ผู้ฝึกตนที่อยู่ระหว่างการเดินทาง และบังเอิญได้พบพานกับผู้ฝึกตนอีกคน เขาสามารถสัมผัสได้ด้วยหรือว่าสิ่งที่ผู้ฝึกตนอีกคนกำลังเผชิญอยู่เป็นสิ่งดีหรือสิ่งร้าย
แน่นอนว่าไม่ได้ ประการแรกสุด การที่จะสัมผัสลางสังหรณ์ได้ ผู้ฝึกตนจะต้องฝึกตนจนถึงระดับหนึ่งเสียก่อน ประการที่สอง จะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างผู้ฝึกตนที่สัมผัสลางสังหรณ์นั้น และผู้ฝึกตนที่ลางสังหรณ์นั้นข้องเกี่ยว และประการสุดท้าย ธรรมชาติของความสัมพันธ์นั้นไม่ได้แน่ชัดจนเกินไป โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันมากทีเดียว
คำพูดของประมุขเต๋าจิ้งเหอฟังดูจริงจัง ทว่าไฉนฉินซีถึงไม่เข้าใจความหมายของเขา เห็นชัดว่าการที่เยี่ยเจินจียืนอยู่ข้างเขา ยิ่งทำให้เขารู้สึกอับอายมากขึ้น ด้วยเหตุนั้นเอง เขาจึงส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอ และกล่าว “ท่านอาจารย์ ท่านสนใจแต่ปัญหาจริงๆ ก็พอ!”
“นี่เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นอาจารย์” ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้ถือจุดอ่อนของฉินซีไว้ในกำมือ มีท่าทางสงบนิ่งยิ่งนัก เขากล่าวพลางยิ้มกว้าง “ศิษย์ของเจ้าก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเจ้ายังไม่เคารพข้าเช่นนี้ ระวังศิษย์ของเจ้าจะเลียนแบบเข้าสักวัน ถึงเวลานั้น เขาก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นกัน”
น่าเสียดายที่เยี่ยเจินจีเป็นคนเถรตรง เขาจึงกล่าวตอบโดยพลัน “ข้าเคารพอาจารย์เสมอ”
“…” สีหน้ายิ้มแย้มของประมุขเต๋าจิ้งเหอเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “เด็กเหลือขอ อย่าเข้ามาสอด!”
เยี่ยเจินจีรู้สึกเสียใจ เขาชำเลืองมองอาจารย์ของเขา และกล่าวอ้อนวอน “ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดช่วยท่านป้าของข้าด้วย หากนางยังไม่ฟื้นในอีกหลายสิบปีข้างหน้า และร่างกายของนางได้รับความเสียหาย เราจะทำอย่างไรดี”
“เฮอะ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพ่นลมออกมาด้วยความโกรธเคือง “เลิกเล่นละครเสียที เจ้าอาจารย์ศิษย์คู่นี้ คนหนึ่งข่มขู่ข้า อีกคนอ้อนวอนข้า พวกเจ้ารังแกข้า เพราะเห็นว่าข้าหัวเดียวกระเทียมลีบใช่ไหม”
ดูเหมือนฉินซีจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านอาจารย์ คนที่นอนอยู่ตรงนี้คือศิษย์ของท่าน ไม่ใช่ศิษย์ของข้า”
“เจ้าพูดถูกต้องที่สุด!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอปรบมือ “ถูกต้อง! นางคือศิษย์ของข้า และอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงศิษย์น้องของเจ้า ฉะนั้น เหตุใดเจ้าถึงได้กังวลยิ่งกว่าข้าผู้เป็นอาจารย์อีกเล่า เจ้าถึงขั้นเอาเรื่องยามาขู่ข้าด้วย เฮอะ!”
ฉินซียังคงสงบนิ่ง “บอกมาสิว่าท่านต้องการอะไรกันแน่”
เมื่อได้เห็นท่าทางโอนอ่อนของฉินซี ประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันรู้สึกพึงพอใจทันที เขาชำเลืองมองไปที่เยี่ยเจินจี และกล่าว “ไว้เราค่อยๆ คุยกันเรื่องนี้ ยามที่เราอยู่ตามลำพัง” เมื่อเห็นว่าฉินซีแอบถอนหายใจ เขาจึงขยับเข้าไปใกล้และกระซิบ “วางใจได้ ในเมื่อศิษย์ของเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าไม่ทำให้เจ้าดูแย่หรอก”
หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอตรงเข้าไปหาโม่เทียนเกอ เพื่อตรวจดูอาการของนางอีกครั้ง จากนั้นเขากล่าวอย่างจริงจัง “โดยหลักแล้ว ไม่มีทางแก้การปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ได้ อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักสำรับยาที่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งนัก แม้มันจะไม่อาจช่วยให้นางฟื้นได้โดยตรง ทว่ามันก็ป้องกันไม่ให้ร่างกายของนางเสื่อมสลายไปได้”
“สูตรยานั้นอยู่ที่ไหน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ และเริ่มคลำหาอะไรบางอย่าง ไม่นานเขาก็หยิบหยกบันทึกกองหนึ่งออกมา “เจ้าลองหาดู มันน่าจะอยู่ในนี้สักแห่ง อยู่ๆ ข้าก็ลืมไปแล้วว่ามันคืออันไหนกันแน่”
ฉินซีทำอะไรไม่ถูก เขาชำเลืองมองประมุขเต๋าจิ้งเหอครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นค้นหาอย่างหมดหนทาง โชคดีที่ว่ามีหยกบันทึกแค่สามแผ่นเท่านั้น แม้จะมีหยกบันทึกหลายร้อยแผ่นในกองนี้ ทว่าในที่สุด พวกเขาก็สามารถหาแผ่นหยกที่ถูกต้องเจอ หลังจากที่หาไปได้สักพักหนึ่ง
ทันทีที่เขาอ่านสูตรยา ฉินซีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง “สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้…”
“ใช่ บางตัวก็หายากเหลือเกินทุกวันนี้ ข้าว่าเจ้าคงต้องใช้เวลานานสักหน่อยในการหาพวกมัน”
“แต่เรามีเวลาไม่มากแล้ว!”
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพ่นเสียงหัวเราะเสแสร้งออกมา “ข้ารู้วิชารักษาที่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าเพียงแต่ต้องทำให้นางวันละครั้ง อย่างน้อยที่สุด มันก็รับรองได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของนางไปอีกหลายปี”
“…” รอยย่นบนคิ้วของฉินซีมิได้จางไป “ตำราอยู่ที่ไหน”
ครานี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้หยิบกองหยกบันทึกใดๆ ออกมาอีก ทว่าเขาโยนคัมภีร์ที่ทำจากหนังสัตว์ให้ฉินซีแทน จากนั้นเขากล่าว “ในเมื่อเจ้าออกจากการปิดประตูแห่งจิตแล้ว เลิกคิดเรื่องการสร้างจิตวิญญาณใหม่ไปสักพัก เจ้าพักผ่อนไปก่อนอีกสักหลายปี เจ้าปิดประตูแห่งจิตมาได้สามสิบห้าปีแล้ว เจ้าไม่ได้พักจิตใจของเจ้าตลอดช่วงที่ผ่านมา การสร้างจิตวิญญาณใหม่เป็นเรื่องที่หนักหนายิ่งนัก สภาพของเจ้าในปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะอาศัยโอกาสนั้น ใช้เวลาพักอย่างเหมาะสม ยามเจ้ารู้สึกผ่อนคลายแล้ว เจ้าค่อยลองใหม่”
ฉินซีเงียบทว่าไม่ได้คัดค้านอะไร หากเขายังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิต เขาคงต้องคัดค้านเป็นแน่ ทว่าในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาไม่อาจดำเนินการปิดประตูแห่งจิตต่อไปได้
ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูโล่งใจ “เอาละ พาเทียนเกอกลับไปที่บ้านพักหมิงชิง และบอกซิ่วฉินกับคนอื่นๆ ให้ดูแลนาง เด็กสาวๆ พวกนั้นอยู่ในโอวาทดี หลังจากนางได้อบรมสั่งสอนพวกเขาแล้ว ฉะนั้นเจ้าวางใจได้”
ฉินซีพยักหน้า เขาอุ้มโม่เทียนเกอออกไปอย่างไม่รอช้า จากนั้นจึงตรงไปยังบ้านพักหมิงชิง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมา หลังจากโม่เทียนเกอเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักหมิงชิน ทว่าเขาก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับทุกสิ่งโดยรอบนี้ยิ่งนัก
สระน้ำที่หน้าบ้าน ทุ่งยาสมุนไพรที่หลังบ้าน… นางยกห้องนอนให้กับเจินจี ขณะที่นางอาศัยห้องฝึกตนแทน ใครบอกกันว่าเขาคลั่งการฝึกตน ความจริงแล้ว นางก็ไม่ต่างจากเขานัก
ซิ่วฉินและคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ฉะนั้น พวกนางต่างเข้าไปในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติในวันนี้เช่นกัน พวกนางยังคงไม่กลับมา
ฉินซีอุ้มโม่เทียนเกอเข้าไปในห้องนอน และวางนางลงบนเตียง ทันใดนั้น เขาพลันนึกถึงหร่วนหมิงจูขึ้นมา “เจินจี ไปบอกท่านปรมาจารย์ของเจ้าว่าหมิงจูก็เกิดเรื่องเช่นกัน ให้หาคนไปพานางกลับมา”
“โอ้…” เยี่ยเจินจีตอบรับ ทว่าไม่ได้ขยับไปไหน
ครู่ต่อมา ความสนใจของฉินซีก็มาตกกับเขา “ทำไมยังไม่ไปอีก”
เยี่ยเจินจีเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าเขารวบรวมความกล้าในท้ายที่สุด และกล่าวถาม “ท่านอาจารย์ ท่านมีเป็นอะไรกับท่านป้าของข้า”
ด้วยความตะลึงงัน ฉินซีมองออกไปไกล และนิ่งเงียบไม่ไหวติง
เยี่ยเจินจีกล่าว “ข้า… ข้าคิดมาเสมอว่าไม่มีมิตรภาพระหว่างท่านกับท่านป้าของข้า ทว่าบัดนี้… ดูเหมือนหลายสิ่งจะไม่เป็นอย่างที่ข้าคิด…”
เวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉินซีจะขยับมุมปาก บังคับตนเองให้ฝืนยิ้มออกมาในที่สุด “อย่าไปคิดเรื่องนั้นมากนักเลย เอาละ ดูแลท่านป้าของเจ้าไป ข้าจะไปหาท่านปรมาจารย์ของเจ้า”
หลังจากพูดจบ เขาก็ออกจากบ้านพักหมิงชินไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ราวกับว่าเขากำลังหนีอะไรบางอย่าง
เมื่อฉินซีออกจากบ้านพักหมิงชิงไปแล้ว เยี่ยเจนจีค่อยๆ พึมพำออกมา “ท่านอาจารย์ ข้ายังไม่ได้กล่าวหาท่านเสียหน่อย ทำไมท่านต้อง…”
ฉินซีที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านพักหมิงชิน ไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปโถงกลางเพื่อหาประมุขเต๋าจิ้งเหอในทันที ทว่าเขากลับนั่งอยู่บนรั้วด้านข้าง และเข้าสู่สภาวะงุนงง
มีเรื่องบางเรื่องที่เขาสามารถเพิกเฉยได้ ทว่ามันกลับวกเข้ามาหาเขาในท้ายที่สุด
สามสิบห้าปี… เดิมทีเขาคิดว่าตนเองไม่ได้สนใจอะไร เพราะนอกเหนือจากการสร้างจิตวิญญาณใหม่แล้ว จิตใจของเขาไม่มีที่ว่างพอให้เรื่องอื่นได้ ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อเขาได้พบนางอีกครั้ง เขาพลันเข้าใจ… เขาไม่เคยลืมได้ลงแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว สามสิบห้าปีที่ผ่านมานี้เป็นเพียงกับดักที่เขาวางขึ้นมาเพื่อตนเองเท่านั้น เขาคิดว่าตนเองจะเพิกเฉยได้ เขาคิดว่าจะเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นได้ คือการให้หัวใจและจิตใจของเขามุ่งมั่นอยู่กับการฝึกตน ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขากลับมัดตนเองไว้กับเรื่องนี้อย่างแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ
ความเสน่หาคือสิ่งใดกัน เขาไม่เคยมีโอกาสทำความเข้าใจเสียที เขาจึงไม่เคยระวังเรื่องนี้เลย เพราะเขาไม่ได้ระวังกับเรื่องนี้ เขาจึงไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นได้อย่างไร…
ปีที่เขาไปที่ภูเขามารนั้น เขาบังเอิญไปเจอกับเยี่ยไห่ และพลันรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองมีนิสัยใจคอคล้ายกัน พวกเขาจึงฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันตลอดทาง ต่อมา ขณะที่พวกเขาติดอยู่ในภูเขามารเป็นเวลาสิบปีเต็ม พวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์จากการเป็นคนแปลกหน้าสู่การเป็นคนสนิท
โชคไม่ดีที่อาการบาดเจ็บของเยี่ยไห่นั้นสาหัสเกินไป และเขารู้ว่าคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เพื่อให้ศิษย์น้องของเขาได้มีใครสักคนเป็นที่พึ่ง เขาจึงล้มลงที่ภูเขามารในท้ายที่สุด
แม้ว่าฉินซีจะเป็นคนไม่สนใจใคร ทว่าเขากลับไม่คุ้นชินกับการติดหนี้บุญคุณผู้อื่นแม้แต่น้อย เขาเป็นหนี้ชีวิตเยี่ยไห่อยู่ครึ่งหนึ่ง เขาจึงตอบรับคำปรารถนาสุดท้ายของเยี่ยไห่
เมื่อรู้ว่าเด็กคนนั้นอาจเป็นเด็กผู้หญิงที่มีปราณหยินบริสุทธิ์ และรากวิญญาณ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่คิดสิ่งใดเกี่ยวกับตัวนาง เขาคิดถึงตัวนางเพียงเพราะผู้ฝึกตนสตรีเพศที่มีปราณหยินบริสุทธิ์ โดยทั่วไปแล้ว จะสามารถประสบความสำเร็จได้ ตราบใดที่รากวิญญาณของนางไม่ได้แย่นัก ยิ่งไปกว่านั้น หากนางเข้าร่วมกลุ่มผู้ฝึกตน มีโอกาสสูงมากที่นางจะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับศิษย์สักคนในกลุ่ม สำหรับกลุ่มแล้ว นี่หมายถึงการปรากฎตัวของผู้ฝึกตนระดับสูงอีกคน และในขณะเดียวกัน มันก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มด้วย
ทว่าสำหรับฉินซีแล้ว เรื่องนี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ประการแรก เขาฝึกตนด้วยวิถีแห่งสำนักเต๋าเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะกลลวงของหยวนเป่าในโลกแห่งฟ้าเสมือนเหมือน ที่ทำให้เขาได้วิชาหยางบริสุทธิ์มา และแปรเปลี่ยนสังขารของเขาให้เป็นดั่งปราณหยางบริสุทธิ์แล้ว การฝึกตนร่วมสัมพันธ์จึงไม่ได้มีประโยชน์ที่คุ้มค่าสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ประการที่สอง เขามีศักดิ์ศรีในตนเอง ตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางของการเป็นเซียน เขาเชื่อเสมอว่าตนเองจะสามารถบรรลุสู่ลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาวิถีนอกรีตดังเช่นการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ประการที่สาม นางยังเด็กนัก และถือว่าเป็นเด็กกำพร้าที่สหายของเขาฝากฝังมา แม้เขาจะไร้ซึ่งความละอายใจ ทว่าเขาไม่เคยคิดกับนางในแง่มุมนี้แต่อย่างใด
ยามเขากลับมาจากภูเขามาร เขาเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้เลือกหลานศิษย์ที่เขาไว้ใจได้มาคอยเป็นธุระช่วยเขา ในตอนนั้น เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ปราณหยินบริสุทธิ์เป็นสิ่งหายาก เช่นเดียวกับรากวิญญาณ แม้ว่าบิดาของเด็กสาวผู้นั้นจะมีรากวิญญาณ และมารดาของนางจะมีปราณหยินบริสุทธิ์ ทว่านางเกิดมาเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาทั่วไป สำหรับการที่นางจะได้รับสืบทอดคุณสมบัติเหล่านั้นมา โอกาสมีไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้นก็ตาม ท่ามกลางความตรงข้ามกับคาดหวังทั้งหมด ข่าวที่หลานศิษย์นำกลับมาบอกเขา ทำให้เขาต้องตกใจยิ่งนัก นางเป็นเด็กที่มีปราณหยินบริสุทธิ์และรากพลังจริง และยิ่งไปกว่านั้น นางได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว น่าเสียดายที่หลานศิษย์ผู้นั้นจัดการเรื่องนั้นได้ไม่ดีนัก จึงเป็นเหตุให้คู่ลุงหลานเกิดความเข้าใจผิดในเจตนาของเขา
ในตอนนั้น ฉินซีคิดว่าเนื่องจากท่านลุงคนนั้นมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับนาง และยังเคารพรักพี่ชายของตนเองเป็นที่สุด เขาคงจะดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอน ฉินซีจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อพวกเขาต่างกังวลว่าฉินซีอาจมีเจตนาชั่วร้ายต่อพวกเขา พวกเขาจึงทำตามที่เห็นสมควรได้ ไม่ว่าอย่างไร ฉินซีเพียงแต่ตอบแทนเยี่ยไห่ด้วยชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง และไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกเขา เขาเองก็ไม่ใช่คนจิตใจดีอะไร ที่จะยังคงบากหน้าไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาถึงที่ หลังจากเคยถูกปฎิเสธมาแล้ว
ต่อมา อาการบาดเจ็บของฉินซีไม่ทุเลาลง เขาออกจากสำนักเพื่อตามหายารักษาด้วยความสิ้นหวัง
สาเหตุที่เขาไปสำนักอวิ๋นอู้นั้น แม้ที่นั่นจะไม่เป็นที่รู้จัก ทว่ากลุ่มผู้ฝึกตนขนาดย่อมนั้นก็มียาครอบวิญญาณที่เขาต้องการอยู่ นอกจากนั้นผู้ปกครองของพวกเขา ยังได้รับสืบทอดคัมภีร์วิชากายาพิสุทธิ์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครพบเห็นนักในคุนอู๋ และเขาก็บังเอิญกำลังรวบรวมคัมภีร์วิชากายาพิสุทธิ์อยู่ด้วย เขาจึงวางแผนที่จะลอบเข้าไปในกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดย่อมนั่น อย่างไรเสียมันก็ห่างไกลจากคุนอู่ตะวันตกอยู่แล้ว แม้พวกเขาจะรู้ว่าฉินโส่วจิ้งคือผู้ใด ทว่าพวกเขาไม่มีวันรู้ว่าฉินซีคือผู้ใดแน่นอน
เขาเป็นคนเงียบโดยนิสัย นอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว เขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก หลังจากได้เข้าสำนักอวิ๋นอู้แล้ว เขาไม่สนใจในการอยู่ร่วมกับลูกศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าเมื่อเขาปลอมตัวเป็นลูกศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว มันคงจะชอบกลทีเดียวหากเขาไม่คลุกคลีกับพวกเขา
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนาง เขาไม่ได้มองว่านางเป็นสตรีเลย แม้เขาจะรู้สึกว่านางช่างบอบบางเสียเหลือเกิน ทว่าการประพฤติตนหรือบุคลิกของนางมิได้มีความเป็นเด็กสาวแม้แต่น้อย
ในตอนนั้น เขาเพียงแต่อยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย แม้ว่าเด็กคนนี้จะยิ้มแย้ม สุภาพ และเป็นกันเองอยู่เสมอ ทว่าสายตาของนางกลับมีความหยิ่งผยองอย่างคลุมเครือ มันหาใช่ความหยิ่งผยองที่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นไม่ ทว่ามันคือความหยิ่งผยองที่เกิดจากความมั่นใจและความเคารพในตนเอง
ถึงกระนั้น เหตุใดผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาผู้หนึ่ง สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว เขาจึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น
ต่อมา ระหว่างการเดินทางไปยังหุบเขาหมีอู้ พวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายวัน ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ เขามักจะรู้สึกว่านางมีลมหายใจที่คุ้นเคย ราวกับว่านางมีบางอย่างที่เป็นของเขา เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่นางไม่ทันระวังตัว เขาใช้จิตหยั่งรู้ตรวจสอบนาง และค้นพบความลับของนางในที่สุด
ปรากฏว่านางเป็นสตรีผู้ครอบครองจี้ซ่อนวิญญาณไว้ หลังจากเหตุการณ์นั้น เขายังคงใช้วิธีอื่นๆ จนค้นพบว่านางมีท่านลุงที่เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วย
จุดนั้นเอง เขาเริ่มมั่นใจเรื่องตัวตนของนางแล้ว
นางก็คือเด็กสาวเมื่อตอนนั้นนั่นเอง
เขาบังเอิญมาพบนางในกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดย่อมเช่นนี้… ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปเสียจริง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาพลันเริ่มให้ความสนใจนางอย่างต่อเนื่องในที่สุด
ด้วยเหตุนั้นเอง เขาจึงค้นพบว่าแม้เขากับนางจะไม่มีสิ่งใดเหมือนกันโดยผิวเผิน ทว่าอุปนิสัยของพวกเขากลับคล้ายคลึงกันมากเป็นพิเศษ
นางเป็นคนขยัน ใจเย็น กล้าแสดงออก และเด็ดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่า ผู้ฝึกตนที่จะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องมี นางอาจดูเหมือนผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณคนอื่นๆ ทว่าในความเป็นจริง นางมีคุณสมบัติเหล่านั้นอยู่ในตัว
ยามที่นางมองผู้อื่น ไม่ว่านางจะพูดคุยและยิ้มอบอุ่นเช่นไร สายตาของนางยังคเต็มไปด้วยความแปลกแยกและความระวังตน ดูเหมือนนางจะเคยชินกับการป้องกันตนเองต่อผู้อื่น ทว่าเมื่อนางต้องเผชิญกับปัญหา นางกลับมีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าผู้อื่น นางช่างเป็นคนที่ย้อนแย้งในตนเองยิ่งนัก
ดังนั้น เขาจึงคิดว่านางยังเป็นเด็กในท้ายที่สุด นางยังคงต้องควบคุมอารมณ์ให้เหมาะสม
เช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกใดๆ ก็ตามที่เขามีไม่ได้เริ่มขึ้นจากตอนนั้น ในยามนั้น เขายังคงมองว่านางเป็นเด็กสาว เด็กสาวที่มีความย้อนแย้งทว่ามีความอุตสาหะ ซึ่งทำให้เขาชื่นชมและสนใจในตัวนาง
ความรู้สึกของเขากไม่ได้เริ่มต้นในช่วงสองเดือนแห่งการเดินทาง ยามที่เขากำลังไปพานางกลับมา ในตอนนั้นเขาเพียงแต่เห็นใจนาง และสงสารนางที่มีชีวิตแสนลำบาก เขาจึงอดทนกับนางมากกว่าที่เขาอดทนกับผู้อื่น
ทว่านั่นคือทั้งหมดที่เขามีให้