โครงกระดูกขนาดมหึมานอนนิ่งพาดผ่านลานจัตุรัสกว้างที่ยกสูงขึ้น แต่ละส่วนถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูประดุจมังกรตัวจริงกำลังมองพวกมนุษย์เบื้องล่าง ท่าทางของมันเป็นธรรมชาติ สง่างามและศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งว่ายังมีชีวิตอยู่ บนโครงกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยด่างอย่างที่ควรจะเป็นเนื่องจากเวลาหลายล้านปีที่ผ่านไปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างเงางามด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนนางกำลังมองภาพทิวทัศน์จากหลายล้านปีก่อน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงนอนอยู่บนจัตุรัสนั้น กำลังมองมนุษย์เบื้องล่างอย่างเงียบๆ มันดูขี้เกียจและผ่อนคลายราวกับว่ามันยอมรับการบูชาจากมนุษย์ แต่ละท่วงท่าของมันคงจะมีความศักดิ์สิทธิ์และสง่าผ่าเผยของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ตอนนี้แรงเคลื่อนไหวของมันก็ยังคงน่าประหลาดใจ
ขณะที่โม่เทียนเกอเดินไปข้างหน้าช้าๆ นางมองขึ้นไปยังโครงกระดูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณตัวนี้
ทั้งแรงเคลื่อนไหวและพลังวิญญาณของมันยังคงหลงเหลืออยู่ที่นั่น รู้สึกศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ เหมือนกับลมปราณเทพมังกรด้านนอกแต่รุนแรงยิ่งกว่า ทำให้โม่เทียนเกอแทบหายใจไม่ออก
แต่ทำไมกัน ทำไมเริ่นอวี่เฟิงถึงกลายเป็นเช่นนั้น ตามหลักเหตุผลแล้วลมปราณเทพมังกรไม่ควรทำให้คนถูกมารเข้าครอบงำ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการถูกมารเข้าครอบงำแล้วจะอธิบายรูปลักษณ์ของเริ่นอวี่เฟิงได้ว่าอย่างไรอีกเล่า หรือว่า… บางทีเขาอาจจะใช้วิธีที่ผิด
ก่อนนางจะคิดหาเหตุผลได้ โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงเส้นใยของ… จิตสังหารกำลังใกล้เข้ามา ภายใต้แรงกดดันของลมปราณเทพมังกร นางไม่สามารถขยายจิตสัมผัสของนางออกไปได้ แต่จิตสังหารนั้นไม่จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัสของนางไปสัมผัส เพราะมันแผ่มาถึงนางอย่างเปิดเผย
ชั่วขณะที่นางสัมผัสมันได้ โม่เทียนเกอกดพื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วของนางทันทีเพื่อเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วจึงซ่อนอยู่ในนั้น
จิตสังหารนี้ไม่ได้มาจากใครอื่น ต้องมาจากเริ่นอวี่เฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใครบางคนรีบวิ่งมาจากทางเข้า คนนั้นคือเริ่นอวี่เฟิง เขากำลังจับตัวคนสองคนที่เขาจับได้ คนหนึ่งคือชิวจื้อหมิงและอีกคนคือซย่าโหวย่วน
ครั้นเห็นฉากตรงหน้านี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวนางผ่อนคลายลง นั่นไม่ใช่เจียงซั่งหัง บางทีเขาอาจจะหนีไปได้แล้วจริงๆ
ภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เริ่นอวี่เฟิงโยนผู้ถูกจับสองคนลงที่พื้น เขาพูดอย่างเย็นชา “เจ้าอยากจะหนีงั้นรึ ฮึ่ม!”
เริ่นอวี่เฟิงไม่แสดงความปรานีใดๆ ทำให้ชิวจื้อหมิงและซย่าโหวย่วนที่จู่ๆ ก็ถูกจับโยนลงพื้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าสะพรึง จากแรงเคลื่อนไหวของเขา โม่เทียนเกอคาดว่าระดับการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงจะต้องอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นอย่างต่ำ
รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอขณะที่นางมองภาพด้านนอก
“ศิษย์พี่!” ซย่าโหวย่วนตะเกียกตะกาย เมื่อนางเห็นจิตสังหารที่ชัดเจนบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิง นางอ้อนวอน “ศิษย์พี่เริ่น ไม่ว่าอย่างไรเราก็มาจากสำนักเดียวกัน ท่านอาจารย์ของข้าและอาจารย์ลุงปู้ฉีก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้โปรดนึกถึงมิตรภาพเก่าแก่ของเราและปล่อยข้าไปเถิด!”
ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยพลังดำมืด เริ่นอวี่เฟิงมองนางแล้วจึงเผยรอยยิ้มเยาะอย่างดูถูก “ปล่อยเจ้าไปงั้นรึ ซย่าโหวย่วน เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเจ้าเยาะเย้ยข้าอย่างไรก่อนหน้านี้ จากความจริงที่ว่าตระกูลซย่าโหวมีสถานะอยู่บ้างในสำนักเจิ้งฝ่า เจ้าจึงแอบเยาะเย้ยข้าต่อหน้าไอ้เสียน พูดว่าข้าไม่มีทีท่าว่าจะทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เพราะอายุของข้า เจ้าจำไม่ได้หรือ เจ้ารู้ไหม… ว่าข้าจำได้ชัดเจนเลยล่ะ!”
“ข้า…” ซย่าโหวย่วนตกตะลึงแต่ไม่นานนักก็เข้าสู่สภาวะตื่นตกใจ “ท ท่าน… ได้ยิน…”
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เริ่นอวี่เฟิงก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย และเมื่อดูเผินๆ สถานะของเขาก็สูงกว่านางเช่นกัน ดังนั้นซย่าโหวย่วนจึงไม่น่าจะพูดเช่นนั้นต่อหน้าเขาแน่ ขณะนี้นางดูประหลาดใจอย่างที่สุด นางไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องซุบซิบที่นางพูดกับสหายศิษย์ผู้หญิงของนางลับๆ จะถูกได้ยินโดยบังเอิญจากคนที่โดนนินทาเสียเอง และเขายังถึงขนาดต้องการจะแก้แค้นด้วย
รอยยิ้มดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิง ใบหน้าที่เคยขาวผ่องของเขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ทำให้รอยยิ้มของเขายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก “ในเมื่อเจ้าเป็นสมาชิกตระกูลซย่าโหว ข้าจึงไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ตอนก่อนหน้านี้และทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธไว้เท่านั้น แต่บัดนี้…!” เขาผายมือออกและก้อนพลังดำมืดปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือเขา ภายใต้สายตาหวาดกลัวของซย่าโหวย่วน ก้อนดำนั้นถูกโยนเข้าใส่นางเบาๆ
พลังดำมืดดูเหมือนจะถูกโยนอย่างเบาๆ แทบจะไม่ได้ใช้แรงเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมันสัมผัสเข้ากับซย่าโหวย่วน นางส่งเสียงกรีดร้องสยดสยอง “อ๊าาา” ทันที เสียงกรีดร้องของนางฟังดูน่าอนาถและถึงขนาดทำให้โม่เทียนเกอตัวสั่นได้
ซย่าโหวย่วนถูกพลังดำมืดห่อหุ้มตัวไว้ทั้งหมด เสียงร้องของนางดังเล็ดลอดออกมาไม่หยุด ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เสียงกรีดร้องของนางถ่ายทอดออกมานั้นสุดจะทนฟังได้ หลังจากนั้นทันใด ความเจ็บปวดดูเหมือนจะไม่สามารถทนต่อไปได้อีกสำหรับซย่าโหวย่วนขณะที่นางเริ่มกลิ้งไปบนพื้น
พวกเขาอยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทร แต่เพราะนางกินผลฟองอากาศเข้าไป นางจึงมีชั้นของมนตร์กันน้ำอยู่บนร่างกาย ตอนนี้ที่นางถูกพลังดำมืดห่อหุ้มร่างไว้ มนตร์นั้นจึงค่อยๆ สลายไปทีละนิด โม่เทียนเกอเห็นว่าเมื่อซย่าโหวย่วนเสียมนตร์นั้นไป ทั้งร่างของนางจมดิ่งลง น้ำเข้าตา หู จมูก ปากของนาง และส่วนของผิวเพียงเล็กน้อยที่เปิดเผยออกมาก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ใบหน้านางแสดงให้เห็นความทุกข์ทรมานสุดทนที่นางกำลังเผชิญอยู่
โม่เทียนเกอย่นคิ้ว เปรียบเทียบกับมนุษย์ธรรมดา ผู้ฝึกตนจะมีความอดทนกับความเจ็บปวดได้มากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรจะดูน่าสังเวชเพียงนี้ การทรมานที่นางกำลังเจออยู่ตอนนี้ต้องโหดร้ายขนาดไหน และพลังดำมืดนี้คืออะไร มันทำให้ผู้ฝึกตนทุกข์ทรมานถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
ชิวจื้อหมิงกลัวจนตัวแข็งทื่อจากการมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของซย่าโหวย่วน ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงดูพึงพอใจ เขาดูเหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับการที่นางต้องทุกข์ทนทรมาน
ซย่าโหวย่วนกัดฟันขณะที่อดทนกับความเจ็บปวด นางเปลี่ยนจากส่งเสียงฟ่อไปเป็นเสียงกรีดร้อง และเมื่อมนตร์กันน้ำของนางหายไป เสียงกรีดร้องของนางไม่มีเสียงอีกต่อไป หูและจมูกของนางถูกน้ำทะเลไหลบ่าเข้าไปทำให้ใบหน้านางบวมขึ้นและกลายเป็นสีม่วงทันที นางคว้าคอตัวเองโดยอัตโนมัติและดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
หลังจากเวลาผ่านไปนาน อาจจะเพราะเขารู้สึกว่าเขาสนุกมาพอแล้ว เริ่นอวี่เฟิงถอนพลังดำมืดออกเบาๆ จากนั้นเขายิ้มและมองนางอย่างเห็นใจ “พูดสิ เจ้าทำไปทำไม ถ้าตอนนั้นเจ้าพูดน้อยกว่านี้ บางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องลงเอยอย่างวันนี้ก็ได้…”
เพราะนางไม่ถูกพลังดำมืดปกคลุมอยู่อีกต่อไป ร่างของซย่าโหวย่วนจึงเผยออกมาให้พวกเขาเห็นอีกครั้ง นางยังคงไม่มีมนตร์กันน้ำ ดังนั้นนางจึงตัวชุ่มโชกไปด้วยน้ำ ถึงแม้นางจะไม่ได้จมน้ำจนตาย แต่ไม่ว่าอาการบาดเจ็บใดที่นางมีก็จะต้องแย่ลงมากแน่นอน ซย่าโหวย่วนน่าจะเป็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ฝึกตนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทุกข์ทรมานอะไรมาก่อน ตอนนี้ที่นางผ่านการทรมานเช่นนั้นมา นางก็เกือบจะตายแล้ว
โม่เทียนเกอยังคงดูต่อไปพร้อมกับนิ่วหน้า เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ช่างโหดร้ายเหลือเชื่อ เขามีความสุขจากการทรมานผู้อื่น! นางเกือบจะมั่นใจว่าทั้งสองคนนี้คงไม่ได้มีชีวิตออกจากที่นี่แน่ ถึงแม้โม่เทียนเกอจะซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางและเริ่นอวี่เฟิงไม่มีทางรู้ว่านางอยู่ที่ไหนอย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรที่ว่านั้นเข้าไปจริงๆ และได้ครอบครองความสามารถที่นางไม่เข้าใจขึ้นมาล่ะ พิจารณาดูจากพฤติกรรมปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิง เขาต้องไม่ปล่อยนางไปอย่างสบายๆ แน่นอน
แต่เกิดอะไรขึ้นกับเริ่นอวี่เฟิง ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและเขาก็เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ทำไมเขาถึงมีความไม่พอใจเช่นนั้นในเมื่อแม้แต่เจียงซั่งหังยังพอใจกับวิธีที่สำนักเจิ้งฝ่าปฏิบัติต่อเขา
เมื่อเริ่นอวี่เฟิงทรมานซย่าโหวย่วนจนหนำใจแล้ว เขาหันมาทางชิวจื้อหมิง เขาจ้องชิวจื้อหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่แสดงสีหน้า ในทางกลับกัน ชิวจื้อหมิงหน้าขาวซีด จากนั้นเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ และเปลี่ยนเป็นขาวซีดอีกครั้ง
จากที่นางเห็นมาจนถึงตอนนี้ ชิวจื้อหมิงมีนิสัยค่อนข้างดุดันแต่เขาก็มีศีลธรรมเช่นกัน เขายอมพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาด้วยตอนที่พวกเขาต้องการหนี ถึงแม้ว่าทำเช่นนั้นจะทำให้เขาช้าลงก็ตาม และเขาก็ยังแสดงความเกลียดชังอย่างมากต่อการกระทำของเริ่นอวี่เฟิง แต่ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอย่างไรในตอนนี้
ทันใดนั้นเริ่นอวี่เฟิงเดินไปข้างหน้าและเข้าใกล้ชิวจื้อหมิงทีละก้าว จังหวะก้าวของเขาช้ามากแต่มันช่างน่าหวาดกลัว ที่จริงแล้วความช้าของเขายิ่งทำให้เขาน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ดูเหมือนเขาจะคิดว่าคนที่กำลังหวาดกลัวนั้นน่าสนุกมาก ดังนั้นเขาจึงจงใจก้าวแต่ละก้าวอย่างมั่นคง
ขณะที่ความกลัวของชิวจื้อหมิงเพิ่มมากขึ้น ใบหน้าเขาก็ยิ่งซีดลง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก และเหงื่อเม็ดเป้งไหลลงจากหน้าผากของเขา โม่เทียนเกอสังเกตเห็นด้วยว่าเขาหายใจติดขัด รูจมูกของเขาหุบและขยายอย่างเร็วโดยไม่มีแรงมากนัก
ทันทีที่เริ่นอวี่เฟิงกำลังจะเข้าถึงตัวเขา จู่ๆ เขาก็งอตัวและคุกเข่าลงที่พื้น ใบหน้าเขาย่นยู่เผยให้เห็นสีหน้าน่าเวทนาและทุกข์ทน ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลเปื้อนหน้า เขาพูดขณะที่ตัวสั่นเทา “ศิษย์พี่เริ่น ศิษย์พี่เริ่น ข้าไม่เคยทำอะไรไม่ดีต่อท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย…”
เริ่นอวี่เฟิงยืนนิ่ง มองเขาอย่างเหยียดหยาม
เขาไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองอย่างเย็นชา มองชิวจื้อหมิงคนหยิ่งยโสและดุดันที่ร้องไห้จนหน้าย่น จนหายใจยังลำบาก
การต้องการจะเป็นคนหยิ่งยโสนั้นง่ายมาก ตราบใดที่ชีวิตไม่ถูกข่มขู่ด้วยสิ่งใด เจ้าก็จะสามารถแสดงตัวว่าเป็นคนหยิ่งยโสและเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่บริสุทธิ์และผุดผ่อง อย่างไรก็ตาม การปลดปล่อยความหยิ่งยโสก็ง่ายมากเช่นกัน โดยแทบจะไม่ต้องคิดเลย คนจะยอมก้มหัวที่แสนหยิ่งยโสของพวกเขาและยอมคุกเข่าในทันทีเมื่อต้องเผชิญกับความตาย
โม่เทียนเกอถอนหายใจแผ่วเบา นางรู้ว่าชิวจื้อหมิงไม่ควรถูกว่าที่ทำตัวเช่นนี้ การที่เขายินดีพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านิสัยของเขาไม่แย่ แต่เมื่อเผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามา ใครจะสามารถแข็งข้ออยู่โดยไม่ลังเลได้ โม่เทียนเกอเชื่อว่านางก็ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ก่อนที่นางจะตัดสินใจเช่นกัน
สำหรับผู้ฝึกตน ชีวิตสำคัญอย่างยิ่ง จุดประสงค์ของการฝึกตนคืออะไร แน่นอนว่าเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตน ความรัก ผลประโยชน์ และแม้แต่ศักดิ์ศรียังไม่สามารถเอาชนะสิ่ง “สำคัญที่สุด” นี้ได้เลย
เริ่นอวี่เฟิงดูพอใจมาก มุมปากของเขาเผยอขึ้นช้าๆ เกิดเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะเย้ยกึ่งพอใจ แต่ไม่นานหลังจากนั้น สายตาเขากลับกลายเป็นเย็นชา
“ชิวจื้อหมิง เจ้าดีทุกอย่าง แม้ว่าเจ้าจะยกยอตัวเองมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อข้า ดังนั้นข้าจะไม่ทรมานเจ้า”
พอได้ยินเช่นนี้ ชิวจื้อหมิงรู้สึกความตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลงทันที เขาพูดซ้ำๆ “ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น! ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น!”
“อย่าดีใจเร็วเกินไป” สายตาเย็นชาและมืดมนของเริ่นอวี่เฟิงมาจับจ้องอยู่ที่เขาอีกครั้ง “ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ ข้ายอมให้เจ้าตายแบบเจ็บปวดน้อยลง!”
สีหน้าของชิวจื้อหมิงแข็งทื่อ
สีหน้าของชิวจื้อหมิงทำให้เริ่นอวี่เฟิงระเบิดหัวเราะออกมา เขาพูดว่า “วางใจเถอะ เราทั้งคู่ต่างเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพื้นเพ ข้าจะไม่ทรมานเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายอย่างไม่เจ็บปวด”
สายตาชิวจื้อหมิงเปลี่ยนไปในที่สุด ตาเขายิ่งโตขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น และคิ้วของเขาขมวดด้วยความโกรธ เมื่อรู้แล้วว่าสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีได้ ความโกรธของเขาจึงพลุ่งพล่านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้น เขายืนขึ้นและชี้ไปที่เริ่นอวี่เฟิง “เริ่นอวี่เฟิง ท่าน–”
“ข้าทำไมรึ” เริ่นอวี่เฟิงหยุดหัวเราะและจ้องชิวจื้อหมิงอย่างรังเกียจ “เจ้าถึงขนาดคุกเข่าต่อหน้าข้า แต่ตอนนี้เจ้ายังอยากจะสั่งสอนข้าอีกรึ”
ชิวจื้อหมิงหน้าแดงก่ำและหยุดแค่เสี้ยววินาที จากนั้นเขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ศิษย์พี่เริ่น เห็นได้ชัดว่าท่านอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว อนาคตในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของท่านก็สดใส ทำไมท่านถึงต้องทำอะไรเยี่ยงนี้ด้วย ในหมู่พวกเรา คนเดียวที่มีสถานะสูงที่สุดก็คือท่าน ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะคำนินทาของศิษย์น้องซย่าโหวจริงๆ หรือ”
“คำนินทา” สีหน้าล้อเลียนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงแต่ก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายอย่างรวดเร็ว “ข้าเหลือทนกับคำนินทาแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าทำอะไร และเจ้าคิดว่าข้าได้อะไรตอบแทนกลับมา ตั้งแต่ข้าเข้ามาในสำนักเจิ้งฝ่า ข้ามักจะฝึกตนอย่างหนักและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นเสมอ ต้นทุนของข้าไม่ดีแต่ข้าก็กล้าพูดว่าไม่มีศิษย์คนไหนที่ขยันมากไปกว่าข้า!”
ขณะที่เขาหายใจรัวขึ้น เขาเริ่มเดินกลับไปกลับมาต่อหน้าชิวจื้อหมิง “ข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่าเมื่อข้าอายุสิบปี ข้าฝึกตนอย่างเต็มที่ทุกวัน ทุกคืน กระทั่งในที่สุดข้าก็สร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จตอนข้าอายุสี่สิบปี เดิมทีข้าคิดว่าในเมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้วและศิษย์พี่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยินดีรับข้าเข้าเป็นศิษย์ อนาคตของข้าจะต้องสดใสและไม่มีใครกล้าดูถูกข้าอีกต่อไปแน่ แต่ผลคืออะไรน่ะรึ ผลคืออะไร” เสียงของเขาดังขึ้นอีก “ไม่มีใครพูดอะไรอย่างเปิดเผย แต่ขณะที่ข้าแก่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็หยุดเคารพข้า! พวกเขาบอกว่าต้นทุนของข้าปานกลาง ดังนั้นข้าคงไม่สามารถก้าวไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แน่นอน! ถึงแม้ข้าจะเข้าถึงขั้นกลางและแม้แต่ขั้นสุดท้าย พวกเขาก็ยังคงยึดถือความเชื่อเช่นนั้น! สุดท้ายระดับการฝึกตนของข้าก็ติดขัด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงรู้สึกภูมิใจ พวกเขารู้สึกพอใจ! พวกเขาภูมิใจเหลือเกินที่เห็นข้าฝึกตนทุกวันทุกคืนโดยไม่ได้ผลอะไรเลย! ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ท่านอาจารย์ที่ข้าเคารพนับถือที่สุดก็ยังเลิกหวังกับข้า!”
หลังจากเขาพูดทั้งหมดนั้น เสียงของเริ่นอวี่เฟิงค่อยๆ เบาลงแต่ดูเหมือนมันจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าสิ้นหวัง “ข้าไม่ใช่เด็ก ข้าอายุสามร้อยปีเข้าไปแล้ว หากข้าไม่ก่อขุมพลังตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกเลย!”