โม่เทียนเกอไม่รู้ว่านางแช่อยู่ในบ่อน้ำเวินหย่างนานแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็มีแรงพอจะลืมตาขึ้นได้
นางมองไปรอบๆ และในที่สุดก็ได้เห็นชัดๆ ว่าบ่อน้ำเวินหย่างหน้าตาเป็นอย่างไร
มันคือบ่อน้ำที่ทำจากหยกอุ่นรูปร่างประหลาด ไอน้ำจากน้ำแผ่ขยายไปจนทั่ว น้ำจากบ่อน้ำมีสีขาวอ่อนๆ เหมือนน้ำนมและส่งกลิ่นสมุนไพรหอมที่นางเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว
บ่อน้ำสร้างอยู่บนพื้นยกสูง บันไดด้านล่างทำจากหยกขาวที่เหมือนๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมกับงานแกะสลักที่งดงามและการตกแต่งแต้มสีสัน สถานที่แห่งนี้จึงยิ่งดูหรูหรามาก ม่านผ้ามัสลินบางๆ ที่แขวนอยู่โดยรอบบางครั้งบางคราวก็จะปลิวขึ้นและพลิ้วไหวไปกับสายลมอ่อน เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น บางครั้งกลีบดอกไม้ก็จะลอยเข้ามาพร้อมกับลมและร่วงลงอย่างช้าๆ …
ตัวพื้นที่ยกสูงรายล้อมไปด้วยทะเลแห่งเมฆไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆ สิ่งที่โม่เทียนเกอเห็นทำให้นางสงสัยว่าบ่อน้ำเวินหย่างนี้สร้างอยู่ในสถานที่แบบไหนกันแน่
ขณะที่นางกำลังดื่มด่ำอยู่กับความคิดโลดโผน ทันใดนั้นสาวใช้ก็ร้องเรียกด้วยความประหลาดใจและดีใจ “อาจารย์ลุงโม่ ท่านตื่นแล้ว!”
โม่เทียนเกอหันไปมอง ข้างหลังนางคือผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน แต่ละคนเป็นหญิงงามและทุกคนล้วนดูอ่อนช้อย คาดว่าสี่คนนี้คือดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย ผู้ที่ดูแลนางพร้อมกับทะเลาะกันเองไปด้วยเมื่อตอนนั้น
จากเสียงของนาง คนที่เพิ่งพูดดูเหมือนจะเป็นเมิ่งจู๋ที่พูดมากที่สุด โม่เทียนเกอเพียงแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ “ข้าขึ้นไปได้หรือยัง”
โม่เหมยตอบ “ในเมื่ออาจารย์ลุงสามารถขยับได้แล้ว แน่นอนว่าอาจารย์ลุงขึ้นมาได้เจ้าค่ะ”
หลังจากได้รับการยืนยัน โม่เทียนเกอต้องการลุกขึ้น อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นนางก็เพิ่งรู้ตัวว่านางกำลังเปลือยกายอยู่ รู้สึกค่อนข้างอาย โม่เทียนเกอจึงถามว่า “เสื้อผ้าของข้าอยู่ไหนหรือ?”
ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย ทั้งสี่คนแยกไปคนละทาง สองคนไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาขณะที่อีกสองคนถือเสื้อผ้าขึ้นมา ท่าทางพวกนางกำลังจะช่วยนางแต่งตัว
โม่เทียนเกอคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจว่ามันคงไม่เป็นไรถ้าพวกนางจะเห็นร่างเปลือยของนาง อย่างไรเสียพวกนางทั้งหมดก็เป็นผู้หญิง ดังนั้นพอไม่รู้สึกอายอีกต่อไป นางจึงขึ้นจากบ่อน้ำ
สาวใช้คนหนึ่งเกล้าผมนางขึ้น อีกคนหนึ่งเช็ดตัวให้ และอีกสองคนช่วยนางใส่เสื้อผ้า
โดยไม่ต้องขยับนิ้วแม้แต่นิ้วเดียว นางก็ใส่เสื้อผ้าบนร่างอย่างเรียบร้อย
ขณะนั้นเอง จู่ๆ โม่เทียนเกอก็จำเรื่องที่ครั้งหนึ่งนางเคยอ่านได้สมัยยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ ในอดีตอันไกลโพ้นมีอาณาจักรที่เกือบจะรวมขั้วท้องฟ้าทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันได้ ในอาณาจักรแห่งนั้น หนึ่งในนางสนมหลวงเป็นที่ถูกใจของท่านจักรพรรดิอย่างมาก นางสนมคนนั้นชอบการแช่น้ำพุร้อน ดังนั้นจึงมีนักกวีคนหนึ่งเขียนโคลงยาวเกี่ยวกับเรื่องนั้น ประโยคเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของโคลง
วันอันเหน็บหนาวในวสันตฤดู ท่านให้เกียรตินางร่วมแช่น้ำกับท่านที่บ่อน้ำหัวชิง
น้ำในบ่อน้ำพุร้อนสงบนิ่งและชะล้างผิวขาวซีดของนาง
เหล่าสาวใช้ในตำหนักช่วยนางขึ้นจากบ่อน้ำเพราะนางบอบบางและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
นี่คือเวลาที่นางเริ่มได้รับการเลื่อนขั้นจากท่านจักรพรรดิ…
เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวนี้ โม่เทียนเกอขนลุกทั่วร่างขึ้นมาในทันที ต่อให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอจะมีท่าทางของประมุขที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่นางก็เป็นศิษย์ของเขา ไม่ใช่นางสนมโชคร้ายในเรื่องนั้นสักหน่อย พวกนางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
โม่เทียนเกอสะบัดความรู้สึกไม่สบายใจออกไป จากนั้นนางมองกลับไปและถามว่า “ข้าควรไปทำความเคารพท่านอาจารย์หรือไม่”
“ควรเจ้าค่ะ” เมิ่งจู๋ตอบ “อาจารย์ลุง เชิญก้าวขึ้นมาบนเบาะดอกบัวเจ้าค่ะ”
ตอนนี้โม่เทียนเกอถึงเพิ่งเห็นว่ามีเบาะดอกบัวลอยได้อยู่ข้างพื้นยกสูง นางขยับตัวไปทางเบาะดอกบัวและก้าวขึ้นไป ไม่นานหลังจากนั้นเบาะดอกบัวก็เคลื่อนที่ ค่อยๆ จมลงสู่ทะเลแห่งหมู่เมฆอย่างช้าๆ
ครั้งนี้ในที่สุดนางก็ได้มองให้ชัด ปรากฏว่าพื้นที่ยกสูงนี้ตั้งอยู่กลางอากาศ!
เบาะดอกบัวลอยลงช้าๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรมาคอยหนุน แต่มันกลับพานางลงมาสู่ยอดเขาวสันต์กระจ่างได้อย่างมั่นคง
หลายวินาทีถัดมา โม่เทียนเกอก้าวลงสู่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเบาะดอกบัวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่กลางอากาศอีกครั้ง
หลังจากนางมองเบาะดอกบัวออกจากยอดเขาวสันต์กระจ่างไป โม่เทียนเกอจึงหันเหสายตามามองสภาพรอบตัวนาง นี่คือถ้ำเซียนของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งนางเคยแวะมาแล้วครั้งหนึ่ง
พอเห็นนางก้าวลงจากเบาะดอกบัว ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบมาทักทายนางทันที เขาพูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านใช่อาจารย์ลุงโม่หรือไม่ขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า คนพวกนี้ฉลาดมาก แค่เมื่อเร็วๆ นี้เองที่นางเปลี่ยนจากศิษย์ลงนามกลายมาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูง วิธีที่พวกเขาเรียกนางและปฏิบัติกับนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ศิษย์คนนั้นยิ้มให้และรีบพูด “ท่านปรมาจารย์ได้สั่งไว้ว่าไม่จำเป็นต้องรายงานก่อนถ้าอาจารย์ลุงโม่มาถึง อาจารย์ลุงเชิญเข้าไปทางนี้ได้ขอรับ”
โม่เทียนเกอยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ขอบคุณ”
ขณะที่ศิษย์คนนั้นพูดว่า “เป็นหน้าที่ที่ข้าควรทำขอรับ” นางก็ได้เข้าไปสู่ห้องโถงหลัก
“อาการบาดเจ็บของเจ้าหายเร็วจริงๆ เพิ่งจะไม่กี่วันแต่เจ้าก็สามารถออกจากบ่อน้ำได้แล้ว!”
ก่อนที่นางจะก้าวเข้าไปข้างในต่อ นางก็ได้ยินเสียงใครบางคนแล้ว โม่เทียนเกอปรับสายตามองตรงและเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งตัวตรงอยู่ภายในห้องโถง นางรีบคุกเข่าและทำความเคารพเขา “ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ ศิษย์ยังต้องขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับความเอาใจใส่ของท่าน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมืออย่างไม่สนใจและพูดว่า “ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“…” อาจารย์คนใหม่ของนางคนนี้ เขาจะทำให้นางเคารพเขาได้อย่างไรถ้าเขาทำตัวเช่นนี้?
“แค่นั้นก็พอ ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ใช่อาจารย์ประเภทที่ชอบใจร้ายกับศิษย์ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าโดยไม่มีเหตุผลหรอก นั่งสิ!”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด ใบหน้าของโม่เทียนเกอกระตุกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืนขึ้นและตอบอย่างว่าง่าย “เจ้าค่ะ”
ขณะที่เขามองนางเลือกเก้าอี้และนั่งลง สายตาประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงจ้องค้างอยู่ที่นาง กำลังพินิจพิเคราะห์นาง บางครั้งเขาก็จะลูบหนวดสั้นๆ และจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง และบางครั้งเขาก็จะจ้องนางและพึมพำกับตัวเอง
การถูกจ้องมองแบบนั้นทำให้โม่เทียนเกอค่อนข้างกระวนกระวาย มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?
จู่ๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ปรบมือขึ้นมาทันที “จริงสิ! ทำไมข้าถึงเพิ่งคิดได้ตอนนี้นะ?!” จากนั้นเขาหันมาทางโม่เทียนเกอ “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ทางการของประมุขคนนี้ ข้าก็จะมอบถ้ำเซียนใหม่ให้กับเจ้า! ซิวฉิน!”
ศิษย์ผู้หญิงที่รับใช้อยู่ข้างกายเขาตอบ “เจ้าค่ะ”
“พานางไปที่บ้านพักหมิงชิน!”
“เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์” ผู้ฝึกตนหญิงโค้งคำนับและพูดกับโม่เทียนเกอ “อาจารย์ลุงโม่ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”
“อ้อ” โม่เทียนเกอคำนับให้ปรมาจารย์จิ้งเหอและตามผู้ฝึกตนหญิงออกไปทางประตูข้าง
ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอเกือบจะเรียกได้ว่าตำหนักหลวงเลยก็ว่าได้ แต่จริงๆ มันแค่สร้างอยู่ในภูเขา มีหอ ห้องโถง และสวนอยู่นับไม่ถ้วน ข้าวของหายากและแปลกประหลาดมีอยู่ทุกที่ โม่เทียนเกอไม่เคยเห็นถ้ำเซียนที่งดงามและหรูหราเช่นนี้มาก่อน เพราะอย่างนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
ผู้ฝึกตนมีอยู่หลายประเภท มีประเภทที่ฝึกตนอย่างมุมานะ แต่ก็ยังมีคนที่สนุกกับชีวิตอย่างประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถ้าคนธรรมดาคนใดมาเห็นถ้ำเซียนแห่งนี้ พวกเขาคงคิดว่ามันคือแดนสวรรค์แน่นอน
พวกเขาผ่านประตูจันทราและเดินไปตามเฉลียงก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเลี้ยวและเข้าไปสู่สนามเล็กๆ และห่างไกล
สนามเล็กๆ นี้ถูกสร้างขึ้นมาแตกต่างจากที่อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ามันจะมีโครงสร้างแบบเดียวกัน บันไดทำจากหยกเหมือนกันและผนังก็ทำจากหิน แต่ทุกสิ่งภายในสนามล้วนเรียบง่าย ข้างในนั้นนอกจากเครื่องเรือนที่จำเป็นบางอย่างก็ไม่มีการตกแต่งที่แสนหรูหราเลยแม้แต่น้อย
ห้องเล็กห้าห้องเรียงกันเป็นแถบ สาวใช้นามว่าซิ่วฉินอธิบายทีละห้อง “อาจารย์ลุงโม่ ห้องตรงกลางคือห้องนั่งเล่น ท่านสามารถรับแขกของท่านที่นั่นได้ ห้องนี้สำหรับการฝึกตน ห้องนี้สำหรับปรุงยาวิเศษ ห้องนี้สำหรับขัดเกลาเครื่องมือ ส่วนห้องนี้คือที่พัก… นอกเหนือจากห้องพวกนี้ ถ้าท่านมีสัตว์วิเศษอะไรก็สามารถทำรังให้มันไว้ข้างนอกได้ สำหรับสวนสมุนไพร เดิมทีอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนปลูกไว้ แต่จากนี้ไปมันเป็นของท่านแล้วเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกออึ้งไปเมื่อนางได้ยินคำพูดคำหลังๆ ของนาง “ที่นี่คือบ้านพักของใครกัน”
สาวใช้ตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่คือบ้านพักสมัยเด็กของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเจ้าค่ะ หลังจากเขาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ท่านปรมาจารย์ก็ได้มอบถ้ำเซียนอีกแห่งให้กับเขา”
“…”
โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ มีบึงอยู่หน้าห้องขณะที่ด้านหลังเป็นสวนสมุนไพร แสงธรรมชาติก็มีมากพอดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้หินจันทรา
จากนั้นนางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น โต๊ะและเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีแบบเรียบง่ายถูกจัดวางติดผนัง นอกเหนือจากชุดน้ำชาบนโต๊ะก็ไม่มีอะไรในห้องนี้อีก ไม่มีแม้แต่ของสำหรับให้ความเพลิดเพลิน
ตอนแรกนางคิดว่าข้าวของคงถูกเอาออกไปโดยเจ้าของคนก่อน แต่หลังจากนางเดินไปที่ห้องฝึกตน นางก็เห็นชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือ หยกบันทึก และเอกสารต้นฉบับเก่าแบบอื่นๆ จัดเรียงไว้อยู่บนผนัง
ซิ่วฉินอธิบาย “เมื่อท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งย้ายออกไป เขาไม่ได้เอาของพวกนี้ไปกับเขาด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น… ตอนนี้เขาไม่อยากจะเอามันคืนไปหรือ?”
ซิ่วฉินลังเล “คือ… รอจนกว่าข้าจะถามท่านปรมาจารย์ก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ”
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากห้องฝึกตน พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งกำลังเดินมุ่งหน้ามาหา นางโค้งให้โม่เทียนเกอและพูดว่า “อาจารย์ลุงโม่ ท่านปรมาจารย์สั่งให้ข้ามาส่งข้อความนี้เจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “เชิญพูดมาได้”
สาวใช้กล่าว “ท่านปรมาจารย์กล่าวว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่นี่เป็นของอาจารย์ลุงโม่ รวมถึงข้าวของข้างในทั้งหมดด้วย ท่านไม่จำเป็นต้องขออนุญาตและใช้มันได้ตามต้องการ นอกจากนี้ หลังจากอาจารย์ลุงย้ายเข้ามา อาจารย์ลุงไม่จำเป็นต้องไปทำความเคารพท่านปรมาจารย์อีก อาจารย์ลุงแค่ต้องฝึกตนอย่างสงบเท่านั้น หากมีปัญหาอะไร ท่านปรมาจารย์สามารถเรียกอาจารย์ลุงให้ไปพบท่านได้เจ้าค่ะ”
ข้อความยาวเช่นนั้นสามารถสรุปได้ในสามคำ ดูแลตัวเอง โม่เทียนเกอไม่เคยคิดเพ้อฝันไปว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะเห็นค่านางมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบันไปเสียทั้งหมด นางเพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจ ฝากคำขอบคุณไปยังท่านปรมาจารย์ด้วย”
สาวใช้โค้งอีกครั้งแล้วจึงถอยออกไป
เมื่อนางเห็นทิศทางที่สาวใช้กำลังมุ่งหน้าไป ซิ่วฉินดูค่อนข้างอิจฉา อย่างไรก็ตาม นางยังคงยิ้มให้กับโม่เทียนเกอ “ยินดีด้วยนะเจ้าคะอาจารย์ลุง อาจารย์ลุงโส่วจิ้งทิ้งของดีหลายอย่างไว้ที่นี่ ตอนนี้มันเป็นของท่านแล้ว”
แทนที่จะตอบซิ่วฉิน โม่เทียนเกอกลับถามว่า “ข้าอยากเก็บของจากถ้ำเซียนเดิมของข้า ข้าออกไปได้ไหม?”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” ซิ่วฉินพูด “แต่สำหรับตอนนี้อาจารย์ลุงควรจะตามข้ามาก่อน เราทุกคนต้องผ่านถนนเส้นนี้ถ้าเราต้องการออกไป อาจารย์ลุงควรจำมันให้ได้ ท่านจะได้ไปด้วยตัวเองได้ในอนาคต”
หลังจากเลี้ยวและอ้อมหลายครั้ง ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกมาผ่านทางโถงด้านข้าง ซิ่วฉินพูดกับศิษย์ที่เฝ้าประตู “นี่คืออาจารย์ลุงโม่ นางจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่นี้ไป”
ศิษย์ที่เฝ้าประตูก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินที่ซิ่วฉินพูด เขาจึงไม่กล้าทำหยาบคายและรีบทักทายโม่เทียนเกอ “อาจารย์ลุงโม่”
พอถูกเรียกเช่นนี้เข้าหลายๆ วัน ตอนนี้โม่เทียนเกอก็ชินกับมันและไม่ตอบกลับไปอย่างประหม่าเหมือนที่นางทำตอนแรกๆ นางแค่พยักหน้าตามปกติและถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าข้าจะออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง”
ศิษย์เฝ้าประตูพูดตอบ “ในเมื่ออาจารย์ลุงพักอยู่ที่นี่ อาจารย์ลุงจะมาหรือไปก็ได้ตามสบายขอรับ”
“อืม” จากนั้นโม่เทียนเกอหันไปหาซิ่วฉินและพูดว่า “ข้าจะไปเก็บกวาดถ้ำของข้าก่อน เจ้าไม่ต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”
ซิ่วฉินโค้ง “เจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอออกจากถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอและมุ่งหน้าไปยังถ้ำเล็กๆ ที่เก่าของนาง
ขณะเดียวกันนั้น ภายในห้องโถงหลักของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าบอกว่าเส้นลมปราณของนางถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยเทพผู้ฝึกตนงั้นรึ?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
ฉินซีพยักหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดรวมกับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด… เด็กสาวคนนี้… ความสามารถของนางเทียบได้กับผู้ฝึกตนอัจฉริยะพวกนั้น! เราควรจะดีใจที่ข้ารับนางเข้ามาเป็นศิษย์ พอเวลาผ่านไป การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับนาง พอถึงตอนนั้น ยอดเขาวสันต์กระจ่างของเราก็จะมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มากกว่าสามคนแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะออกมาอย่างดัง แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าฉินซีไม่ได้ตอบอะไรเลยสักนิด เขาเลิกคิ้ว “อะไร? นี่มันไม่น่าดีใจหรือ?”
ฉินซีขยับตัวในที่สุด เขายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงมาก “ข้าขอตัวกลับก่อน”
คำตอบของเขาทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอประหลาดใจ “เดี๋ยวสิ! อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายอีกรึ?”
“มันหายตั้งนานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นสีหน้าตายซากของเจ้าหมายความว่าอะไร?”
“ไม่มีอะไร”
ไม่มีอะไรกะผีสิ! ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เชื่อเขา “ไอ้เด็กเหลือขอ! ตอนนี้เจ้าคงจะปีกกล้าขาแข็งมากแล้วล่ะสิ ใช่ไหม? เจ้ากล้าโกหกข้า! พูดมาตามตรง! เจ้าคิดอะไรอยู่?!”
“ข้า…” ฉินซีตอบอย่างหมดหนทาง “ผิดมากหรือที่ข้าอยากกลับไปฝึกตน?”
“ฝึกตนอีกแล้ว!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกน “เจ้าเพิ่งออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ! ยังเหลืออะไรให้ฝึกตนอีก!”
“ข้าแค่ต้องการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
อีกครั้งหนึ่งที่คำตอบของเขาทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอประหลาดใจ “ทำไมเจ้ากระหายอยากจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเจ้านัก? ไหนเจ้าบอกว่าเทพผู้ฝึกตนให้ของดีกับเจ้ามากมาย เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงไม่ต้องลำบากมากในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ไม่ใช่รึ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงใจร้อนขนาดนี้”
ฉินซีแสยะยิ้มและส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ “ของดี? เขาทำร้ายข้าเกือบตายก่อนที่จะให้ของดีกับข้า นี่ยังเป็นการมอบให้อีกงั้นเรอะ!? การรู้สึกไร้พลังต่อหน้าคนที่มีอำนาจอย่างเต็มกำลัง ข้าพนันเลยว่าท่านไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกเช่นนั้นหรอก จริงไหม?”
หลังจากพูดจบ เขาหันกลับและออกไป ทิ้งไว้เพียงแต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ตกตะลึงซึ่งกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง “ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจจริงๆ เสียด้วย”