บทที่ 1071 หลี่จิ่วเต้า ‘นางเซียนผู้นี้งดงามแล้วยังช่างเจรจา!’
บทที่ 1071 หลี่จิ่วเต้า ‘นางเซียนผู้นี้งดงามแล้วยังช่างเจรจา!’
“สวัสดีนางเซียน”
หลี่จิ่วเต้ายิ้มเล็กน้อย เรียกขานมู่อวี่ว่านางเซียน ไม่ใช่เพราะนอบน้อมเกรงใจ แต่เพราะมู่อวี่คือนางเซียนจริง ๆ
เห็นกับตาว่ามู่อวี่เหินมาจากอวกาศ ไม่ใช่นางเซียนแล้วจะเป็นสิ่งใดได้อีก ทะยานในจักรวาลได้ตามปรารถนา มู่อวี่ผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ
‘นางเซียน?’
ลั่วสุ่ยกระแนะกระแหนในใจ คุณชายเรียกขานมู่อวี่ว่า ‘นางเซียน’ เพราะต้องการเอ่ยชมความงามของมู่อวี่หรือ แม้ว่ามู่อวี่นั้นงดงามจริง ๆ สวยสุด ๆ ก็ตาม
นางมองจ้องมู่อวี่อย่างระมัดระวังระคนความอิจฉานิดหน่อย มีผู้อื่นมาแย่งคุณชายกับนางอีกแล้วหรือ
มู่อวี่ไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น
นางคลี่ยิ้มพลางเอ่ยชื่นชม “สหายเก่งกาจยิ่งนัก เพลงฉินระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นเสียงจากสรวงสวรรค์ ไพเราะวิเศษยิ่งนัก จนข้าอดไม่ได้อยากมาทำความรู้จักสหายสักครา”
“อ้อ เช่นนี้หมายความว่านางเซียนก็แตกฉานด้านฉินเช่นกันหรือ”
หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกาย สนอกสนใจขึ้นมา
“พอมีความรู้อยู่บ้าง” มู่อวี่พยักหน้า
ไม่ใช่ว่านางถ่อมตน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่จิ่วเต้า นางแค่มีความรู้อยู่บ้างจริง ๆ เพราะทักษะเพลงฉินของเขาเหนือกว่านางมากนัก!
ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทักษะเพลงฉินของพี่ชายเหนือกว่าหลี่จิ่วเต้าหรือไม่ เพราะในสายตาของนาง ทักษะเพลงฉินของหลี่จิ่วเต้าทัดเทียมพี่ชาย ยากจะตัดสินว่าผู้ใดเหนือกว่า
เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
คิดมาถึงนี่ นางก็อดทึ่งอยู่ในใจไม่ได้ หรือว่ามีบุคคลระดับเดียวกับพี่ชายอุบัติในดินแดนเก่าเป็นคนที่สองแล้วหรือ
‘ดินแดนเก่ามหัศจรรย์จริง ๆ มีบุคคลระดับสูงส่งอย่างพี่ชายแล้วคนหนึ่งไม่พอ ยังมีบุคคลระดับสูงส่งอย่างคนผู้นี้อีก!’
นางอุทานในใจ
ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้นางตัดสินใจว่าควรใช้ชีวิตในดินแดนเก่าต่อไป
นางเป็นเฉกเช่นปรมาจารย์ดินแดนใหม่ที่ฟื้นคืนชีพอย่างพวกจั่วเหยียน ชีวิตใหม่นี้ถือเป็นการกำเนิดใหม่อย่างเจิดจรัส เปลี่ยนแปลงถึงแก่นในทุก ๆ ด้าน!
เมื่อคราวนางกลับมามีชีวิตอีกครั้งก็ตระหนักได้ถึงความมหัศจรรย์ของดินแดนเก่า นึกอยากฝึกฝนในดินแดนเก่า
หากได้ฝึกฝนในดินแดนเก่า ย่อมบากบั่นไต่ระดับขึ้นไปได้อีกก้าว!
‘ศักยภาพของดินแดนใหม่สูงว่า แต่ดันเกิดปัญหาใหญ่…’
นางลอบถอนใจเมื่อนึกถึงดินแดนใหม่
ดินแดนใหม่คือพรมแดนแสนวิเศษที่พี่ชายสร้างขึ้นจากพื้นฐานของดินแดนเก่า หากไม่มีเรื่องใดผิดคาด ขีดจำกัดของดินแดนใหม่ย่อมต้องสูงกว่า
น่าเสียดาย ดินแดนใหม่ยังไม่บริบูรณ์ คราวพี่ชายยังอยู่ไม่ได้มีปัญหาอันใด แต่หลังพี่ชายไม่อยู่แล้ว ความด่างพร้อยต่าง ๆ จึงปะทุออกมากันหมด
“พี่ชายห่วงใยใต้หล้า เป็นกังวลแทนสิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนนับล้าน!”
ความใฝ่ฝันของพี่ชายคือสร้างพรมแดนซึ่งเหมาะแก่การฝึกฝนที่สุดให้ผู้ฝึกตน เพราะเหตุนี้ดินแดนใหม่ถึงอุบัติขั้น ถูกพี่ชายสร้างออกมา
ครานั้น พี่ชายเอ่ยบอกนางว่าดินแดนใหม่คือโลกในอุดมคติของพี่ชาย อนิจจา ดีเลิศเกินไปกลับไม่ตรงอุดมคติ
พี่ชายต้องการตามหาสิ่งที่ไม่ตรงตามอุดมคติออกมาเพื่อถ่วงดุลย์ น่าเสียดาย สิ่งที่ไม่ตรงตามอุดมคติไม่ได้พบเจอกันง่าย ๆ
เพราะอย่างนั้น พี่ชายถึงเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตดินแดนเก่าจำนวนหนึ่งไปยังดินแดนใหม่เพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่ตรงอุดมคติและถ่วงดุลย์
ก่อนหน้านั้นดินแดนใหม่ยังว่างเปล่า ปัญหาหลายอย่างยากจะสะท้อนออกมา เมื่อดินแดนใหม่ไม่ได้ว่างเปล่า มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยแล้ว ปัญหาที่ยากจะสะท้อนออกมาก็ค่อย ๆ เผยให้เห็น
พี่ชายคิดไม่ผิด
หลังจากสิ่งมีชีวิตดินแดนเก่ามายังดินแดนใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาก็เผยออกมามากมาย นางจำได้ดีว่าพี่ชายในเวลานั้นยุ่งเป็นพัลวัน คอยซ่อมแซมปัญหาต่าง ๆ ของดินแดนใหม่
กระทั่งอยากพบหน้าพี่ชายสักครายังยากเย็น
“มีความรู้อยู่บ้างนับว่าถ่อมตัวเกินไป มาสิ หากนางเซียนไม่รังเกียจ มาบรรเลงสักบทเพลงด้วยฉินของข้าเถิด”
เวลานั้นหลี่จิ่วเต้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาอยากฟังเพลงฉินของมู่อวี่ดู
หลังมู่อวี่ได้ยินคำกล่าวของหลี่จิ่วเต้าความคิดความอ่านก็กลับเข้าที่ คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ฉินของสหายเป็นหนึ่งในหมื่น วิเศษสูงส่ง สหายให้ข้าบรรเลงด้วยฉินเล่มนี้นับว่าเกินเอื้อมสำหรับข้าไป!”
นางไฉนเลยจะรังเกียจ ฉินเล่มนี้เทียบกับฉินของพี่ชายแล้วรังแต่จะทรงพลังกว่า ที่นางกล่าวมานั้นล้วนมาจากใจจริง
ทว่าหลี่จิ่วเต้าฟังแล้วกลับรู้สึกว่าที่มู่อวี่เอ่ยมาเป็นเพียงวาจาตามมารยาทเท่านั้น
ฉินอี๋อินเป็นเพียงฉินสามัญ ไม่ได้แลกมาจากบรรพจารย์ฝู ไฉนเลยจะเรียกได้ว่าหนึ่งในหมื่น สูงส่งวิเศษได้เล่า
เขานึกในใจ นางเซียนอย่างมู่อวี่ไม่เพียงแต่รูปงาม ซ้ำยังช่างเจรจามากด้วย
“ฉินธรรมดาสามัญเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่นางเซียนว่า”
เขาเอ่ยยิ้ม ๆ แต่ยังบอกความจริงออกไป เพราะไม่ใช่พวกชอบวางมาด กลับกันเขาซื่อตรงอย่างยิ่ง
ฉินธรรมดาสามัญ?
หมายความว่าอย่างไร?
ทั้งที่เป็นฉินวิเศษสูงส่ง เหตุใดต้องเอ่ยว่าธรรมดาสามัญด้วย
นัยน์ตาส่วนลึกของมู่อวี่ทอประกายแปลกใจ จดจำจุดพิลึกนี้ไว้
นางไม่ได้คาดคั้น
วาจาของผู้ยิ่งใหญ่ระดับหลี่จิ่วเต้าย่อมแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง หากคาดคั้นอย่างไม่รู้จักดูสถานการณ์ รังแต่จะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลี่จิ่วเต้าไม่พอใจ
ถึงแม้นางจะไม่ได้ต้องการประจบเอาใจผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลี่จิ่วเต้า แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลี่จิ่วเต้าไม่พอใจ
“มาเถิดแม่นาง ลองบรรเลงดู”
ชายหนุ่มลุกขึ้น ยกที่ให้มู่อวี่ได้นั่งบรรเลงฉิน
มู่อวี่พยักหน้า นั่งลงโดยไม่ได้อิดออด นิ้วเรียวยาวขาวผ่องวาววามประดุจรูปแกะสลักหยกวางอยู่บนฉินอี๋อิน
ชั่วขณะนั้น แม้แต่ตัวนางยังไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ความรู้สึกคุ้นเคยถึงผุดขึ้นในใจ
ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยนี้มาไวและไปไว แทบจะลมหายใจต่อมานางก็ไม่เหลือความรู้สึกนี้อีก
‘คงเพราะฉินเล่มนี้คล้ายกับฉินของพี่ชาย สูงส่งวิเศษเหมือน ๆ กัน ข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้กระมัง…’
มู่อวี่เอ่ยในใจ ไม่ได้คิดมากนัก นางมั่นใจว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นฉินอี๋อิน และไม่เคยแตะต้องฉินอี๋อินมาก่อน ไม่มีทางเกิดความคุ้นเคย
‘เกือบถูกจับได้แล้ว!’
ฉินอี๋อินคิดในใจอย่างตระหนก
มันสนิทกับมู่อวี่มาก ในอดีตมู่อวี่ดีดมันอยู่เป็นนิตย์ ยามสองมือของมู่อวี่วางบนตัวมัน มันจึงอดไม่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่คุ้นเคยต่อมู่อวี่ออกไป
ต่อมามันก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว สงวนพลังปราณทั้งหมดไม่ให้มู่อวี่จำได้
รูปลักษ์ของฉินในยามนี้ต่างจากที่มู่อวี่เคยสัมผัสในอดีตอย่างสิ้นเชิง รวมถึงรูปโฉมของคุณชายก็ด้วย นี่คือรูปโฉมคุณชายใน ‘ยุคนี้’ ไม่ใช่รูปโฉมดั้งเดิมของคุณชาย
นอกจากนี้ รวมถึงพู่กัน ธนูเซวียนหยวน และเครื่องใช้อื่น ๆ ของคุณชายก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์เดิม
‘นี่เป็นผลกระทบจากศึกนั้น หากยังเป็นดั่งเก่าต้องเกิดปัญหาใหญ่ ถูกจับตัวได้ง่ายแน่’
ฉินอี๋อินเอ่ยในใจ
หลังจบสงครามคราวนั้น ยอดศาสตราอย่างพวกมันผ่านอะไรมามาก ไม่ได้อยู่ในมือคุณชายตลอด พวกมันเพิ่งมาอยู่ในยุคนี้เท่านี้ ก่อนหน้านั้น ยอดศาสตราอย่างพวกนั้นพเนจรอยู่ที่อื่นมาตลอด
ด้วยเหตุนี้ ในดินแดนเก่าแห่งนี้ถึงมีตำนานเล่าขานถึงพวกมันนับคณา
ชื่อเรียกอย่างฉินอี๋อิน ธนูเซวียนหยวนก็ไม่ใช่นามอันแท้จริงของพวกมัน เป็นเพียงชื่อในประสบการณ์ช่วงหนึ่งของพวกมันเท่านั้น
‘อยากเปิดเผยตัวตนต่อมู่อวี่เหลือเกิน น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา…’
มันลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรเปิดเผยตัวตน มันไม่สามารถเปิดเผยความจริงทั้งหมด หาไม่แล้วต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่
แต่กระนั้นมันยังดีใจที่อย่างน้อยมันก็ได้พบมู่อวี่อีกครั้ง
ความรู้สึกคุ้นเคยหายไป มู่อวี่ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ตั้งสติและบรรเลงเพลงฉินอย่างจริงจัง
พี่ชายเคยบอกนางว่าไม่ว่ากระทำเรื่องใดล้วนต้องจดจ่อ ห้ามไม่ให้วอกแวกนึกถึงเรื่องอื่น หากเป็นเช่นนั้นไม่ว่าเรื่องใดคงไม่อาจทำได้ดี
เสียงฉินดังขึ้น สีหน้าหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นี่หรือพอมีความรู้อยู่บ้าง
นี่ควรเรียกว่ามีความรู้สุด ๆ ต่างหาก!
เขาสะท้อนใจ มู่อวี่ถ่อมตนเกินไปแล้ว ทักษะฉินระดับนี้ถือว่าเก่งกาจที่สุดในทุกคนที่เขาเคยพบ
ขณะเดียวกัน เซี่ยเหยียน หลิงอิน ต้นหลิว ก้อนหิน เสี่ยวหยา และต้าเต๋อพากันก้าวลงจากรถลากทั้งหมด
หลังพวกเขาก้าวออกมาก็ได้ยินเพลงฉินที่มู่อวี่บรรเลง พลันทึ่งกับทักษะของนางทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
แม้แต่ต้นหลิวก็ด้วย อุทานจากใจว่านอกจากคุณชาย มู่อวี่คือผู้ที่บรรเลงฉินได้ยอดเยี่ยมที่สุดที่มันเคยพบ!
‘ข้ายังต้องฝึกฝนมากกว่านี้!’
เสี่ยวหยาสะท้อนใจกว่าผู้ใด นางถูกคุณชายชมว่ามีพรสวรรค์ด้านฉินสูงที่สุด อีกทั้งก้าวหน้าในด้านฉินได้อย่างพุ่งทะยาน ยกระดับมหาศาล
ทว่าเมื่อเทียบกับมู่อวี่ยังห่างไกลอีกมาก ไม่อาจเทียบกันได้เลย
ก่อนนี้นางยังทะนงตัวอยู่บ้าง ทว่าบัดนี้นางไม่เหลือความทะนงแม้แต่น้อย รู้ดีว่านางยังต้องตั้งใจฝึกฝนต่อไป
‘เฮ้อ ใต้หล้านี้มีผู้เก่งกาจอยู่เสมอ!’
ความรู้สึกของหลิงอินนั้นซับซ้อน
นางเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล บำเพ็ญวิถีด้วยเสียงเพลง วิถีแห่งเสียงเป็นสิ่งที่นางภาคภูมิที่สุด
นางในครานั้นมุ่งมั่นเฉิดฉัน ประพันธ์ลำนำ ‘เซียนโบยบินในห้วงนภา’ ด้วยขอบเขตจ้าวสูงสุดไว้ด้วย
ต่อมา หลังได้พบคุณชายถึงรู้ว่าวิถีแห่งเสียงของนางหาได้สุดยอดไม่ ยังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่ต้องก้าวเดิน
มาตอนนี้ได้พบมู่อวี่ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในวิถีแห่งเสียงอีกตนที่เหนือชั้นกว่านางมาก ทำให้หวนนึกถึงเมื่อคราวนางอยู่ในยุคโบราณกาล มุ่งมั่นเฉิดฉัน ประกาศศักดาว่าไม่มีผู้ใดเหนือกว่านางในวิถีแห่งเสียงได้นึกถึงทีไรก็หน้าร้อนผ่าวทุกที
เวลานั้นนางอยู่ในก้นบ่ออย่างแท้จริง เพิ่งจะถึงไหนเองก็กล้าเอ่ยว่าไม่มีผู้ใดเหนือชั้นกว่านาง
อีกด้าน ใช่ว่าทุกคนออกมากันหมด ยังมีอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวในรถลากไม่ยอมออกมา
‘บัดซบ ซวยจริง ๆ! ก่อนนี้มีมารกู่ บัดนี้มู่อวี่มาอีกคน!’
เขาอยากร่ำไห้ คร่ำครวญในใจไม่หยุดอย่างน่าอนาถ กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นมักเกิดขึ้น เขาไม่อยากให้คนรู้จักรู้เรื่องที่เขากลายมาเป็นข้ารับใช้
ทว่าราวกับโชคชะตาชอบเล่นตลกกับเขา คนรู้จักโผล่มาหาเขาคนแล้วคนเล่า
ใช่แล้ว เขาก็คือจั่วเหยียน ปรมาจารย์ผู้หนึ่งจากดินแดนใหม่ คืนชีพในดินแดนเก่า มีตาหามีแววไม่มาหาเรื่องหลี่จิ่วเต้าจนถูกกำราบมาเป็นบ่าว
ไม่ใช่แค่หลี่จิ่วเต้าเท่านั้นที่เป็นเจ้านายของเขา คนข้างกายหลี่จิ่วเต้าล้วนเป็นเจ้านายเขาทั้งหมด เขาต้องปรนนิบัติทุกคน!
‘ระยำจริง ข้าช่างน่าเวทนานัก!’
เขาก่นด่าในใจ ชอกช้ำอย่างยิ่งยวด
ดูมู่อวี่สิได้รับการปฏิบัติเช่นไร หลี่จิ่วเต้าวางตัวกับนางอย่างมีมารยาท ซ้ำยังเรียกนางว่า ‘นางเซียน’ แล้วยังได้รับคำเชิญจากหลี่จิ่วเต้าให้บรรเลงฉินอันวิเศษถึงเพียงนั้น!
เขาเล่า?
ต้องมาเป็นข้ารับใช้ อนาถเหลือเกิน!
แม้แต่ฉินวิเศษยังรังเกียจเขา ไม่ยอมให้เขาเช็ดถู สั่งให้เขาไปให้พ้นหน้า!
บัดนี้มู่อวี่กลับได้บรรเลงฉินวิเศษอย่างง่ายดาย เขาช่าง…ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ ยิ่งคิดยิ่งตรอมตรม!
‘ได้อย่างไรกัน ทุกคนเป็นปรมาจารย์ดินแดนใหม่เหมือนกันหมดแท้ ๆ!’
เขาเอ่ยในใจอย่างเคียดแค้น ‘หรือเพราะมู่อวี่หน้าตามงดงาม? หากเป็นเช่นนี้ข้าก็ทำได้เหมือนกัน ข้าสามารถตอนตัวเองแล้วกลายเป็นสตรีอย่างแท้จริงได้เลย!’
บอกตามตรง หากเขาได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็อยากกลายเป็นสตรีสมบูรณ์นางหนึ่งเหมือนกัน!
‘บัดซบ เจ้าเด็กเหลือขอต้าเต๋ออย่าร้องหาข้าสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเชียว!’
เวลานั้น เขานึกถึงต้าเต๋อ ภาวนาในใจไม่หยุด
ต้าเต๋อถือเป็นคู่ปรับของเขาอย่างแท้จริง เขาเกรงกลัวต่อต้าเต๋อมาก!
เขากับมู่อวี่เป็นปรมาจารย์ดินแดนใหม่ทั้งคู่ ขืนออกไปมู่อวี่ต้องจำเขาได้แน่ เขาไม่ต้องการให้มู่อวี่เป็นสภาพเขาที่เป็นบ่าวรับใช้ เวลานี้จึงอยากซ่อนตัวอยู่เช่นนี้จนกว่ามู่อวี่จะกลับ
หากไม่มีต้าเต๋อ เขาไม่นึกวิตกแม้แต่น้อย ต้องซ่อนตัวจนกว่ามู่อวี่จะกลับไปได้แน่
ทว่าต้าเต๋ออยู่นี่ เขาไม่มั่นใจเลยจริง ๆ ต้าเต๋อไม่ได้ความสักนิด ราวกับต้องการข่มแต่เขาอย่างนั้น ทุกครั้งที่เขามีเรื่องที่ไม่ต้องการทำ ต้าเต๋อจะโผล่มาพอดีแล้วสั่งให้เขาไปทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ!
‘ขอร้องเถิดต้าเต๋อฝอ! ต้าเต๋อฝอผู้เปี่ยมเมตตา! ต้าเต๋อฝอผู้องอาจเกรียงไกร! ขอเพียงท่านหลงลืมข้าไปสักระยะก็พอ!’
เขาภาวนาในใจอย่างเปี่ยมศรัทธา วอนขอให้ต้าเต๋อไม่เอ่ยถึงเขายามมู่อวี่ยังอยู่ก็พอ!
ซ่อนตัวจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงนี้เป็นอันพอ!
บอกตามตรง นี่ก็เพราะสิ่งมีชีวิตดินแดนใหม่ไม่เห็นท่าทางเลื่อมใสศรัทธาของจั่วเหยียน หากได้เห็นพวกเขาต้องอึ้งจนกรามค้างแน่
ปรมาจารย์ดินแดนใหม่เชียวนะ ตัวตนระดับแสวงวิถี แม้กระทั่งวิถีสวรรค์ยังถูกเหยียบอยู่ใต้เท้า พวกเขาบงการสั่งการได้ทุกวิถี แล้วจะภาวนาเพื่อสิ่งใดเล่า?
นอกจากนี้ ภาวนาต่อผู้ใดกัน?
ผู้ฝึกตนทั่วไปภาวนาต่อวิถีสวรรค์ ระดับแสวงวิถีเหยียบวิถีสวรรค์ไว้ใต้เท้าแล้วยังต้องภาวนาต่อวิถีสวรรค์อีกหรือ
อย่าล้อเล่นหน่อยเลย คำภาวนาของปรมาจารย์ขอบเขตแสวงวิถี วิถีสวรรค์รับไม่ไหวแน่!
น่าเสียดาย คำภาวนาของจั่วเหยียนคล้ายว่าไม่ได้ผล เขายังภาวนาไม่จบก็ได้ยินเสียงจากต้าเต๋อ
“บ่าวจั่ว แขกคนสำคัญมา ยังไม่รีบออกมาคอยรับใช้อยู่ข้างเคียงอีก บ่าวจั่วคิดอู้หรือไร”
ต้าเต๋อบ่นอยู่ข้างนอก จั่วเหยียนผู้อยู่ข้างในได้ยิน
‘เวร! เขาคือคู่ปรับของข้าจริง ๆ!’
จั่วเหยียนน้ำตานอง ชาติก่อนเขาทำกรรมใดไว้ เหตุใดถึงต้องมาพบพานต้าเต๋อ
เขาภาวนาด้วยความศรัทธาไม่ให้ต้าเต๋อเรียกเขายามมู่อวี่ยังอยู่ ทว่าต้าเต๋อบัดซบผู้นี้กลับเรียกเขาขณะที่มู่อวี่ยังอยู่!
‘แกล้งตาย ซ่อนตัวไม่ต้องออก!’
เขาไม่ลังเล รีบทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ ปัดกวาดภายในรถลากไปทั่วแสร้งว่ากำลังพัลวัน ไม่ได้ยินเสียงเรียกของต้าเต๋อ
จั่วเหยียนไม่อยากให้คนรู้จักอย่างมู่อวี่เห็นภาพที่เขาตกเป็นข้ารับใช้จริง ๆ!