โม่เทียนเกอไม่เคยใส่ใจว่านางพึ่งพาโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอย่างจริงจัง ในเมื่อนางโชคดีพอจะได้รับสมบัติพิเศษซึ่งไม่สามารถถูกขโมยไปได้ นางก็ต้องนำมันมาใช้ประโยชน์เป็นธรรมดา
จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางมีปัญหาน้อยกว่าคนอื่นเสมอเมื่อเผชิญกับอันตรายเพราะนางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคอยหนุนหลังอยู่
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดสักครั้งเลยว่าจะมีวันที่นางไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้จริงๆ!
เมื่อมองดูผู้อาวุโสชิงซีถูกรายล้อมไปด้วยพลังมรณะ โม่เทียนเกอก็เหงื่อไหลท่วมด้วยความกลัว หากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ใช่ทางเลือก นางก็ต้องคิดหาวิธีหนีทางอื่น ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้นางไม่สามารถสู้เริ่นอวี่เฟิงได้แน่
“ศิษย์พี่!” ซย่าชิงตะโกนขณะที่นางเดินโซเซออกมาจากห้องปรุงยา ตัวนางเองก็มีรอยคราบเลือดอยู่บนหน้าอก เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บจากการผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้ด้วยพลังเวทของพวกเขาเช่นกัน
เว่ยเฮ่าหลานตอนนี้หมดสติไปโดยสมบูรณ์แล้ว นางได้รับบาดเจ็บจากการผันผวนของพลังวิญญาณถึงสองครั้งติดๆ กัน ครั้งแรกนางปะทะเข้าจังๆ แต่ครั้งที่สอง ม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผารอบตัวนางช่วยผ่อนแรงกดดันพลังวิญญาณลงและบังเอิญโม่เทียนเกอก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง มิเช่นนั้นนางอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองฉากด้านหน้านางอย่างร้อนใจ
ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวบาดเจ็บอย่างรุนแรงและพวกนางก็ยังถูกพลังมรณะกักขังไว้ ผู้อาวุโสชิงซีกำลังสู้กับเริ่นอวี่เฟิงด้วยตัวเองแต่นางเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนกำลังสนุกกับตัวเองเหมือนกับแมวที่กำลังหยอกหนู เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถเอาชนะผู้อาวุโสชิงซีได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาแค่มองผู้อาวุโสชิงซีดิ้นรนพยายามอดทนไว้อย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความพอใจที่ไร้ความปรานี
“ศิษย์พี่!” ผู้อาวุโสชิงซีร้องเรียกออกมาทันใด ใบหน้านางแสดงให้เห็นสีหน้าที่มุ่งมั่น
ทั้งผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวเบนสายตาไปหานางและเห็นผู้อาวุโสชิงซีโยนอาวุธเวทตะกร้าดอกไม้ของนางไปด้านข้างจากนั้นจึงประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ในชั่วพริบตา ทั้งร่างของนางปล่อยแสงวิญญาณส่องสว่าง จากนั้นผู้อาวุโสชิงซีตะโกนว่า “พาพวกเขาไป!”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางเห็นความเศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยว “ศิษย์น้อง…”
ผู้อาวุโสชิงซีดูเยือกเย็นและเคร่งขรึม และสายตานางก็ดูเด็ดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่านางทำการตัดสินใจบางอย่างแล้ว แสงวิญญาณบนร่างของนางยิ่งสว่างมากขึ้นจนเกือบจะทำให้คนอื่นๆ ลืมตาไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงหัวเราะออกมาดังๆ “เจ้าอยากจะระเบิดขุมพลังของตัวเองน่ะหรือ ไร้เดียงสาจริง!”
รอยยิ้มประหลาดเกิดขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสชิงซี “ข้าน่ะหรือ”
ก่อนที่เริ่นอวี่เฟิงจะสามารถคิดได้ว่าคำพูดของนางหมายความว่าอะไร จู่ๆ แสงวิญญาณก็ระเบิดออกทันทีและห่อหุ้มตัวเขาจนหมด แม้แต่พลังมรณะของเขาก็ยังถูกกักกันอย่างแน่นหนาอยู่ภายในแสงวิญญาณ
ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกนางตะโกน “ไป!” จากนั้นทั้งคู่รีบคว้าศิษย์ขึ้นมาและเหาะออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ศิษย์ที่พวกนางคว้าตัวไปคือเว่ยเฮ่าหลานและซย่าชิง สุดท้ายแล้วโม่เทียนเกอก็เป็นแค่คนนอก
อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอก็ใช้ประโยชน์เต็มที่จากช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนี้เพื่อใช้ไม้หลบลี้หนีหล้า
ไม้หลบลี้หนีหล้านี้พร้อมกับเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์เป็นของที่ถูกขโมยมาจากโถงหลักของเจ้าสำนักเมื่อตอนที่นางหนีจากสำนักอวิ๋นอู้สมัยก่อน ของทั้งสองอย่างนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับฉินซี ดังนั้นเขาจึงให้นางได้อย่างสบายๆ
ไม้หลบลี้หนีหน้านี้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ใช้ไปได้ไกลหลายสิบจนถึงหลายร้อยกิโลเมตรในครั้งเดียว จุดหมายปลายทางนั้นเป็นการสุ่มโดยสิ้นเชิง โม่เทียนเกอแทบจะไม่ได้ใช้มัน อย่างแรก นางไม่จำเป็นต้องหนีหากนางกำลังเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และหลายสิบถึงหลายร้อยกิโลเมตรก็ไม่ใช่ระยะทางที่ไกลนักหากนางกำลังเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง อย่างที่สอง นางไม่รู้ว่านางจะไปลงเอยที่ไหน นางอาจจะไปลงเอยในสถานที่ที่ยิ่งอันตรายกว่าก็เป็นได้ อย่างที่สาม มันต้องใช้พลังวิญญาณมากเกินไป ดังนั้นมันจึงทำงานยากมาก โดยปกติจะดีกว่าสำหรับนางที่จะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโดยตรง
แต่วันนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้มัน นางไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ และพลังวิญญาณของนางก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังอยู่ภายในอาณาเขตของสภาปี้เซวียน คงไม่มีอะไรอันตรายอยู่รอบๆ หรือต่อให้มี ก็คงไม่อันตรายมากไปกว่าเริ่นอวี่เฟิงแน่นอน
โม่เทียนเกอใช้งานไม้หลบลี้หนีหล้าได้อย่างราบรื่น เมื่อในที่สุดลำแสงแสบตาของมันจางไป โม่เทียนเกอจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เบื้องหน้านางคือเจดีย์สูงตระหง่านลอยอยู่บนฟ้า มันคือเจดีย์บรรลุเต๋า!
ถึงแม้สภาปี้เซวียนจะกว้างขวาง หากนางถูกเคลื่อนย้ายออกไปหลายร้อยกิโลเมตร นางน่าจะไปลงเอยที่ข้างนอกกลุ่ม ดูเหมือนว่า… ครั้งนี้นางแค่ถูกส่งออกมาหลายสิบกิโลเมตรเท่านั้น
เวลาคือสิ่งสำคัญ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงต้องการหนีต่อไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางกำลังจะทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางหยุดกลางคันและหันหน้าไปทางทิศที่นางจากมา
นางเห็นผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยววิ่งเข้ามาพร้อมแบกเว่ยเฮ่าหลานและซย่าชิงมากับพวกนางด้วย
ผู้อาวุโสทั้งสองคนล้วนงุนงงที่เห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงนั้น “สหายน้อยเยี่ย ทำไมเจ้า…” ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังมีความเร็วที่น่าทึ่งและยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเพิ่งทิ้งนางไว้ข้างหลังอยู่เมื่อครู่นี้เอง นางมาถึงที่นี่ในเวลาแค่เสี้ยววินาทีได้อย่างไร
โดยไม่รอให้นางตอบ ผู้อาวุโสชิงอี้พูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่มีเวลาแล้ว ค่อยคุยหลังจากเราเข้าไปข้างใน”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวพยักหน้า จากนั้นพวกนางทั้งสองคนเริ่มทำท่ามุทราเพื่อเปิดม่านพลังเคลื่อนย้ายเข้าไปสู่เจดีย์
ผู้อาวุโสชิงอี้หันมาทางโม่เทียนเกอและพูดว่า “สหายน้อยเยี่ย ในเมื่อเจ้าก็หนีมาได้ เจ้าน่าจะซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์กับเรา”
โม่เทียนเกอเพิ่งคิดอยู่ว่านางไม่สามารถหนีไปได้ไกลว่าเริ่นอวี่เฟิงแน่ไม่ว่านางจะหนีได้เร็วสักเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสชิงอี้พูด นางจึงพยักหน้าทันที “ขอบพระคุณศิษย์พี่เป็นอย่างมาก”
ทั้งห้าคนเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้าย ด้วยแสงวูบวาบสว่างแสบตา พวกเขาจึงเข้าไปสู่เจดีย์
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายนางก็พูดขึ้นว่า “แล้วศิษย์คนอื่นๆ ล่ะ”
ดวงตาของผู้อาวุโสชิงอี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะที่นางส่ายหน้า “ไม่มีเวลา พวกเขาช้าเกินไป พอถึงเวลาที่พวกเขามาถึงเจดีย์ มารผู้ฝึกตนคนนั้นก็คงมาอยู่ที่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสชิงอี้ ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกัดฟันแล้วจึงยกมือขึ้นสร้างลำแสงวิญญาณซึ่งนางใช้เพื่อปิดม่านพลังเคลื่อนย้าย
เมื่อม่านพลังเคลื่อนย้ายปิด ผู้อาวุโสทั้งสองคนวางศิษย์ผู้น้อยสองคนที่พวกนางอุ้มอยู่แล้วจึงยิ้มอย่างขมขื่นให้แก่กัน โดยการปิดม่านพลังเคลื่อนย้าย พวกนางได้ละทิ้งศิษย์สภาปี้เซวียนไปมากกว่าพันคน
ซย่าชิงเงยหน้าเพื่อมองผู้อาวุโสทั้งสองคนและถามว่า “อาจารย์ลุง แล้วอาจารย์ลุงชิงซีล่ะเจ้าคะ”
คำถามนี้ทำให้ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถอนหายใจ สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเศร้า “อาจารย์ลุงชิงซีของเจ้าใช้วิชาห้ามเลือดลับ นางไม่สามารถหนีออกมาอย่างมีชีวิตได้แน่”
ซย่าชิงตะลึง “ถ้าเช่นนั้น… นางจะสามารถฆ่ามารผู้ฝึกตนคนนั้นได้ไหม”
ผู้อาวุโสชิงอี้ส่ายหน้า “พลังเวทของมารผู้ฝึกตนคนนั้นไม่ปกติและเขาก็ยังมีพลังมรณะ… ข้าเกรงว่าอาจารย์ลุงชิงซีของเจ้าแค่สามารถสกัดกั้นเขาไว้ได้ครู่หนึ่ง นางคงไม่สามารถฆ่าเขาได้”
ซย่าชิงกัดปาก “ถ้าเป็นเช่นนั้น สภาปี้เซวียนของเรา…”
ผู้อาวุโสชิงอี้หลับตาลง เมื่อนางพูดอีกครั้ง เสียงของนางสั่น “เราไม่สามารถทำอะไรได้… ศิษย์พวกนั้น… พวกเขาต้องพึ่งดวงของตัวเอง…”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถอนหายใจยาว สายตาของนางค่อนข้างว่างเปล่าราวกับนางกำลังจ้องมองไปในที่ไกล “การมีอยู่หลายพันปีของสภาปี้เซวียนอาจจะถูกทำลายลงในมือของพวกเรา…”
ทุกคนจมอยู่ในความเงียบเป็นเวลาพักหนึ่งจนกระทั่งในที่สุดผู้อาวุโสชิงอี้พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “เอาละ สำหรับตอนนี้เราควรจะพักฟื้นก่อน ถ้ากลุ่มถูกทำลาย เราก็แค่ต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า “สิ่งที่ศิษย์พี่พูดนั้นถูกต้อง เราไม่สามารถปล่อยให้การเสียสละของศิษย์น้องชิงซีเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ได้”
อาการบาดเจ็บของเว่ยเฮ่าหลานสาหัสและอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ไม่เล็กน้อยเช่นกัน ซย่าชิงเป็นเพียงคนเดียวที่มีอาการบาดเจ็บแค่เบาๆ
ขณะที่ทั้งห้าคนขึ้นไปที่ชั้นสาม ผู้อาวุโสชิงอี้มองโม่เทียนเกอที่กำลังตามมาอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ และพูดว่า “สหายน้อยเยี่ย เจ้าคงเห็นได้ว่าเราทั้งแก่ไม่ก็อ่อนแอหรือบาดเจ็บ เราไม่มีความสามารถที่จะดูแลเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจตราบใดที่เจ้าไม่แตะต้องกำแพงอาคมภายในเจดีย์”
โม่เทียนเกอโต้แย้งอยู่ภายในใจครู่หนึ่งแต่สุดท้ายจึงถามว่า “ศิษย์พี่ชิงอี้ เจดีย์นี้ปลอดภัยหรือเปล่า”
“เจดีย์นี้สร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งของกลุ่มเรา ปี้สุ่ยหยวนจวิน มีกำแพงอาคมมากมายที่นี่ซึ่งแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ยังไม่สามารถทำลายได้ ไม่ว่ามารผู้ฝึกตนคนนั้นจะน่ากลัวแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ข้าเชื่อว่าเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อฝ่าเข้ามาในเจดีย์นี้ได้”
โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนางคิดถึงศิษย์สภาปี้เซวียนนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างนอก นางถอนหายใจอีกครั้ง ถึงแม้นางจะชอบลงมือคนเดียวมากกว่า แต่ความจริงที่ว่าคนมากกว่าพันคนอาจต้องตายไปเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี โดยเฉพาะเมื่อเริ่นอวี่เฟิงนั้นมาถึงในหลินไห่พร้อมๆ กับนาง
หลังจากคิดอย่างรอบคอบ โม่เทียนเกอเอาขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากในชุดคลุม “ศิษย์พี่ พวกนี้คือยารักษาลับที่ท่านอาจารย์ของข้ามอบให้ก่อนข้าจะจากมา บางทีมันอาจจะมีประโยชน์กับท่าน ในเมื่อท่านยอมให้ข้าเข้ามาในเจดีย์เพื่อซ่อนตัว โปรดถือว่าของพวกนี้เป็นการตอบแทนของข้าแล้วกัน”
ผู้อาวุโสชิงอี้พยักหน้าและรับขวดไป “ขอบคุณ”
พวกเขากำลังเผชิญกับศัตรูอันตรายถึงชีวิต ณ ตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครมีความคิดไม่เหมาะสมอย่างอื่นอีก นอกจากซย่าชิงผู้ที่กำลังคอยดูแลเว่ยเฮ่าหลาน ทุกคนล้วนกำลังพักฟื้นอยู่
อาการบาดเจ็บที่โม่เทียนเกอได้รับก็ไม่เบาเช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของนางมีพลังมรณะติดตัวมาเล็กน้อย ถ้านางไม่สามารถกำจัดพลังมรณะนี้ออกได้ นางก็จะไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้โม่เทียนเกอปวดหัวรุนแรงแล้ว
ไร้ซึ่งหนทาง นางทำได้แค่เข้าไปที่มุมและพักฟื้นก่อนสำหรับเวลานี้ ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองคนรู้เกี่ยวกับพลังมรณะ บางทีพวกนางอาจจะสามารถช่วยนางหาวิธีกำจัดมันในภายหลังได้ แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นางต้องฟื้นตัวก่อนเป็นอย่างแรก
ไม่นานหลังจากนั้น ม่านพลังเคลื่อนย้ายปล่อยพลังวิญญาณผันผวน โม่เทียนเกอลืมตาและตกใจกับสิ่งที่นางเห็น
ซย่าชิงร้องเรียก “ศิษย์พี่ถัง! ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่”
คนที่ตอนนี้ปรากฏตัวจากม่านพลังเคลื่อนย้ายคือถังเซิ่น! เขายังจ้องมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจอีกด้วย
“เซิ่นเอ๋อร์” ผู้อาวุโสชิงอี้เรียก “เจ้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอดหรือ”
ถังเซิ่นพยักหน้า “ครั้งที่แล้วท่านทวดพูดว่าข้าไม่มีเหตุผล ดังนั้นนางจึงบอกให้ข้าไปทำสมาธิโดยหันหน้าเข้ากำแพงหนึ่งเดือน…” ครั้งที่แล้ว… คาดว่ามันเป็นเพราะเขาขอโม่เทียนเกอให้พาเขาไปด้วยตอนนางจะออกจากที่นี่
เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าทุกคนได้รับบาดเจ็บ ถังเซิ่นจึงตกใจกลัวเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวถอนใจแล้วจึงพูดว่า “เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าจะถือว่าโชคดีแล้วก็ได้ สุดท้ายท่านทวดของเจ้าก็ไม่ได้เสียสละตนเองไปโดยสูญเปล่า”
ถังเซิ่นงุนงง “ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า…”
ซย่าชิงขยี้ตาและพูดด้วยเสียงกระซิบ “ศิษย์พี่ถัง เมื่อตอนที่เรากำลังปรุงยากันอยู่ ศิษย์พี่ซั่งกวนสมรู้ร่วมคิดกับมารผู้ฝึกตนต่อต้านเราและทำให้ท่านผู้อาวุโสทั้งสามบาดเจ็บ เพื่อให้โอกาสเราได้หนี ท่านผู้อาวุโสชิงซีใช้วิชาห้ามเลือดลับ…”
ถังเซิ่นรู้สึกราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด “วิชาห้ามเลือดลับ…”
ซย่าชิงพยักหน้าพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาและสะอื้นไปด้วยตลอดเวลา “มารผู้ฝึกตนคนนั้นเลวร้ายเกินไป เรา… เราทำได้แค่หนีมาและซ่อนอยู่ในเจดีย์ ตอนนี้ศิษย์พี่เจ้าสำนักบาดเจ็บสาหัสและท่านผู้อาวุโสทั้งสองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน… ศิษย์คนอื่นๆ … เราไม่มีโอกาสช่วยเหลือพวกเขา…”
ประโยคสั้นๆ เหล่านั้นทำให้ถังเซิ่นเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นซีดเผือดในชั่วพริบตา “เป็นไปได้อย่างไร…”
แค่เมื่อครู่นี้เขายังเป็นทายาทอันเป็นที่รักของผู้อาวุโสชิงซี และสภาปี้เซวียนก็ยังเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ทรงอำนาจที่สุดในหลินไห่ แต่ในเวลาแค่ชั่วครู่ เขาสูญเสียท่านทวดของเขาไปและสภาปี้เซวียนก็กำลังเผชิญกับหายนะที่คาดไม่ถึง
“ถ้าเช่นนั้น… แล้วแม่ข้าล่ะ ป้าของข้า แล้วยังมี มี…”
ผู้อาวุโสชิงอี้ถอนหายใจยาวก่อนที่นางจะพูด “เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรจมปลักอยู่กับความเศร้าโศก ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้… ถึงแม้ท่านทวดของเจ้าจะใช้วิชาห้ามเลือดลับ แต่ข้าเกรงว่านางคงขัดขวางมารผู้ฝึกตนคนนั้นได้แค่ครู่หนึ่งเท่านั้น เราไม่มีเวลาเตือนพวกศิษย์…”
ซย่าชิงพูดด้วยเสียงกระซิบ “แค่เมื่อครู่นี้ ท่านผู้อาวุโสทั้งสองบอกพวกศิษย์ให้กระจายตัวและหนี พวกเขาต้องหวังพึ่งดวงของตัวเอง…”
ถังเซิ่นยืนโงนเงนและสุดท้ายก็ล้มลงที่พื้น “พวกเขา… พวกเขา…”
ก่อนถังเซิ่นจะสามารถพูดจนจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก “ยายแก่! ทำไมเจ้าไม่สนใจศิษย์ของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สามารถทำอะไรได้แค่เพราะเจ้าหลบอยู่ในเจดีย์งั้นหรือ ฮึ่ม!”
สีหน้าของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป นางยืนขึ้นจากนั้นจึงเดินไปที่หน้าต่างเล็กๆ ทางด้านข้างของเจดีย์
นางเห็นทั่วทั้งร่างของเริ่นอวี่เฟิงถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังดำมืด ความโอหังของเขายิ่งสูงขึ้น “เจ้าจะไม่ออกมางั้นหรือ ข้าจะฆ่าศิษย์ของเจ้าให้หมด!”
ผู้อาวุโสชิงอี้ส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “อย่าไปสนใจเขา เราจะตายไปเปล่าๆ ถ้าเราออกไป”
ภายนอก เริ่นอวี่เฟิงยังคงตะโกนต่อไป “อะไรนะ เจ้าจะไม่ออกมาดูศิษย์น้องของเจ้าหน่อยหรือ นางพยายามฆ่าข้าอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงฆ่านางซะ ข้าถึงขั้นชำแหละศพของนางด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆ …”
สิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูดทำให้ถังเซิ่นตกใจอย่างรุนแรง เขาตัวสั่นขณะที่เขาวิ่งไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง แน่นอนว่าเขาเห็นเริ่นอวี่เฟิงถือหัวของนางอยู่ในมือเขา ผู้อาวุโสชิงซี!
“ท่านทวด…” ถังเซิ่นเรียก เสี้ยววินาทีให้หลัง ดวงตาของเขามืดลงและด้วยเสียง “ตึง” เขาล้มลงที่พื้น
“สหายนักพรตถัง!