ตอนที่ 593 แซ่หนิวผิดหวังจริงๆ!
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? นางไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่ามีคนแพร่งพรายข่าวออกไปล่วงหน้า?
เรื่องที่นางกังวลในตอนนี้คือในเมื่อหนิวโหย่วเต้ารู้เรื่องแล้ว เขายังจะอยู่ในคฤหาสน์อีกหรือ? จะเข้าไปซ่อนตัวในภูเขาแล้วหรือเปล่า?
แต่นางไม่อาจสั่งให้ถอนกำลังได้ หากหอบุปผาล่องของนางล่าถอยกลางคันโดยที่ไม่มีคำสั่งจากก่าเหมี่ยวสุ่ย ผลลัพธ์ที่จะตามมามิใช่สิ่งที่หอบุปผาล่องจะแบกรับไหว
นางทำได้เพียงกัดฟันมุ่งหน้าต่อไป โคจรพลังขยายเสียงให้ดังขึ้น “รีบบุกเข้าไป!”
ซูเจี๋ยเหรินที่ยืนอยู่บนยอดเขามองศัตรูที่บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว คำนวณระยะห่างสำหรับยิงศรเอาไว้แล้ว รอจนกำหนดระยะที่เหมาะสมได้แล้ว เขาจึงตวัดกระบี่ในมืออีกครั้ง ใช้การประเมินด้วยสายตาล่วงหน้าแล้วออกคำสั่งโจมตี
ความเร็วในการโจมตี เร็วไปก็ไม่ได้ ช้าไปก็ไม่ดี มีเพียงแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนถึงจะมีความชำนาญในการออกคำสั่งในรูปแบบนี้
พลธงที่ยืนอยู่ด้านข้างโบกธงสัญญาณในมือทันที
‘ตึงๆๆๆๆ…” กลองรบที่อยู่ด้านล่างถูกตีดังลั่นขึ้นมาทันที แนวป้องกันที่ตั้งรายล้อมคฤหาสน์กระท่อมฟางมีเสียงกลองรบแว่วดังขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน
เมื่อได้ยินสัญญาณกลอง นายกองของหน่วยป้องกันแต่ละกลุ่มที่อยู่ด้านล่างต่างชักกระบี่ออกจากฝัก คมกระบี่ชี้ออกเบื้องหน้า ตะเบ็งเสียงตะโกนสั่ง “ยิง!”
ขบวนพลธนูยิงศรขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง สายธนูดีดตัวดังผึ่ง พร้อมกับมีเสียงธนูพุ่งแหวกอากาศดังฟ้าวๆ อย่างต่อเนื่อง เสียงยิงฝ่าอากาที่ดังขึ้นพร้อมกันฟังแล้วน่าตกใจนัก เงาดำแน่นขนัดพุ่งผ่าอากาศเข้ามา ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นภาพที่ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ท่ามกลางเสียงดังตึงๆ พลทหารเหวี่ยงค้อนไม้ออกแรงทุบลงไปบนสปริงของหน้าไม้กล เสียงผึ่งๆ ดังขึ้นมา หน้าไม้กลแต่ละคันยิงหอกเหล็กกล้าห้าเล่มออกไปในคราวเดียว
หอกเหล็กกล้าที่พุ่งตัวออกจากหน้าไม้กลซึ่งตั้งเรียงแถวกันพุ่งแหวกอากาศออกไปไกล ทรงพลังดั่งจะสะเทือนเขาเขย่าสมุทรได้
เพื่อการป้องกันในครั้งนี้ หยวนกังได้นำคันศรและธนูทั้งหมดที่เก็บสะสมเอาไว้ที่นี่ออกมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นนักธนูมืออาชีพหรือไม่ ขอเพียงยิงธนูเป็นก็ใช้ได้แล้ว
การตั้งกระบวนทัพยิงธนูที่ใหญ่โตขนาดนี้ไม่ได้เน้นเรื่องความแม่นยำในการโจมตี ขอเพียงยิงออกไปในทิศทางเดียวกันตามที่ได้รับคำสั่งก็ใช้ได้แล้ว
ไพร่พลหลายหมื่นนายแทบจะถูกหยวนกังเปลี่ยนให้กลายเป็นมือธนูไปหมดแล้ว เนื่องจากเขาทราบชัดเจนดีว่าทัพใหญ่ของราชสำนักไม่มีทางบุกเข้าสู่หนานโจวโดยไม่ถูกพบเห็นได้ ผู้ที่บุกเข้ามาโจมตีจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถในการลัดเลาะฝ่าป่าเขาเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงอย่างแน่นอน หากต่อสู้กันในระยะประชิด กองทัพของฝั่งนี้ไม่มีทางต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากได้ มีเพียงการใช้ธนูโจมตีในระยะไกลเท่านั้นถึงจะเป็นฝ่ายครอบครองความได้เปรียบ
ลูกศรพุ่งตัวออกไปดังฟ้าวๆ เนืองแน่นปานสายพิรุณ โถมทับเข้ามาจากบนอากาศ
ความเร็วของลูกศรประกอบกับการเร่งความเร็วของทั้งขบวนทัพ ทรงพลังจนกลายเป็นการโจมตีต่อเนื่องไม่ขาดสาย เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เหินทะยานอยู่พลันโกลหลวุ่นวายขึ้นมา
บางคนฟาดฟันกระบี่สกัดต้าน บางคนซัดฝ่ามือออกไป บางคนโคจรพลังปราณคุ้มกายเพื่อต้านไว้ แต่เมื่อต้องโคจรพลังปราณป้องกันกลางอากาศก็ทำให้ไม่สามารถรวบรวมปราณเพื่อเหินทะยานได้อีก
ภายในกองทัพป้องกัน หลังจากพลธนูชุดแรกยิงศรออกไปหมดแล้วก็รีบย่อเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ยกศรขึ้นสายอีกครั้ง
“ยิง!” นายกองตะโกนสั่ง
พลธนูที่อยู่ในแถวหลังรีบปล่อยศรออกไปในทันที หลังยิงเสร็จก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นโดยเร็ว ยกศรขึ้นสายต่อ
“ยิง!” นายกองออกคำสั่งอีกครั้ง
พลธนูที่อยู่ในแถวสุดท้ายยิงห่าศรออกไปอีกครั้ง
ในเวลานี้เอง พลธนูที่อยู่ในแถวหน้าสุดของขบวนลุกขึ้นยืนน้าวสายหน้าไม้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พลธนูที่อยู่ในแถวถัดมาก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ห่าศรพุ่งตัวออกไปดั่งคลื่นพายุโหมกระหน่ำอีกครั้ง สามระลอกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ลุกๆ นั่งๆ สลับกันยิงอย่างต่อเนื่อง รักษาจังหวะในการโจมตีไม่ให้ขาดช่วง ไม่ให้โอกาสฝ่ายศัตรูที่บุกเข้ามาได้พักหายใจ
ท่ามกลางห่าศรที่ถาโถมเข้ามาใส่ไม่ขาดสาย ผู้บำเพ็ญเพียรของหอบุปผาล่องที่บุกเข้ามาไม่อาจรวบรวมพลังปราณเหินทะยานได้อีกต่อไป เมื่อถูกห่าศรโถมเข้าใส่ก็ทำได้เพียงวิ่งหนีอุตลุดอยู่บนพื้น ซ้ำยังต้องคอยหลบหลีกโยกซ้ายโยกขวาไปด้วย
ปราณคุ้มกายไม่สามารถต้านทานห่าศรที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องได้ มีคนถูกยิงจนล้มลงกับพื้นเพิ่มไม่ขาดสาย
ผู้บำเพ็ญเพียรแสนองอาจกลับถูกคนธรรมดาที่เปรียบเสมือนมดปลวกยิงศรโจมตีจนตาย ไม่ทราบว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่มองจนตาแทบแตกแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือหอกเหล็กที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้าเหล่านั้น แฝงพลังทะลุทะลวงไว้มหาศาลมากจริงๆ ปราณคุ้มกายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานอาจจะพอป้องกันแรงโจมตีได้ แต่กลับไม่สามารถป้องกันพลังทะลุทะลวงของหอกเหล็กได้เลย
“เจ้าสำนัก ฝืนบุกต่อไปแบบนี้ไม่ได้การแล้วขอรับ! หากบุกต่อไป หอบุปผาล่องของพวกเราจะต้องประสบความเสียหายอย่างหนักแน่ ถอยเถอะขอรับ!”
ท่ามกลางเสียงโจมตีดังวุ่นวาย ผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอบุปผาล่องตะโกนขึ้นมา ในขณะที่ตะโกนอยู่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกหอกเหล็กเล่มหนึ่งที่พุ่งมาจากด้านบนเสียบทะลุอก ตัวคนเซถอยหลังไป แต่ก็ยังไม่ล้มลง เพราะถูกหอกเหล็กที่เสียบทะลุอกค้ำเอาไว้
พรวด! หอกเหล็กอีกเล่มเสียบทะลุร่างของเขา ร่างเขาชักกระตุกพลางกระอักโลหิต จากนั้นก็ถูกห่าธนูที่พุ่งเข้ามาปักร่างจนกลายเป็นเม่นไปในทันที
บนพื้นเต็มไปด้วยลูกศรปักแน่นเรียงรายดั่งดงหนาม
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่เห็นเหตุการณ์กับตาตนตะโกนเสียงเศร้า “ผู้อาวุโสเซี่ย!”
“เจ้าสำนักระวังขอรับ!” ศิษย์หลายคนของหอบุปผาล่องพุ่งเข้ามาคุ้มกัน ช่วยสกัดต้านห่าศรและหอกเหล็กให้แก่นาง มีศิษย์สองคนถูกยิงล้มลงกับพื้น ร้องโหยหวนออกมา
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่มองจนสองตาแทบหลุดจากเบ้ายื่นมือไปดึงหอกเหล็กเล่มหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เงื้อแขนแล้วขว้างย้อนกลับไป ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ยอดฝีมือของสำนักจงทุ่มพลังทั้งหมดบุกเข้าไป ทำลายทัพธนูของอีกฝ่ายให้ได้!”
แววตาของเฟ่ยฉางหลิวที่สังเกตการต่อสู้อยู่บนยอดเขาวูบไหว เอ่ยถามเนิบๆ “นี่เต้าเหยี่ยคิดจะเข้าปะทะซึ่งหน้าหรือ?”
หยวนกังถือดาบสามคำรามไว้ สีหน้าราบเรียบไม่ปริปาก แต่ในใจกลับทราบชัดเจนดี ครั้งนี้เต้าเหยี่ยต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เข้าปะทะกับราชสำนักตรงๆ สักครั้ง มิเช่นนั้นเต้าเหยี่ยคงหลบหนีไปแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะเฝ้ารอให้ราชสำนักเข้ามาโจมตีได้
ซูเจี๋ยเหรินผู้รับหน้าที่บัญชาการทัพยกยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน ผู้บำเพ็ญเพียรที่บุกเข้ามาเบื้องหน้าอ่อนแอกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ มีฝีมือดีปานนี้แต่กลับแสดงอานุภาพออกมาไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าจะต้องตั้งขบวนจู่โจมอย่างไร ไม่มีแนวป้องกันกำบังก็กล้าบุกดุ่มๆ เข้ามาโจมตี ไม่รู้เลยว่าอะไรคือแนวป้องกันหลักอะไรคือแนวป้องกันรอง เอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วอย่างไร้แบบแผน ผลาญพรสวรรค์ไปเสียเปล่าๆ!
เขามั่นใจว่าหากเปลี่ยนเป็นเขาไปบัญชาการผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถทำลายแนวป้องกันของทางนี้ได้แล้ว
หากเขานำแนวคิดนี้ไปแจ้งกับเฟ่ยฉางหลิวว่าต่อไปให้ศิษย์ของสำนักเซียนสถิตเข้าฝึกเรียนรู้การตั้งขบวนรุกถอยโดยใช้โล่กำบัง ไม่รู้ว่าเฟ่ยฉางหลิวจะคิดเห็นเช่นไร
การได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรของหอบุปผาล่องถูกโจมตีจากห่าธนูจนล้มตายไปเป็นจำนวนมากได้สร้างความรู้สึกสะเทือนขวัญที่ยากจะลบเลือนได้แก่เหล่าศิษย์สำนักเซียนสถิต!
กลุ่มมดปลวกของทางนี้ที่พวกเขาเคยดูถูกเหยียดหยาม พอรวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประกอบกับมีเครื่องมือเสริมกำลังก็สามารถสำแดงแสนยานุภาพในการโจมตีที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้ออกมาได้ สังหารกวาดล้างผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงส่งองอาจได้!
ตอนแรกที่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมากมายปานนี้บุกเข้ามา ศิษย์ของสำนักเซียนสถิตยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ภายในใจตื่นตระหนกอยู่รางๆ ยามนี้หลังจากได้เห็นประสิทธิภาพในการโจมตีของทางนี้ จิตใจก็สงบมั่นคงขึ้น อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หวาดกลัวถึงขนาดนั้นแล้ว
หน้าไม้กลคอยผลัดกันโจมตี มีธนูคอยยิงเสริมทัพจากแนวหลัง
สายหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกค้อนตอกดีดตัวสั่นไหวจนเกิดเสียงดังหวึ่งๆ แรงดีดตัวของสายหน้าไม้นั้นเหล่าพลทหารไม่กล้าเข้าไปสัมผัสเลย ต่อให้เป็นหนังหมูด้านหนาก็ยังถูกสายหน้าไม้ที่สั่นสะเทือนนี้ขูดเอาหนังออกไปได้
พลทหารใช้ท่อนไม้ในการหยุดสายหน้าไม้ที่สั่นสะเทือน จากนั้นก็ขึ้นสายใหม่ ศิษย์ของสำนักเซียนสถิตที่อยู่ด้านข้างโคจรพลังเข้าช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว เร่งความเร็วในการบรรจุหอกเหล็กให้เต็มอัตรา
เมื่อมีศัตรูบุกเข้ามาในระยะประชิด จะมีพลทหารสองนายแบกคานตั้งหน้าไม้กลขึ้นบ่า จากนั้นก็มีคนเข้าไปดึงไม้ค้ำท่อนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างออก ลดองศาการยิงให้ต่ำลง ปรับเปลี่ยนระยะโจมตี
บนวิหคยักษ์ตัวหนึ่ง ก่าเหมี่ยวสุ่ยและเกาเซ่าหมิงมองขบวนโจมตีด้านล่างที่ถูกสกัดขวางไว้ ฉากล้มตายอันน่าอนาถนั้นทำให้สีหน้าของทั้งสองมืดมนลง การบุกโจมตีกะทันหันที่ราชสำนักหมายมั่นปั้นมือไว้ไฉนจึงกลายเป็นช่นนี้ไปได้? ในกองทัพนับหมื่นที่ประจำการอยู่ทางนี้ก็มีสายข่าวของราชสำนักปะปนอยู่เช่นกัน แนวป้องกันที่แน่นหนาขนาดนี้ ไหนเลยจะใช้สิ่งที่ตั้งขึ้นมาในระยะสั้นๆ ได้ เหตุใดราชสำนักจึงไม่ได้รับแจ้งข่าวสารใดๆ ล่วงหน้าเลย?
ไม่ใช่เพราะปวดใจกับการตายของศิษย์จากหอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่าง หากแต่เป็นเพราะเห็นได้ชัดว่าทางคฤหาสน์กระท่อมฟางเตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว ทั้งสองไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะยังอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่
คนในคฤหาสน์กระท่อมฟางมองไม่เห็นสถานการณ์ทางด้านนอกเลย ถูกทิวเขารอบข้างบดบังสายตาไว้
ยามที่มีเสียงแตรเขาวัวแว่วดังขึ้นรอบทิศ กลุ่มคนบนหอสูงต่างมีสีหน้าตั้งใจฟัง กระทั่งได้ยินเสียงกลองรบดังขึ้นเป็นระลอก หวงเลี่ยพลันหันไปถามหนิวโหย่วเต้า “น้องหนิว เสียงครึกโครมนี่มันเรื่องอะไรกัน ไฉนข้าฟังแล้วคล้ายจะเป็นเสียงลั่นกลองออกศึกเลยเล่า?”
“มีศัตรูบุกโจมตี!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเย็นชา
หวงเลี่ยแปลกใจ “มีศัตรูบุกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “เดิมทีข้าไม่เชื่อในข่าวลือที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เลย สำนักเขามหายานจะรวมหัวกับราชสำนักเพื่อสังหารข้าได้อย่างไร? แต่ตัวข้าเป็นคนกลัวตาย จะมากหรือน้อยก็ต้องเตรียมการป้องกันไว้สักหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะมีศัตรูบุกเข้ามาจริงๆ เดิมทีข้าปฏิบัติด้วยใจจริง น่าเสียดายที่ความจริงใจของข้ากลับถูกมองข้าม แซ่หนิวผิดหวังจริงๆ!”
ในวาจาก็แฝงความเย็นชาไร้เยื่อใยไว้เช่นกัน
ซางซูชิงมองไปทางพวกหวงเลี่ยด้วยความสงสัยคลางแคลง
ชายในชุดลายดอกก็เหลือบมองด้วยแววตาเย็นชา
มุมปากก่วนฟางอี๋ยกขึ้นเล็กน้อย เต้าเหยี่ยทราบดีอยู่แก่ใจ เรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสำนักเขามหายานเลย แล้วเหตุใดต้องสาดน้ำครำป้ายสีสำนักเขามหายานด้วย หรือว่าคิดจะฉวยโอกาสนี้กำจัดผู้อาวุโสของสำนักเขามหายานเหล่านี้ไปจริงๆ?
สีหน้าของกลุ่มคนจากสำนักเขามหายานแปรเปลี่ยนไปอย่างแรง ฟังเจตนาสังหารที่แฝงอยู่ในวาจาออก กวาดตามองรอบข้างอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในบริเวณนี้แล้ว พวกเขาก็คิดว่ายังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะทำอันใดพวกเขาได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็หาใช่พวกอ่อนด้อยไร้ฝีมือไม่!
หวงเลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “น้องหนิว ข้าสาบานให้ฟ้าเป็นพยานได้ สำนักเขามหายานของเราไม่ได้สมคบคิดใดๆ กับราชสำนักเลย ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่ประสงค์ร้ายต่อน้องหนิวทั้งสิ้น! หรือว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่น้องหนิวจะมอบให้ข้าก็คือสิ่งนี้? น้องหนิวโปรดอย่าได้ตกหลุมพรางยุแยงของคนนอกเลย!”
หนิวโหย่วเต้าที่กุมด้ามกระบี่ไว้ด้วยสองมือพยักหน้านิดๆ เอ่ยไปว่า “แม้จะตรงตามที่คนเขาว่าไว้จริง แต่ข้าก็ไม่เชื่อว่าสำนักเขามหายานจะทำเช่นนี้กับข้าได้ ด้วยรูปการณ์ของหนานโจวในตอนนี้ไม่น่าเป็นไปได้! ข้าเองก็สงสัยเช่นกันว่าเป็นแผนยุแยงให้พวกเราแตกคอ”
หวงเลี่ยกล่าวว่า “น้องหนิวคิดได้เช่นนี้ข้าก็เบาใจ!”
แม้ปากจะเอ่ยไปเช่นนี้ แต่คนของสำนักเขามหายานยังคงเฝ้าระวังรอบข้างอย่างเต็มที่
ในเวลานี้เอง ต้วนหู่พลันชี้ขึ้นไปบนอากาศ “เต้าเหยี่ย ดูนั่นขอรับ!”
ทุกคนหันมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ มองเห็นเพียงว่ามีจุดดำๆ สิบกว่าจุดปรากฏเลือนรางอยู่บนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่ามีคนโดยสารวิหคยักษ์มุ่งหน้ามา
หนิวโหย่วเต้าเดินไปริมราวกั้น หรี่ตาลงเล็กน้อย ปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากด้ามกระบี่ ค่อยๆ ยกขึ้นมา!
พอเหลยจงคังเห็นก็หันหลังเดินออกไปทันที โบกมือลงไปทางด้านล่างของหอคอย
ด้านล่างในลานเรือนหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่อีกฝั่ง เป็นเรือนพำนักของเหล่าสมณะวัดหนานซาน ระฆังใบหนึ่งแขวนอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง มีสมณะกลุ่มหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ข้างระฆัง
หยวนฟางที่สวมกาสาวพัสตร์สีขาวพิสุทธิ์ประสานมือไว้ตรงหน้าท้อง ยืนเฝ้าอยู่นอกศาลา คอยจ้องมองขึ้นไปด้านบนของหอสูงอยู่ตลอด พอเห็นสัญญาณมือจากเหลยจงคังก็กระโจนเข้าไปในศาลาทันที โบกแขนเสื้อไล่กลุ่มสมณะให้พ้นทาง “หลีกไปๆ พวกเจ้าแรงน้อย ข้าเอง!”
เขาพับแขนเสื้อสองข้างขึ้น จับไม้เคาะที่แขวนอยู่แล้วโคจรพลังเหวี่ยงเข้ากระแทกระฆัง!
“หง่าง! หง่าง! หง่าง…” เสียงระฆังดังกึกก้อง สะเทือนไปทั่วคฤหาสน์กระท่อมฟาง
…….………………………………………………………….