บทที่ 1013 บ่วงกรรมกำเนิดรูปร่าง หนนี้จบสิ้นแล้วจริง ๆ!
บทที่ 1013 บ่วงกรรมกำเนิดรูปร่าง หนนี้จบสิ้นแล้วจริง ๆ!
“พอเสียที เด็กสามขวบเท่านั้นที่จะติดกับเจ้า!”
เอ้อเมิ่งขำพรืด “หากเจ้าหาข้าพบจริง ข้าเรียกเจ้าว่าท่านพ่อยังได้!”
มันนั่งไขว่ห้างสบายใจอยู่บนหินก้อนหนึ่ง อย่างไม่เชื่อว่าต้นหลิวจะหามันพบ
ค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์เชียวนะ หนึ่งในสิบสุดยอดค่ายกลที่ท่านผู้นั้นสร้างขึ้น มันสลักออกมาอย่างไร้ที่ติ ทั้งยังใช้สมบัติลับระดับล้ำขีดมากมายเป็นบ่อกำเนิดพลัง ไฉนเลยจะถูกพบ ไม่มีทางเลย!
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเรียกได้เลย”
ต้นหลิวปริปาก “เจ้าคิดว่าข้าหลอกเจ้ารึ น่าขัน ข้ายังไม่ถึงขั้นต้องทำเช่นนั้น เจ้านั่งอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง ไขว่ห้างอยู่ใช่หรือไม่”
“บัด…ซบ!”
เอ้อเมิ่งตะลึง เด้งตังขึ้นจากหินยักษ์ คงไม่ใช่เรื่องจริงกระมัง ต้นหลิวมองเห็นมันได้จริงหรือ?
“หาตัวเจ้าง่ายเหมือนพลิกมือ! จุดที่เจ้าอยู่มีหินยักษ์เก้าก้อน ต้นไม้อับเฉาแปดต้นใช่หรือไม่”
ต้นหลิวกล่าว “ลูกข้า เรียกข้าสิ”
คราวนี้ เอ้อเมิ่งร้อนใจแล้วจริง ๆ
มันสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นตามที่ต้นหลิวว่า จุดที่มันอยู่มีหินยักษ์เก้าก้อน ต้นไม้อับเฉาแปดต้น!
เป็นไปได้อย่างไร?!
มันไม่อาจเชื่อได้ลง!
ต้นหลิวมองเห็นภาพภายในนี้จากข้างนอกได้อย่างไร
ค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ไม่ได้ผลสักนิดต่อหน้าต้นหลิวอย่างนั้นหรือ
เสี้ยวลมหายใจนั้น ใบหน้าของมันแดงก่ำด้วยความอาย
เพราะเมื่อครู่มันกล่าวว่าหากต้นหลิวเจอมันจริงมันจะยอมเรียกต้นหลิวว่าท่านพ่อ!
“เป็นอะไรไป ไม่รักษาวาจาหรือ”
ต้นหลิวหัวเราะ “เจ้ายอมทิ้งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ด้วย”
“เหลวไหล! ข้าหมายถึงเจ้าหาข้าเจอ ไม่ใช่มองเห็นข้า! เจ้าต้องหาข้าจนเจอ มาอยู่ต่อหน้าข้าถึงนับ!”
เอ้อเมิ่งกัดฟันเอ่ย
“ยากตรงไหน ข้าจะเข้าไปหาเจ้าเดี๋ยวนี้”
ต้นหลิวก้าวเท้าบุกเข้าไปในค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์
ก้านหลิวชะล้างผสานเป็นหนึ่งกับมัน มันมั่นใจเต็มเปี่ยม กล้าไปทุกที่
เมื่อเห็นต้นหลิวเข้ามาในค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์เอ้อเมิ่งพลันยินดีปรีดา
ต้นหลิวในยามนี้เต็มไปด้วยความพิศวง มันไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า ใครเล่าจะคิด ต้นหลิวกลับโอหังเกินควร ริอ่านบุกเข้ามาในค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์เช่นนี้!
มันดีใจมาก
“กล้าเข้ามาในค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ ข้าก็กล้าทำให้เจ้าไม่ได้กลับไปอีก!”
มันลงมืออย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ควบคุมค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์จู่โจมต้นหลิว
จากชื่อของค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ก็พอรู้ได้ว่าไม่ใช่ค่ายกลประสงค์ดีแต่อย่างใด ใช่แล้ว นี่คือมหาค่ายกลพิฆาต น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด แฝงไว้ด้วยพลังสังหารเกินจินตนาการ!
ตู้ม!
เอ้อเมิ่งควบคุมค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์จู่โจมยกแรก ชั่วขณะนั้น มหาสมุทรอสนีบาตไร้ที่สิ้นสุดปรากฏ สายฟ้ามหึมาขนาดเท่ามังกรยักษ์ฟาดผ่าออกไปมหาศาล สายฟ้าทุกสายสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตล้ำขีดขั้นสิบได้ง่ายดาย
ต้นหลิวไม่นึกเกรงกลัว ส่องแสงทั่วร่างเจิดจ้าแยงตา ฝ่าออกมาจากอัสนีอันนับไม่ถ้วนนั่น
มันผู้ประสานเป็นหนึ่งกับก้านหลิวชะล้างแล้วแกร่งกล้าน่าครั่นคร้ามตั้งไม่รู้เท่าใด แม้แต่มันเองยังไม่ทราบ
โฮกกก!
การโจมตียกที่สองตามมาติด ๆ อสูรโบราณโผล่ออกมานับคณา บุกไปสังหารต้นหลิว
สีหน้าต้นหลิวเย็นชา ดุดันองอาจ ปล่อยออกไปหมัดแล้วหมัดเล่า อสูรโบราณถูกมันเล่นงานจนแหลกเละตัวแล้วตัวเล่า จวบจนหายไปอย่างสิ้นเชิง!
“วิถีสลาย!”
เอ้อเมิ่งแผดเสียงเย็น จู่โจมอีกครั้ง
นี่คือการโจมตียกที่สามของค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ แฝงไว้ซึ่งพลังวิถีสลาย สามารถสลายพลังที่สิ่งมีชีวิตบำเพ็ญจนได้มา
ชั่วขณะนั้น พลังอันมองไม่เห็นครอบคลุมไปทางต้นหลิวอย่างรวดเร็ว กฎระเบียบพิเศษโลดแล่นพวยพุ่ง พลังกฎระเบียบกล้าแกร่งไหลเวียนหมายจะสลายการบำเพ็ญของต้นหลิว
ฟึ่บ!
ม่านแสงเจิดจ้าซัดสาดออกจากตัวต้นหลิว ลบล้างพลังจากวิถีสลายทันที พลังในตัวมันยังคงพลุ่งพล่าน ไม่ได้ถูกสลายไปแต่อย่างใด
“คุกจองจำ!”
เอ้อเมิ่งคำรามอีกครั้ง เริ่มการโจมตียกที่สี่ พลังมหาศาลร่วงหล่นลงมาในพริบตา กลายเป็นคุกกฎระเบียบ จองจำต้นหลิวไว้ภายใน
ทว่าใต้ปรมัตถ์ของต้นหลิว คุกกฎระเบียบนี้ถูกต้นหลิวอัดจนระเบิดในทันใด ไม่อาจกักขังต้นหลิวไว้ได้เลย
“ผิดธรรมชาติ…ยิ่งนัก!”
เอ้อเมิ่งสบถ หน้าเป็นสีขาวไม่สู้ดี
มันแทบไม่อาจเชื่อได้เลย เต็มไปด้วยความตะลึง
มันเคยประจักษ์ถึงพลังของต้นหลิวมาก่อน ขอบเขตล้ำขีดขั้นสิบเอ็ดนับว่าสุด ๆ แล้ว ไม่มีทางถึงล้ำขีดขั้นสิบสอง
แต่ตอนนี้ พลังที่ต้นหลิวสำแดงออกมาเหนือกว่าล้ำขีดขั้นสิบสองไปไกล!
มันไม่เชื่อว่านี่คือพลังอันแท้จริงของต้นหลิว ที่ต้นหลิวมีพลังขนาดนี้ย่อมได้รับมาจากหลี่จิ่วเต้าแน่นอน
มันสำนึกเสียใจเหลือแสน หากรู้อย่างนี้ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ควรไปยุ่งกับหลี่จิ่วเต้า บัดนี้สิดี มันอยากหนียังหนีไม่พ้น!
“ฆ่า!”
มันไม่คิดลังเล จู่โจมยกที่ห้า
บัดนี้ค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์คือไพ่ตายสุดท้ายของมัน มันจำต้องหวังพึ่งค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ เพราะหากมันออกจากค่ายกลนี้ก็จะยิ่งไม่ใช่คู่มือของต้นหลิว
ทว่าต้นหลิวแข็งแกร่งจนพิสดาร แข็งแกร่งจนเกินควร จู่โจมยกที่ห้าแล้วต้นหลิวยังไม่เป็นอันใด ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงน้อย
มันอยากร่ำไห้นัก เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
ต้นหลิวใกล้มันเข้ามาเรื่อย ๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อมันต้องตายในมือต้นหลิวแน่
“ไม่!”
มันส่งเสียงคำราม ไม่เต็มใจถูกต้นหลิวสังหารทั้งอย่างนี้ มันระเบิดพลังอย่างบ้าคลั่งก่อนจะถ่ายทอดเข้าไปในค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ อีกทั้งปลุกพลังของศาสตราระดับล้ำขีดทั้งหมด!
แต่เดิมการจู่โจมยกที่ห้าถือเป็นขีดจำกัดของมันแล้ว มันไม่อาจเริ่มการโจมตียกที่หกได้
แต่มันเจ็บใจนัก ไม่อยากถูกต้นหลิวปลิดชีพง่าย ๆ จึงเริ่มเร่งกำลังเอาเป็นเอาตาย ฝืนจู่โจมยกที่หก
คราวนี้ สถานการณ์พิเศษอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับการจู่โจมห้ายกก่อนแม้แต่น้อย
การจู่โจมยกที่หกสงบเหลือคณา หาได้มีคลื่นพลังสยดสยองแต่อย่างใด และมิได้มีภาพการณ์น่าสะพรึงปรากฏ ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ต้นหลิวกลับยิ่งให้ความสำคัญ
มันรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความเงียบงันก่อนพายุโหมเท่านั้น ทันทีที่ความสงบผ่านพ้น ต่อไปจะต้องมีการโจมตีสยดสยองน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวดปรากฏแน่นอน
ตามคาด ผ่านไปไม่นาน ภาพร่างหนึ่งค่อย ๆ ก่อร่างปรากฏในลมหายใจต่อมา
ภาพร่างนี้ดูไม่มีสิ่งใดพิเศษ ธรรมดาดาษดื่น และปราศจากพลังปราณน่าครั่นคร้าม ทว่าภาพร่างอันแสนสามัญนี้กลับสร้างความรู้สึกคุกคามแก่ต้นหลิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
มันรับรู้ถึงภยันตรายใหญ่หลวง!
เสียงดังฟึ่บ มันไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ภาพร่างอันธรรมดานี้ก็ปรี่เข้ามาประชิดตัว ต่อยกระแทกตัวมัน!
มันกระเด็นออกไปทันที มีรอยร้าวคืบคลานทั่วร่างอย่างรวดเร็วประดุจใยแมงมุม!
ตึง!
ต่อมา อีกครั้งที่มันตั้งตัวไม่ทันสักนิด ภาพร่างนั้นก็ปรี่เข้ามาเบื้องหน้ามันอีกครา ก่อนจะถีบเข้าที่ตัวมัน!
ชั่วพริบตานั้น ครึ่งร่างของมันแหลกลาญ!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ภาพร่างนั้นลงมือเฉียบขาดไม่ยืดเยื้อ ไม่เปิดโอกาสให้ต้นหลิวหายใจ บุกมาประชิดตัวต้นหลิวอีกครั้ง
อีกฝ่ายนั้นน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแท้จริง ทุกหมัดและลูกเตะแฝงไว้ด้วยพลังมหาศาล ต้นหลิวปัดป้องไม่หวาดไม่ไหว ถูกเล่นงานจนร่างกายแหลกเหลวอย่างสิ้นเชิง!
เอ้อเมิ่งเห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก
จู่โจมยกที่หกต่างหากคือการโจมตีอันน่ากลัวที่สุดของค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์ สามารถสะท้อนภาพร่างของร่างนั้นออกมา!
และนี่เห็นหนึ่งในสาเหตุที่ค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์เป็นหนึ่งในสิบค่ายกลแข็งแกร่งที่สุด!
สิบค่ายกลใหญ่ล้วนสะท้อนภาพร่างท่านผู้นั้นออกมาต่อสู้ได้ เพียงแต่ภาพร่างที่สะท้อนออกมาทรงพลังไม่เท่ากัน
ค่ายกลขุนพลฮุ่นหยวนสรรพเคราะห์อยู่ในอันดับสิบ และเป็นหนึ่งในสิบค่ายกลใหญ่เพียงอย่างเดียวที่มันกางได้ ภาพร่างสะท้อนของท่านผู้นั้นจึงอ่อนพลังที่สุด
ทว่าแม้จะอ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นภาพร่างของท่านผู้นั้น แฝงไว้ด้วยพลังเกินจินตนาการ!
ต้นหลิวถูกทำร้ายจนแหลกลาญไปทั้งร่าง กลายเป็นหมอกเลือดมวลหนึ่ง ร่างนั้นยังไม่ยอมหยุดมือ ต่อยกระแทกหมอกเลือดอีกครั้งหมายจะสังหารต้นหลิวลงอย่างสิ้นเชิง ลบล้างร่องรอยทุกอย่างของต้นหลิว
ทว่าเวลานั้นเอง หมัดที่ภาพร่างนั้นที่ต่อยกระแทกหมอกเลือดถูกหยุดยั้ง!
ท่ามกลางหมอกเลือด มือข้างหนึ่งปรากฏฉับพลัน กำหมัดของภาพร่างนั้นไว้
หมอกเลือดที่แผ่กระจายรวมตัวอย่างรวดเร็ว ต้นหลิวปรากฏกายอีกครั้ง!
เสียงดังตึง มันเตะด้านข้างใส่ภาพร่างนั้นจนกระเด็น!
ก้านหลิวชะล้างมอบพลังที่แกร่งกล้ายิ่งขึ้นแก่ต้นหลิว!
ตู้ม!
ภาพร่างนั้นไม่สู้ประชิดตัวอีก สำแดงวิชาลับออกมานานัปการ น่ากลัวชวนให้หวาดหวั่นเหลือคณา ทุกสิ่งทุกอย่างแหลกเหลวจนสิ้น!
“ฆ่า!”
ต้นหลิว ‘ตู้ม!’ ได้เกรงกลัว บุกไปข้างหน้าทันที
มันสำแดงมวยไทเก๊ก ทลายสรรพางค์วิชาด้วยหนึ่งหมัด ดุดันมหัศจรรย์ถึงขีดสุด!
ภาพร่างนั้นถอยกรูดด้วยสู้ต้นหลิวไม่ได้ ลงท้ายก็ระเบิดเสียงดังตู้มอย่างไม่เหลือซากด้วยมวยไทเก๊กของต้นหลิว!
“สิ่งใดหรือคือมายา สิ่งใดหรือคือความจริง ข้าหาได้สนใจในความจริงเท็จ ข้าสนใจเพียงท่านผู้นั้น…ที่ข้าเฝ้าพิสูจน์ความจริงเท็จเพียงเพราะต้องการยืนยันว่าท่านผู้นั้นดำรงตนอยู่จริง ข้าต้องการตามหาท่านผู้นั้น!”
ร่างนั้นถูกอัดจนแหลกสลาย แต่กลับมีเสียงดังออกมา นี่คือความคิดความอ่านของผู้เบิกทางท่านนั้นหรือ
เสียงดังพรวด เอ้อเมิ่งกระอักเลือดคำใหญ่ ได้รับแรงกระเทือนมหาศาล ร่างของมันแทบระเบิด การที่ภาพร่างนั้นแหลกเหลวส่งผลกระทบต่อมันอย่างแสนสาหัส
“ข้าไม่ได้พิสมัยให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อ ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่ต้องการลูกเนรคุณเช่นเจ้า!”
ต้นหลิวก้าวเข้าไปปลิดชีพเอ้อเมิ่งอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดไปมากกว่านั้น
นี่คือผู้ที่คุณชายต้องการฆ่า ไม่มีทางรอดออกไปแน่!
พลันก้านหลิวชะล้างพุ่งออกจากตัวมันก่อนจะโรยตัวอยู่ในฝ่ามือ
“กลับไปรายงานคุณชาย”
มันไปจากที่นี่
คราวนี้ มันไม่ต้องกังวลว่าจะมีสำนึกแห่งโรคติดตามมาอีก มีก้านหลิวชะล้างอยู่ ย่อมไม่มีสำนึกแห่งโรคใดสามารถติดตามมันมาได้อีก
จะว่าไป เอ้อเมิ่งผู้นี้ก็สมควรตายแล้ว
คุณชายเคยให้โอกาสเอ้อเมิ่ง อนิจจา เอ้อเมิ่งไม่รู้จักถนอม
“คุณชายเก่งกาจปานใด ไฉนเลยจะไม่รู้ภูมิหลังของเอ้อเมิ่ง แต่ที่คุณชายพาเอ้อเมิ่งกลับมาทั้งที่รู้ภูมิหลังของมันบ่งบอกว่าคุณชายอยากให้โอกาสเอ้อเมิ่งสักครา”
ต้นหลิวกล่าว “ประโยคคุณชายที่ว่า ‘ข้าหวังให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ยากเช่นนั้นเลยหรือ’ เป็นข้อบ่งชี้ที่ดีที่สุด”
ซ้ำคุณชายยังให้เอ้อเมิ่งเข้าไปในรถลาก สรรพสิ่งในรถลากมหัศจรรย์เพียงใด เห็นได้ชัดว่าคุณชายต้องการให้เอ้อเมิ่งยอมถอดใจหลังตระหนักถึงความยากเย็น
หารู้ไม่ เอ้อเมิ่งไม่เพียงแต่ไม่ถอดใจ ซ้ำร้ายยังลงมือต่อ นับว่าทำตัวเองสมควรตายโดยแท้
ไม่นานนักมันก็กลับไปถึงด้านคุณชาย กล่าวรายงานคุณชาย “โชคดีที่ทำตามบัญชาได้ ข้าจัดการเจ้านั่นเรียบร้อยแล้ว”
“อืม จัดการไปแล้วก็ดี”
หลี่จิ่วเต้าพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “การแก่งแย่งชิงดีในใต้หล้านี้น้อยลงหน่อยไม่ดีหรือ ทำไมจะต้องช่วงชิงกันไปมาด้วย…”
ยังดีที่เขามีวาสนาผูกบุญไว้กับบรรพจารย์ฝู มียอดศาสตราจำนวนหนึ่งในมือ มิฉะนั้น มันคงยากจะมีที่ยืนในโลกแห่งการฝึกตน
‘จะว่าไป ไม่รู้ว่าช่วงนี้บรรพจารย์ฝูทำอะไรอยู่’
เขานึกถึงบรรพจารย์ฝูขึ้นมา ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น บัดนี้พำนักอยู่ที่ใด ทำอะไรอยู่ บำเพ็ญเพียรในแดนฝึกตนอยู่หรือ
…
ดินแดนฮวง
ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา บนเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ที่นี่มีหลุมศพอยู่หนึ่งหลุม ดูแล้วไม่ได้อยู่มานานเท่าใด กระนั้นก็น่าจะมีมาหลายปีแล้ว และมีป้ายหลุมศพไร้อักษรอยู่ป้ายหนึ่ง
แคร่ก!
เวลานั้นเอง เสียงแตกหักดังออกมาจากหลุมศพ โลงศพด้านในถูกทำลาย ใครบางคนคลานออกมาจากหลุมศพ
“ฝังตัวเองไว้ตั้งนาน บ่วงกรรมเหล่านั้นคงผ่านพ้นไปแล้วกระมัง”
คนผู้นั้นชะโงกหัว สอดส่ายสายตาไปซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่ารอบข้างสงบปราศจากอันตรายก็โล่งอก ก้าวออกมาจากหลุมศพ
ใช่แล้ว เขาก็คือบรรพจารย์ฝู เนื่องจากมีพลังบ่วงกรรมยิ่งใหญ่ไม่ทราบที่มาจุติลงบนตัวเขา เขาหวาดหวั่นจนต้องฝังตัวเองไว้ภายในหลุมศพ
“ไม่เป็นไรแล้วจริงด้วย ไม่รู้สึกถึงบ่วงกรรมอันใด คิดแล้วบ่วงกรรมนั้นคงดำรงอยู่เพียงวูบเดียว จุติบนตัวข้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น!”
เขาปีติยินดี เตะหลุมศพที่เขาตั้งขึ้นเองจนกระจาย
“สิ่งแวดล้อมในปฐพีนี้พลิกผัน สสารระดับสูงมากมายพวยพุ่งไม่หยุด ข้าซ่อนตัวอยู่ตั้งนาน ได้เวลาออกไปผจญภัยแล้ว!”
เขาหัวเราะร่วนเอ่ยอย่างเบิกบานใจ “มหาสมุทรกว้างใหญ่ตามแต่ปลาจะว่ายวน ผืนนภาไพศาลตามแต่วิหคจะโบยบิน โลกอันหฤหรรษ์ข้างนอกนั่น ต้อนรับการมาเยือนของข้าเสียเถิด!”
ทว่าเวลานั้นเอง เสียงกัมปนาทดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้า
บรรพจารย์ฝูเห็นลำแสงมากมายจุติลงมาใส่เขา
“นี่มัน…ไม่จบไม่สิ้นเลยหรือ!”
เดิมเขาคิดว่าบ่วงกรรมที่จุติลงตัวเขาปรากฏเพียงวูบเดียว เป็นสภาพการณ์บังเอิญ ทว่าความจริงหาใช่เช่นนั้น
เขามีเอี่ยวกับบ่วงกรรมใหญ่จริง ๆ ซ้ำยังไม่ใช่การปรากฏเพียงวูบเดียวโดยบังเอิญ!
บ่วงกรรมนั้นมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ทว่าเวลานี้ บ่วงกรรมเหล่านี้กลับกำเนิดรูปร่าง กลายเป็นสิ่งมีลักษณาการ ฟาดผ่าตัวเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
นั่นบ่งบอกว่าเป็นบ่วงกรรมที่ว่าสยดสยองเหลือแสน!
“จบเห่แล้ว! ข้าตายแน่!”
ใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่เหลือความหวังในใจ เขาคืนสภาพหลุมศพที่ถูกเตะกระจาย แล้วมุดเข้าไปในโลงศพ ฝังร่างตนเองอีกครั้ง
“อยู่รอความตายต่อไปเถิด…”
เขาไม่เหลือความหวังใดอีก เตรียมตัวรอความตายอยู่ในโลงศพ