โม่เทียนเกอรีบวิ่งกลับเข้าไปในกระท่อมหลังเล็กพร้อมกับเฟยเฟยในอ้อมแขน ชั่วขณะหนึ่งที่นางสับสนจนไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
เฟยเฟยยังเป็นสัตว์วิเศษตัวน้อยระดับหนึ่ง จึงไม่สามารถทนต่อพลังวิญญาณนี้ได้ แต่นางจะดูดพลังวิญญาณนี้ออกจากร่างของมันได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้นเอง ความคิดก็เกิดขึ้นในใจนางและนางตัดสินใจทันที นางหยิบเอาศิลาวิญญาณและแผ่นม่านพลังหลายอันออกมา จากนั้นจึงรีบวางม่านพลังอย่างรวดเร็ว ม่านพลังนี้เป็นประเภทหนึ่งของม่านพลังป้องกันที่รู้จักกันในนามม่านพลังคุมขัง เหมาะที่สุดกับการป้องกันการจู่โจมของพลังวิญญาณ แต่นางทำการดัดแปลงเล็กน้อยและหวังว่าจะสามารถสะกดกลั้นพลังวิญญาณภายในร่างกายของเฟยเฟยได้ และส่งผลให้เฟยเฟยมีช่วงเวลาที่ไม่ยากลำบากมากนัก
ทันทีหลังจากนั้น นางกดที่ส่วนบนสุดของหัวเฟยเฟยและสอดแทรกพลังวิญญาณของนางเข้าไปในร่างเพื่อตรวจดูอาการของมัน
พลังสีทองไม่ได้ทำให้พลังวิญญาณของนางสะท้อนกลับ แต่ก็รุนแรงมากและท่วมท้นไปทั่วทั้งเส้นลมปราณของเฟยเฟย ดังนั้นไม่ว่าโม่เทียนเกอพยายามจะสอดเข้าไปข้างในมากสักแค่ไหน นางก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปลึกกว่านั้นได้ ที่จริงแล้วนางเข้าไปได้ไกลถึงแค่ทางเข้าเส้นลมปราณของเฟยเฟยเท่านั้นหลังจากพยายามอย่างหนัก และนางก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้อีก
หลังจากใช้เวลาอยู่นานในการพยายามตรวจดูแต่ก็ไม่เป็นผล โม่เทียนเกอรู้สึกอับจนหนทางและต้องยอมแพ้ พลังวิญญาณนี้เกินกว่าความสามารถ ณ ปัจจุบันของนาง ดังนั้นนางจึงช่วยอะไรไม่ได้
โดยไม่มีทางเลือกอื่น โม่เทียนเกอทำได้แค่อุ้มเฟยเฟยไว้ในอ้อมแขนขณะที่ป้อนยารักษาและยาแก้ปวดให้มันอย่างต่อเนื่องเท่านั้น หวังว่ายาจะสามารถทำให้มันรู้สึกดีขึ้นได้สักเล็กน้อย
วินาทีแล้ววินาทีเล่า เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด ตอนแรกเฟยเฟยยังสามารถบิดตัวด้วยความเจ็บปวดได้ แต่ตอนนี้มันไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลยสักนิด ดวงตาดำโตของมันหมองมัวและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอสามารถสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณเริ่มจะอ่อนลง ร่างกายของเฟยเฟยก็ดูเหมือนมันจะกำลังเปลี่ยนไปและความเจ็บปวดก็เริ่มทุเลาลงเช่นกัน
โม่เทียนเกอตกใจ จากนั้นนางพูดว่า “เฟยเฟย ทนอีกนิด!”
เห็นได้ชัดว่าสัญชาตญาณของสัตว์ไม่เคยผิดพลาด พลังวิญญาณนี้ที่จริงแล้วเป็นผลดีต่อเฟยเฟย บางทีมันอาจจะไม่เป็นไรตราบใดที่มันสามารถทนต่อไปได้
เฟยเฟยทำเสียงร้อง “อู้อู้” ขณะที่มันดิ้นรนกับการต้านทานพลังนี้
จู่ๆ โม่เทียนเกอก็จำได้ถึงสถานการณ์ของตัวเองเมื่อนางสร้างฐานแห่งพลังงาน จากนั้นนางพูดอย่างรีบร้อนว่า “เฟยเฟย บางทีเจ้าอาจจะกำลังพัฒนาระดับขึ้น! อย่าต่อต้านพลังวิญญาณ ชี้นำมันไป!”
ถึงแม้เฟยเฟยจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่นางพูดได้ แต่ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ของมันทำให้มันสัมผัสได้ถึงความหมายของนาง ดังนั้นมันจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของนางทันที
แน่นอนว่าความเจ็บปวดของมันทุเลาลงขณะที่พลังวิญญาณผสานเข้าไปในเส้นลมปราณของเฟยเฟย
โม่เทียนเกอถอนหายใจในที่สุดและพูดว่า “ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นไรแล้ว ในภายหลังเจ้าแค่ต้องชี้นำพลังวิญญาณนี้ให้ถูกต้อง”
การบรรลุผ่านดินแดนของสัตว์วิเศษไม่เหมือนกับของมนุษย์ ร่างกายของมันดูเหมือนจะมีความทรงจำของยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่ และพวกมันก็ยังมีความฉลาดโดยกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอมละลายของพลังวิญญาณ เพราะเหตุนั้นสัตว์วิเศษจึงมีช่วงเวลาที่สบายกว่ามากในระหว่างการข้ามผ่านดินแดนเมื่อเทียบกับมนุษย์ผู้ฝึกตน อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบันนี้มีพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยและยิ่งไปกว่านั้นก็มีผู้ฝึกตนไม่มากนักที่สามารถป้อนยาวิเศษให้สัตว์ของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีสัตว์ระดับสูงมากมายเท่าไหร่
ตอนนี้เฟยเฟยเริ่มจะเป็นอิสระจากพลังวิญญาณที่วิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งในร่างกายของมันแล้ว โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่ามันกำลังก้าวเข้าไปสู่ระดับถัดไป ดังนั้นนางจึงรู้ว่ามันปลอดภัยแล้ว
สัญชาตญาณของสัตว์วิเศษนั้นสุดยอดมาก ในคราวเดียว เฟยเฟยพบพืชวิญญาณที่สามารถพัฒนาระดับของมันได้ ย้อนไปตอนนั้น เสี่ยวหั่วก็เหมือนกัน เมื่อนางเลี้ยงมันในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มันก็กินบางอย่างที่ทำให้มันพัฒนาขึ้นและไฟหยางแท้อันร้อนแรงของมันเปลี่ยนไปเป็นไฟสุริยัน เรื่องนี้ทำให้นางสงสัยว่าเฟยเฟยจะมีความสามารถพิเศษหลังจากกินผลไม้ทองคำไร้ดอกนี้เช่นกันหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีเวลามาคอยให้เฟยเฟยทำการบรรลุผ่านดินแดนจนเสร็จ สภาปี้เซวียนยังคงรอคอยให้นางปรุงยาฟ้ากระจ่างอยู่
โม่เทียนเกอวางเฟยเฟยไว้ในม่านพลังคุมขังเพื่อปล่อยให้มันทำการบรรลุผ่านดินแดนด้วยตัวเองต่อไป จากนั้นนางนั่งลงและทำสมาธิสักระยะหนึ่ง เมื่อนางปรับลมปราณเสร็จเรียบร้อย นางคิดกับตัวเองแล้วจึงตัดสินใจจะจัดการกับอาวุธเวทและเครื่องมือเวทของนาง
นางไม่รู้ว่าทำไม ทว่าเมื่อนางคิดถึงการเริ่มกระบวนการปรุงยา พื้นที่ตรงหว่างคิ้วของนางกระตุกเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง
โม่เทียนเกอใส่เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และรองเท้าย่ำเมฆา จากนั้นจึงวางผ้าเช็ดหน้าไหมขาว กระสวยอัปสรา ตะเกียงเสน่ห์ และไม้หลบลี้หนีหล้าในจุดที่เข้าถึงได้ง่าย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางใส่หุ่นเชิดหินเข้าไปในกระเป๋าเอกภพของนางด้วยเผื่อไว้
เมื่อนางเตรียมการเสร็จก็ได้เวลาพอดี ตอนนี้ที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นกับเฟยเฟย นางจึงออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทันทีและปล่อยให้เฟยเฟยผ่านกระบวนการของมันต่อไปอย่างช้าๆ อย่างไรเสีย การบรรลุผ่านดินแดนก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน มันอาจจะกินเวลาถึงครึ่งปีเลยก็เป็นได้
ไม่นานหลังจากนางออกมา นางได้ยินอี้ชิวเรียกนางจากด้านนอก “ศิษย์พี่เยี่ย พร้อมหรือยังเจ้าคะ”
นางถอนม่านพลังป้องกันที่นางวางไว้กับบ้านออกแล้วจึงออกจากห้องไป อี้หลิ่วและอี้ชิวกำลังรอนางอยู่แล้วทางด้านนอก
“ตกลง ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งสามคนรอนางอยู่แล้วข้างในเมื่อนางไปถึงห้องปรุงยา โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้าและทักทายพวกนาง “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสาม”
ทั้งสามคนพยักหน้าและจากนั้นผู้อาวุโสชิงอี้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อยเยี่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก เราหวังพึ่งเจ้านะวันนี้”
ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอประสานมือไปทางพวกนางและเข้าไปตรวจการเตรียมตัวต่างๆ ทันทีโดยละเว้นการพูดจาชื่นชมเยิ่นเย้อทั้งหลายไป
“สหายนักพรตเยี่ย” ซย่าชิงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าโม่เทียนเกอกะทันหัน
โม่เทียนเกอต้องตกใจเป็นธรรมดา ซย่าชิงดูอ่อนแรง สายตานางดูไม่มีชีวิตชีวาและเสียงนางก็ฟังดูแหบแห้ง
“สหายนักพรตซย่า เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
ซย่าชิงพูดพร้อมกับขยี้ตา “ไม่มีอะไร ข้าแค่เหนื่อยเกินไปหน่อย”
“เรากำลังจะปรุงยากันวันนี้ เมื่อวานท่านไม่ควรพักผ่อนให้เพียงพอหรอกหรือ”
เว่ยเฮ่าหลานเดินมาจากด้านข้างพร้อมหัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้องซย่ามัวยุ่งกับการเตรียมวัตถุดิบในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาและเมื่อวานนี้นางก็ตื่นเต้นเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเข้าสู่สภาวะเข้าฌานได้ ผลลัพธ์เลยเป็นเช่นนี้”
โม่เทียนเกอตะลึง นางคิดว่ามีแค่พวกมนุษย์เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะตื่นเต้นสักแค่ไหน พวกเขาก็สามารถเข้าสู่สภาวะเข้าฌานได้ทันทีด้วยการควบคุมตัวเองแค่เล็กน้อย โดยเฉพาะในเมื่อซย่าชิงเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เอ้ย ซย่าชิงนี่หมกมุ่นกับการปรุงยามากเกินไปแล้ว
ซย่าชิงพูดว่า “เมื่อข้าได้คิดเกี่ยวกับการปรุงยาฟ้ากระจ่าง ข้าก็ไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้เลย เอาเถิด ช่างมัน วันนี้ข้าจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการดูสหายนักพรตเยี่ยปรุงยา”
รู้สึกทำตัวไม่ถูก โม่เทียนเกอพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น สหายนักพรตซย่าสามารถดูอยู่ข้างๆ ได้”
ซย่าชิงพยักหน้า กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งแล้วจึงสั่งศิษย์คนอื่นๆ ให้ทำหน้าที่ของพวกเขาต่อไป
เว่ยเฮ่าหลานเข้ามาใกล้โม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย ช่วยดูหน่อยว่ามีอะไรขาดเหลือกับการเตรียมการหรือไม่ ถ้าทุกอย่างดูเรียบร้อยแล้ว เราจะได้เริ่มกันได้เลยตอนนี้”
โม่เทียนเกอตรวจดูพืชสมุนไพรและเตาหลอมยาที่เตรียมไว้ให้นางคร่าวๆ นางพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงวางม่านรวมพลังวิญญาณง่ายๆ รอบเตาหลอมยา “เอาล่ะ เราเริ่มกันได้เลย”
ดูเหมือนจะมีความประหลาดใจเจืออยู่บนใบหน้าของเว่ยเฮ่าหลานเมื่อนางเห็นม่านรวมพลังวิญญาณของโม่เทียนเกอ แต่ถึงอย่างนั้น นางพยักหน้าแล้วจึงไปเชิญผู้อาวุโสทั้งสามเข้ามา
“สหายนักพรตซย่า”
ซย่าชิงเข้ามาหาทันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียกของโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย มีอะไรผิดปกติหรือ”
“บอกพวกผู้ฝึกตนที่ไม่มีหน้าที่ให้ก้าวออกไป อีกครู่เดียวเรากำลังจะเริ่มแล้ว”
“ได้สิ! ได้สิ!” ซย่าชิงตื่นเต้น นางหันไปทันทีและรีบเข้าไปหาศิษย์นอกเวลาและตะโกนด้วยเสียงดัง “พอแล้ว! ออกไปรอข้างนอก! พวกเจ้าห้ามเข้ามาข้างในไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
“เจ้าค่ะ” ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งสำหรับพวกเขาที่จะได้เห็นขั้นตอนปรุงยาสำหรับยาวิเศษระดับสูงของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่พวกเขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้ดู ศิษย์นอกเวลารู้สึกไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง พวกเขาจึงออกไปตามคำสั่งของซย่าชิง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสชิงซีเข้ามาหา “สหายน้อยเยี่ย ตอนนี้ข้าควรทำอะไรรึ”
โม่เทียนเกอกล่าว “กรุณานั่งตรงนี้เจ้าค่ะศิษย์พี่ ท่านแค่ต้องใช้ไฟตานเถียนของท่านเท่านั้น”
ผู้อาวุโสชิงซีพยักหน้าแล้วจึงนั่งขัดสมาธิข้างเตาหลอมยา
สุดท้ายโม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมอง นางเห็นผู้อาวุโสชิงเมี่ยวก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างเช่นกัน แต่ผู้อาวุโสชิงอี้กำลังเดินไปทางประตู
ด้วยความสับสน โม่เทียนเกอดึงเว่ยเฮ่าหลานออกมาด้านข้างแล้วจึงถามด้วยเสียงกระซิบ “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ท่านผู้อาวุโสชิงอี้กำลังทำอะไรน่ะ”
เว่ยเฮ่าหลานกล่าว “พวกท่านผู้อาวุโสตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสชิงอี้จะคอยอยู่เฝ้าขณะที่ผู้อาวุโสอีกสองคนจะผลัดเปลี่ยนกันปล่อยไฟในการปรุงยาให้ท่าน”
“อ้อ” โม่เทียนเกอพูดพร้อมพยักหน้า “ท่านผู้อาวุโสคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว คงจะดีที่สุดถ้ามีผู้อาวุโสคอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ” ไม่ว่ากรณีใด ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็เพียงพอแล้วที่จะถ่ายทอดไฟในการปรุงยาให้โม่เทียนเกอ
เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า “สหายนักพรตเยี่ยสามารถเริ่มได้เลย ข้าจะไม่ถ่วงเวลาท่านไว้อีก”
“อืม” โม่เทียนเกอหันกลับไปและพูดกับผู้อาวุโสชิงซี “ศิษย์พี่ เริ่มกันเลยเจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสชิงซีประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน เคลื่อนพลังวิญญาณของนาง จากนั้นทำท่าดันออกไปด้วยมือขวา เส้นใยพลังวิญญาณพุ่งออกมาจากฝ่ามือขวาของนาง มันเปลี่ยนเป็นไฟตานเถียนในทันทีซึ่งพุ่งตรงเข้าสู่ก้นของเตาหลอมยา
ไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นดีกว่าไฟโลกีย์เดิมที่ใช้กันที่นั่นหลายเท่าตัวนัก ดังนั้นเตาหลอมยาจึงอุ่นขึ้นมาในทันใด
โม่เทียนเกอเปิดเตาหลอมยาและโยนพืชวิญญาณหลายชนิดเข้าไปอย่างเร็ว ทันทีหลังจากนั้น นางปิดเตาหลอมยาอีกครั้ง มุ่งความสนใจเพื่อสัมผัสถึงสภาพของพืชวิญญาณภายในเตาหลอมด้วยจิตสัมผัสของนาง
พืชวิญญาณหลายชนิดเปลี่ยนเป็นของเหลวอย่างรวดเร็วและผสมผสานเข้าด้วยกัน ส่งกลิ่นสมุนไพรรุนแรงฟุ้งกระจาย ถึงแม้กระบวนการนี้จะไม่เร็วเท่าการใช้ไฟสุริยัน แต่ก็ยังเร็วกว่าถ้านางใช้ไฟโลกีย์ดั้งเดิมของที่นั่นอยู่หลายเท่าตัว
ที่จริงแล้วถ้านางปรุงยาฟ้ากระจ่างโดยใช้เตาหลอมไม้สีม่วงของนาง นางอาจจะทำเสร็จภายในครึ่งวันก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม นางต้องไม่เอาเตาหลอมไม้สีม่วงของนางออกมา ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่ามันเป็นอาวุธเวทที่ใช้โดยเทพผู้ฝึกตนหรอก แต่แค่หินสุริยันที่ผนึกอยู่ข้างในนั้นอย่างเดียวก็มีค่ามากมายแล้ว
ภายในเตาหลอมยา ของเหลวจากสมุนไพรหลายชนิดกำลังเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิและหลับตา แต่จิตสัมผัสของนางไม่เคยแผ่วลงแม้แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่นางติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในอย่างใกล้ชิด
ณ ขณะนั้น ด้วยผู้อาวุโสชิงอี้ที่กำลังเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกและศิษย์นอกเวลาถูกขับไล่ออกไป มีเพียงคนห้าคนที่ยังคงอยู่ในห้องปรุงยา โม่เทียนเกอจดจ่อสนใจอยู่กับสถานการณ์ภายในเตาหลอมยาและผู้อาวุโสชิงซีก็จดจ่ออยู่กับการใช้ไฟตานเถียนของนาง ในขณะที่ผู้อาวุโสชิงเมี่ยว เว่ยเฮ่าหลาน และซย่าชิงล้วนกำลังมองกระบวนการนี้อย่างตั้งใจ
ด้วยเวลาที่ผ่านไปช้าๆ สีผิวของผู้อาวุโสชิงซีเริ่มซีดเผือดลงทีละนิด ตอนนี้นางใช้ไฟตานเถียนของนางไปเกือบจะหกชั่วโมงแล้ว นางจึงเผาผลาญพลังวิญญาณไปอย่างมากมาย
โม่เทียนเกอลืมตาและสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ทันที จากนั้นนางพูดว่า “ศิษย์พี่ชิงเมี่ยว กรุณาเข้ามาแทนที่ผู้อาวุโสชิงซีด้วยเจ้าค่ะ”
พอได้ยินที่นางพูด ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวยืนขึ้นและเดินเข้ามา นางนั่งข้างผู้อาวุโสชิงซีแล้วจึงใช้พลังวิญญาณของนางเพื่อปล่อยไฟตานเถียน
ในเวลาเสี้ยววินาทีที่ไฟตานเถียนของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวกำลังจะสัมผัสกับเตาหลอมยา ผู้อาวุโสชิงซีก็ถอนไฟของนางออกไป หลังจากนั้นด้วยการช่วยเหลือจากเว่ยเฮ่าหลาน นางนั่งอยู่ด้านข้างและเริ่มทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของนาง
โม่เทียนเกอจับตาดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่งและสังเกตว่าไฟตานเถียนของผู้อาวุโสชิงเมี่ยวและผู้อาวุโสชิงซีนั้นเหมือนกันมาก นี่ดีกว่าที่นางคาดคิดไว้เสียอีก ถึงแม้ผลของความแตกต่างในไฟจะไม่สำคัญมากนัก แต่มันก็จะดีกว่าหากไฟในการปรุงนั้นเสถียรเท่ากันเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยวิธีนั้น พวกเขาสามารถเลี่ยงสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเช่นการแปรปรวนที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงของพืชวิญญาณ
“ศิษย์พี่ ท่านสามารถตัดสินใจได้ในหมู่พวกท่านเองว่าเมื่อไรที่ท่านอยากจะสับเปลี่ยนกัน จะดีที่สุดหากท่านไม่รอจนกระทั่งพลังวิญญาณของท่านหมดเกลี้ยงก่อนที่จะสลับกัน ด้วยวิธีนั้น ท่านจะสบายขึ้นเล็กน้อยเมื่อท่านฟื้นฟูพลังวิญญาณ”
ผู้อาวุโสชิงเมี่ยวส่งเสียงฮึมฮัมเป็นคำตอบ จากนั้นจึงจดจ่อกับการใช้ไฟตานเถียนของนางอีกครั้ง
โม่เทียนเกอที่สัมผัสได้ว่าวัตถุดิบในเตาหลอมนั้นพร้อมแล้วไม่มากก็น้อยจึงเปิดเตาหลอมยาและโยนวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่เหลือเข้าไป ทันทีหลังจากนั้น นางรีบปิดเตาหลอมอีกครั้งและนั่งอยู่ด้านข้าง เริ่มทำท่ามุทรามากมายด้วยมือนาง
การปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้านั้นค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม ยาฟ้ากระจ่างถือว่าเป็นยาวิเศษระดับสูง ท่ามุทราหลายท่าจำเป็นต้องใช้ระหว่างกระบวนการปรุง โม่เทียนเกอประกบมือมุทราท่าหนึ่งที่ซับซ้อนหลังจากอีกท่าหนึ่งตามลำดับโดยไม่มีการหยุดในท่วงท่าของนาง มันลื่นไหลไปตามธรรมชาติและราบรื่นเหมือนดังเมฆที่ล่องลอยและสายน้ำไหล ทำให้ซย่าชิงที่กำลังมองอยู่จากด้านข้างเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
กระบวนท่ามุทราที่ซับซ้อนเช่นนั้นต้องได้รับการศึกษาและฝึกฝนมาเป็นเวลานานก่อนที่คนหนึ่งจะสามารถใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญ ซย่าชิงยอมรับว่าทักษะของนางยังคงไม่เพียงพอ แต่นางก็สงสัยว่าสหายนักพรตเยี่ยจะเก่งในการปรุงยามากสักแค่ไหน สหายนักพรตเยี่ยไม่ใช่อาจารย์ปรุงยาที่เชี่ยวชาญในการปรุงยาวิเศษ แต่กระนั้นสหายนักพรตเยี่ยกลับช่ำชองกว่านางมากนัก!
ที่จริงแล้วความชำนาญของโม่เทียนเกอมาจากการฝึกฝนจนนับครั้งไม่ถ้วน ทักษะการปรุงยาของนางธรรมดามาก แต่นางปรุงยาวิเศษระดับสูงมามากมาย ดังนั้นจึงทำให้นางได้ฝึกฝนทักษะการประกอบท่ามุทราของนางไปด้วย
ย้อนไปตอนนั้น นางเฝ้ามองวิชาของฉินซีในการทำท่ามุทราเช่นกันและในขณะนั้นนางก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หลังจากนางเริ่มหัดปรุงยาด้วยตัวเอง ในที่สุดนางจึงรู้ตัวว่านางประเมินเขาต่ำเกินไป สำหรับเขาที่มีทักษะการประกบมือที่วิจิตรบรรจงเช่นนั้น จำท่ามุทราที่ซับซ้อนได้หลังจากดูแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และมีทักษะการปรุงยาที่เหนือกว่านางมากนัก… สิ่งเหล่านี้จะทำสำเร็จได้โดยผู้ฝึกตนธรรมดาที่เพิ่งเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร
นางถอนใจอยู่ภายใน แต่หลังจากนั้นนางก็หลับตาและมุ่งความสนใจอยู่กับการรับรู้ถึงสถานการณ์ภายในเตาหลอมยาอีกครั้ง