ระหว่างที่กำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนั้น โม่เทียนเกอพลันเข้าใจความหมายของหลัวเฟิงเสวี่ยในที่สุด
ในสมัยยุคกลาง พลังวิญญาณ ทรัพยากร และวัตถุดิบต่างๆ ล้วนแต่อุดมสมบูรณ์มากกว่าในปัจจุบัน ฉะนั้น ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะอยู่ในดินแดนฝึกตนเดียวกันกับเหล่าผู้ฝึกตนในปัจจุบันนี้ แต่ความตั้งใจในการกระทำสิ่งต่างๆ กลับมีพัฒนาการมากกว่า ผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง โดยเฉพาะในดินแดนที่สูงกว่านั้น สามารถดึงเอาพลังความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมาจากศาตราวุธเวทนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ศาตราวุธเวทที่ว่าในตอนนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบที่มีอานุภาพสูงกว่า เมื่อเทียบกับศาตราวุธเวทในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผลเหล่านั้น ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง และผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในยุคปัจจุบันจึงอ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนในสมัยยุคกลางเป็นอย่างมาก ฉะนั้น พวกเขาจึงค้นพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อต้องเข้าไปในม่านพลังเวทนั้น ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังแทบจะไม่สามารถแสดงพลังของศาตราวุธเวทของพวกเขาออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ศาสตราวุธเวทเหล่านั้นก็ตาม ฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับผู้ฝึกตนในยุคกลางเหล่านั้นจึงน้อยกว่าเล็กน้อย
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว การเลือกลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังที่มีการฝึกตนในระดับที่สูงกว่าเข้าไปภายในจึงน่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมสำนึกถึงต้องเรียกลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมดกลับมาด้วยล่ะ”
หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ม่านพลังเวทนี้ค่อนข้างรับมือยาก อาจารย์ลุงหลายคนได้ใช้เวลาอย่างมากเพื่อศึกษามันตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา แต่พวกเขายังไม่อาจเข้าใจหลักการแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังของมันได้ พวกเขาทำได้เพียงสรุปสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับมันเอาไว้ วินาทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในม่านพลังเวท เส้นทางพลันแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขาจำนวนมากในทันที พวกเราต้องการแค่สมุนไพรวิญญาณที่เติบโตอยู่ภายในนั้นเท่านั้น และไม่ใช่รางวัลสำหรับการผ่านด่านทดสอบได้ ฉะนั้น ยิ่งมีลูกศิษย์เข้าไปภายในม่านพลังมากเท่าไร ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”
โม่เทียนเกอยิงคำถามอื่นๆ ต่อไป “จากที่เจ้าพูดมาเช่นนี้ ข้างในม่านพลังนั่นจะไม่มีภยันตรายใดๆ เลยอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมเราถึงไม่ให้ทุกคนเข้าไปกันล่ะ”
หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายศีรษะ “ทันทีที่ม่านพลังเวทนี้เริ่มทำงาน มันเลือกแต่ผู้ที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุด ท่ามกลางบรรดาผู้คนที่เข้ามาเท่านั้น ถ้าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเข้าไป พลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ฉะนั้น จะเป็นการดีที่สุด หากให้ผู้ฝึกตนแต่ละชุดที่มาจากดินแดนในระดับคล้ายๆ กันเข้าไปในแต่ละครั้ง ความจริงแล้ว ในตอนแรกเริ่ม เราเองก็คิดว่าจะปล่อยให้ลูกศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณเข้าไปเหมือนกัน แต่บางทีในสมัยยุคกลาง ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณคงจะไม่ได้รับการยอมรับให้เข้ากลุ่มเสียกระมัง พวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปยังประตูทางเข้าของม่านพลังเวทได้เสียด้วยซ้ำ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” โม่เทียนเกอพึมพำ ม่านพลังเวทจากยุคกลางที่ถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีโดยสมบูรณ์ ซึ่งมีสมุนไพรวิญญาณสมัยยุคกลางเติบโตอยู่ภายใน… นี่คือโอกาสการเติบโตอันยิ่งใหญ่สำหรับสำนักเสวียนชิง! มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์ลุงเหล่านั้นถึงได้ไม่นิ่งนอนใจ และเรียกลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานทุกคนกลับมาในทันที
จากนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยกล่าวว่า “แต่เทียนเกอ เจ้าควรจะเตรียมตัวเอาไว้บ้างจะดีกว่า ถึงแม้ว่าม่านพลังเวทนี้จะไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ แต่เจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายไป หากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบ ปริมาณพลังวิญญาณที่จำเป็นในการเริ่มต้นม่านพลังเวทนี้ มันมหาศาลเหลือเกิน อาจารย์ลุงหลายคนประเมินไว้ว่าการเปิดใช้งานในอัตราใหญ่ขนาดนี้ อาจทำได้แค่เพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ สิบห้าปีเท่านั้น อีกอย่าง รางวัลที่เราจะได้ในครั้งนี้ก็ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ดีทีเดียว ยารักษาต่างๆ จะถูกแจกจ่ายให้ตามจำนวนสมุนไพรวิญญาณที่ผู้หนึ่งหามาได้ ยิ่งผ่านการทดสอบมากเท่าไร เจ้าก็จะได้สมุนไพรวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น และรางวัลที่เจาจะได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นโม่เทียนเกอก็กล่าวขอบคุณนาง และกลับไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่าง
ในเมื่อนั่นคือภูมิหลังของเรื่องราวทั้งหมด คนอย่างนาง ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน จะต้องเป็นกลุ่มคนที่ทางสำนักฝากความหวังเอาไว้เป็นที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจำต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้เสียจริงๆ เพราะนางไม่อาจปล่อยให้อาจารย์ของนางต้องเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน
นางมุ่งหน้าไปยังตำหนักซ่างชิง พลางคิดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้สักครู่ใหญ่ ถึงกระนั้น ก่อนที่นางจะมาถึง นางพลันได้ยินเสียงดังออกมาจากประตู
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้ามาขวางทางข้า” เสียงของสตรีผู้เจ้ากี้เจ้าการและโอหังดังขึ้น
โม่เทียนเกอนิ่งอึ้งไป มีคนกล้าโวยวายเช่นนั้นที่ตำหนักซ่างชิงจริงๆ ด้วยหรือ นางเงยหน้าขึ้นเพื่อมองตรงไปทางประตู นางเห็นเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ซึ่งอายุได้ประมาณยี่สิบปี กำลังตำหนิลูกศิษย์ผู้กำลังเฝ้าประตูอยู่ด้วยท่าทียโสโอหัง ดูเหมือนว่าระดับการฝึกตนของสตรีนางนั้นจะอยู่เพียงขั้นกลางของดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น
ลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูจ้องเขม็งไปที่สตรีนางนั้น พร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์พี่ ท่านเป็นใครกัน ที่นี่คือถ้ำเซียนของปรมาจารย์จิ้งเหอ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าไปได้ เว้นเสียแต่ว่าจะถูกเรียก!”
ในเมื่อลูกศิษย์คนนั้นคือผู้เฝ้าประตูของปรมาจารย์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาจะต้องมีความโดดเด่น ท่ามกลางลูกศิษย์ทั่วไปคนอื่นๆ แน่นอน แต่ถึงกระนั้น สตรีนางนั้นกลับปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเจ้ากี้เจ้าการ มันคงจะน่าแปลกใจ หากเขาไม่รู้สึกโกรธ
“ข้าเป็นใครงั้นหรือ” สตรีนางนั้นชี้ไปที่จมูกของนาง และกล่าวด้วยความโมโห “แค่เพราะข้าไม่ได้กลับมาหลายสิบปี เจ้ากลับไม่รู้จักข้าเสียแล้วหรือ!”
ถึงกระนั้น ลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูไม่ยินยอมที่จะถอยร่นแม้แต่น้อย และมองอย่างเย็นชาไปที่สตรีนางนั้น “ได้โปรดกลับไปเสียเถอะ ศิษย์พี่ หากท่านยังคงยืนหยัด ข้าจำเป็นต้องใช้กำลังขับไล่ท่านไปเท่านั้น!”
“เจ้า…” เมื่อได้ยินคำว่า “ต้องใช้กำลังขับไล่” ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของสตรีนางนั้นขาดผึง
แต่ก่อนที่นางจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปมากกว่านี้ ลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูพลันสังเกตเห็นโม่เทียนเกอที่กำลังตรงมาทางนี้พอดี ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในพริบตา จากนั้น เขาจึงกล่าวด้วยความเคารพว่า “อาจารย์โม่ ท่านกลับมาแล้ว”
โม่เทียนเกอพยักหน้า และตอบรับเขาด้วยคำว่า ‘อือ’ จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังด้านใน
ลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูไม่ห้ามนางแต่อย่างใด แต่หลังจากโม่เทียนเกอย่างก้าวแรกเข้าไปแล้ว นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังของนาง “ช้าก่อน!”
นางไม่ทันมีโอกาสได้เอ่ยอะไรออกไป เพราะลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูตะโกนกลับไป “ศิษย์พี่ ท่านห้ามเสียมารยาทกับอาจารย์โม่!”
ใบหน้าของสตรีนางนั้นแดงก่ำ และดูคับแค้นใจอย่างสิ้นเชิง สายตาของนางที่เพ่งมองไปยังโม่เทียนเกอ เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “นางเป็นใคร ทำไมนางถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้”
ลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูตอบอย่างเย็นชา “ท่านนี้คืออาจารย์โม่ ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ แน่นอนว่านางสามารถเข้าไปได้”
“อะไรนะ” สตรีนางนั้นดูตกใจ ความอาฆาตมุ่งร้ายในแววตาของนางแรงกล้ามากยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะกล่าวอะไรออกไป ฉะนั้น นางจึงเพียงหันหลังและเดินเข้าไปยังตำหนักซ่างชิง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร แต่ด้วยทัศนคติที่ทั้งเจ้ากี้เจ้าการ และยกตมข่มท่านเช่นนั้น ทำให้นางรู้สึกรังเกียจเหลือเกิน โม่เทียนเกอไม่อยากจะไปให้ความสนใจนางเสียเท่าไรนัก
ทันทีที่โม่เทียนเกอเข้าไปยังโถง อย่างไรก็ตาม นางพลันเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังพูดคุยเล่นกับเวยอวี่และชิงเสวี่ยอย่างสำราญใจ
“ท่านอาจารย์” นางเรียกออกไป
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันมามองนาง พร้อมกับตอบรับว่า “โอ้” จากนั้นจึงพูดคุยเล่นต่อไป “มีอยู่ครั้งหนึ่ง… ปรมาจารย์ได้ไปพบกับหญิงชราคนหนึ่งในซีซาเข้า นั่นสิที่ข้าเรียกว่าตลก เห็นได้ชัดว่าหญิงชรามีริ้วรอยเ**่ยวย่นปรากฏไปทั่วใบหน้า แต่นางกลับทำมือท่ามุทราเสมอ และเชื่อว่าความงามของนางนั้นหาได้มีใครเทียบเคียงไม่…” ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ทำมือท่ามุทรา เลียนแบบสตรีนางนั้นที่เขากำลังพูดถึง จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสะดีดสะดิ้งชวนรำคาญว่า “ช่างน่ารังเกียจ!”
ความขนลุกขนพองแล่นวาบไปทั่วทั้งตัวของโม่เทียนเกอในพริบตา อาจารย์ผู้นี้… เขาไม่คิดว่าการกระทำเช่นนี้มันช่างน่าอับอายบ้างเลยหรือ
เวยอวี่และชิงเสวี่ยไม่คิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเราหัวเราะคิกคักอย่างสะดีดสะดิ้ง ขณะที่พวกเขาได้ฟัง พวกเขายังเร่งเร้าให้เขาเล่าต่อไป ด้วยการถามว่า “ท่านปรมาจารย์ แล้วยังไงต่อ”
สีหน้าของโม่เทียนเกอเคร่งขรึม “ท่านอาจารย์!”
ครั้งนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันมามองนางอย่างที่ควรในที่สุด เขากล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “อาจารย์กำลังคุยเล่นอย่างสำราญใจ หากเจ้ามีเรื่องอันใด ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง!”
โม่เทียนเกอถลึงตามองไปที่เวยอวี่และชิงเสวี่ย เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้พวกเขาเลิกรากลับไป
ถึงแม้ว่าเวยอวี่และชิงเสวี่ยจะไม่เต็มใจยินยอม แต่ความเคารพเลื่อมใสในตัวอาจารย์โม่ที่เพิ่มพูนขึ้นในปีนั้น ยังคงดำรงอยู่ พวกเขาจึงเพียงแต่โค้งคำนับและเลิกรากลับไป
“เดี๋ยว!” โม่เทียนเกอร้องเรียกให้พวกเขาหยุด “ข้างนอกมีการเอะอะโวยวายเกิดขึ้น พวกเจ้าไปดูทีสิ ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ก็บอกให้คนผู้นั้นกลับไปเสีย”
ที่ประตูทางเข้ามีม่านพลังซึ่งแบ่งแยกทั้งสองส่วนออกจากัน ฉะนั้น พวกเขาทั้งสองจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก และเมื่อตอนนี้พวกเขาได้ยินโม่เทียนเกอกล่าวเช่นนั้นแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงขานตอบในทันที “ขอรับ”
หลังจากสาวรับใช้ทั้งสองจากไป ประมุขเต๋าจิ้งเกอรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม เขาตะคอกออกมา “อะไร ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูด ก็รีบพูดออกมาเร็วเข้า!”
“ท่านอาจารย์ สตรีที่อยู่ข้างนอกเป็นใครกัน” เห่วยยวี่และชิงเสวี่ยเป็นแค่สาวรับใช้ ฉะนั้น พกวเขาจึงไม่กล้าขยายจิตสัมผัสของพวกเขาได้ตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือตำหนักซ่างชิงแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง หากประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอกถ้ำเซียนของเขา โดยธรรมชาติแล้ว นางคงจะไม่มีทางเชื่อเขาได้ลงเลยแม้แต่น้อย
“โอ้ เด็กสาวคนนั้น…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยิบถั่วจำนวหนึ่ง และเริ่มโยนมันขึ้นไปกลางอากาศ และรับมันกลับมาไว้ในมือซ้ำไปซ้ำมา “ไม่ต้องไปสนใจนาง เวลาล่วงเลยไปตั้งหลายสิบปีแล้ว แต่นางกลับไม่ก้าวหน้าไปไหน ปล่อยให้นางอยู่ข้างนอกต่อไป”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิด ทว่าโม่เทียนเกอเห็นความเศร้าโศกปรากฏขึ้นเล็กน้อยภายในแววตาเขา จากจุดนั้น เมื่อรวมท่าทีของสตรีนางนั้นเข้ากับสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเพิ่งกล่าวออกมา โม่เทียนเกอจึงพอเข้าใจคร่าวๆ ถึงเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นได้แล้ว
ถ้าหากการคาดเดาของนางถูกต้อง นางก็ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องนี้ และเพราะเหตุผลนั้นเอง นางจึงไม่กล่าวอะไรมากอีกต่อไป และหันไปถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินจากเฟิงเสวี่ยว่าครั้งนี้ที่พวกเราถูกเรียกกลับมา เพราะมีการค้นพบม่านพลังเวทในหุบเขาของยอดเขา และสำนักกำลังจะให้ลูกศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเราเข้าไปข้างในเพื่อรวบรวมสมุนไพรวิญญาณ ถูกต้องไหม”
“โอ้ เฟิงเสวี่ยบอกเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ” เมื่อได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้เข้า สายตาประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันจ้องเขม็งไปที่นางในที่สุด จากนั้น เขาจึงชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหน้าของเขา ส่งสัญญาณบอกให้นางนั้นนั่งลง “เจ้ามองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”
“แน่นอนว่าข้าจะยึดถือตามความคิดเห็นของท่านอาจารย์” โม่เทียนเกอหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ และเริ่มพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ “ท่านอยากให้ข้าสำแดงอิทธิฤทธิ์อันไร้พ่ายของข้า หรืออยากให้ข้าเก็บตัวเงียบเอาไว้ ท่านสามารถบอกข้ามาได้ตามตรง!”
ทัศนคติของนางกระตุ้นความสนใจของประมุขเต๋า “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าช่างมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน!”
“ในฐานะลูกศิษย์ท่าน ข้าจะไม่มั่นใจได้อย่างไร”
สิ่งที่โม่เทียนเกอกล่าวทำให้เจ้าเหนือหัวท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกพอใจเป็นล้นพ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพัฒนาไปได้ไกลมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ไหนบอกข้าสิ เจ้าไปเผชิญกับอะไรมาบ้าง”
“ท่านอาจารย์ ท่านบอกข้าเองว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าข้ามีชีวิตสุขสบายดี จากการสัมผัสเส้นลมปราณของข้า ท่านจึงไม่จำเป็นต้องถามอะไรข้าอีกไม่ใช่หรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสำลักคำพูดของนาง จากนั้น เขาพลันถลึงตาใส่นาง พร้อมกับกล่าวว่า “ยายตัวแสบ อย่ามาบอกข้าว่าเจ้าไม่อยากเล่า! ฮึ่ม! หายไปมากกว่ายี่สิบปี ไม่มีแม้แต่จะส่งจดหมายกลับมาสักครั้ง! โชคยังดีที่ข้าขอเลือดสกัดของเจ้าเอาไว้ ก่อนที่เจ้าจะจากไป มิฉะนั้น ข้าคงคิดว่าเจ้าตายอยู่ข้างนอกนั่นแล้ว!”
โม่เทียนเกอกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเกือบจะตายอยู่ข้างนอกนั่นจริง และไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากส่งจดหมายกลับมา แต่ข้าโดนกักขังอยู่เป็นเวลายี่สิบปี และไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า”
“เจ้าถูกกักขังนานถึงยี่สิบปีเลยหรือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเลิกคิ้วของเขาขึ้น ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างสนใจในเรื่องราวของนางมากทีเดียว “เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง อะไรกักขังเจ้าไว้ถึงยี่สิบปีกัน”
หลังจากนั้นต่อมา โม่เทียนจึงพรรณนาเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาทั้งหมดให้ฟังอย่างคร่าวๆ ท้ายที่สุด เมื่อนางเอ่ยถึงการที่สภาปี้เซวียนเชื้อเชิญให้นางไปเป็นผู้อาวุโสรับเชิญของพวกเขา นางจึงถามออกไปว่า “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ข้าทำไม่ได้ละเมิดกฎเกณฑ์ของสำนักใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงตำแหน่งผู้อาวุโสรับเชิญเท่านั้น ข้าไม่จำเป็นต้องดูแลภารกิจต่างๆ ของพวกเขา”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้กำลังนั่งฟังด้วยความเพลิดเพลิน โบกมือของเขา “เจ้าเป็นเพียงผู้อาวุโสรับเชิญแห่งกลุ่มฝึกตนขนาดย่อม มันจะสร้างความแตกต่างอย่างไรกัน ว่าแต่ เจ้าบอกว่าผู้ฝึกตนชั่วร้ายผู้นั้นสามารถฝึกพลังมรณะได้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถใช้พลังมรณะในการโจมตีได้ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าพบเขาเป็นครั้งแรก เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงาน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาถูกพลังมรณะครอบงำ ระดับการฝึกตนของเขาก็ก้าวกระโดดจนไปถึงดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ และมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเขา ท่านอาจารย์ มีวิชาชั่วร้ายเช่นนี้ปรากฎอยู่ในโลกใบนี้ด้วยหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นหมายความว่าระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนชั่วร้ายพวกนั้น จะต้องสูงกว่าผู้ฝึกตนเปี่ยมศีลธรรมเหล่านั้นมากไม่ใช่หรือ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอขมวดคิ้ว และใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แล้วเขาพลันส่ายศีรษะ “ไม่ คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนชั่วร้ายทั่วๆ ไป ข้าเคยเข้าไปสู่ขอบเขตความรู้ของฝ่ายอธรรมมาก่อน ถึงแม้ว่าวิชาของผู้ฝึกตนชั่วร้าย จะแปลกประหลาดและอันตรายถึงชีวิตเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ข้าไม่เคยได้ยินวิชาที่ยอมให้ผู้ฝึกตนพัฒนาพลังมรณะของพวกเขา ผู้ฝึกตนชั่วร้ายที่เจ้าพูดถึงเป็นสิ่งที่ต่างออกไป และปัญหาน่าจะอยู่ที่วิชาที่เขาฝึกตน เจ้าได้แผ่นศิลาที่บันทึกวิชานั่นมาหรือไม่ เอาออกมาสิ ให้ข้าได้ดูหน่อย”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะตอบไปว่า “ข้าไม่กล้าสัมผัสมันโดยตรง ท่านอาจารย์ ได้โปรดรอสักระยะหนึ่ง ข้าจะต้องคิดหาทางได้แน่” ความจริงแล้ว นางโยนแผ่นศิลานั่นไปไว้ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้ว ฉะนั้น นางจึงไม่สามารถเอามันออกมาได้ในทันที
โชคยังดีที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้กังขาในตัวนาง “ตามนั้นก็แล้วกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาจารย์ ข้าขอเริ่มเตรียมตัวเพื่อสร้างขุมพลังของข้าได้หรือไม่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าวว่า “ได้สิ หากเจ้าคิดว่าตัวเจ้าพร้อมแล้ว รอจนกว่าเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าถึงจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตได้ ต่อไป ข้าจะใช้โอกาสนี้ในการมอบตำรับยาสักชุดหนึ่งแก่เจ้า ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะต้องใช้เวลาอีกทศวรรษหรือสองทศวรรษในการทำให้ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานของเจ้าสมบูรณ์แบบ ในตอนนั้น เจ้าจะสามารถสร้างขุมพลังของเจ้าได้อย่างปลอดภัย ฮ่า! ยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้ากำลังจะมีลูกศิษย์อัจฉริยะอีกคนถือกำเนิดขึ้นแล้ว!” เขาลูบเคราด้วยความอิ่มอกอิ่มใจเป็นที่สุด
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง นางพลันเห็นเวยอวี่วิ่งมาหาด้วยสภาพที่ดูน่าสังเวช เวยอวี่ตะโกน “ท่านปรมาจารย์ สตรีนางนั้นช่างไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆ!”