ตอนที่ 592 จู่โจมกะทันหัน
เมื่อวาจานี้แว่วเข้าหูก็ตีความไปได้สารพัด กลุ่มคนจากสำนักเขามหายานก็ไม่ทราบเช่นกันว่าควรจะยึดถือวาจานี้เป็นจริงเป็นจังได้หรือไม่
ถึงแม้หวงเลี่ยจะไม่อยากให้หนิวโหย่วเต้าย้ายไปพักในตัวมณฑล แต่ก็รับรู้ได้ว่าวาจานี้ของอีกฝ่ายคล้ายเอ่ยไปด้วยความโมโห เขากดสองมือลงพลางกล่าวว่า “น้องหนิว ไยต้องมีโทสะด้วย ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นเลยจริงๆ ที่เชิญน้องหนิวไปพักยังสำนักเขามหายานของพวกเราก็เพราะใคร่ครวญถึงความปลอดภัยของน้องหนิวอย่างแท้จริง อย่าหวั่นไหวเพราะข่าวลือเลย”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็เพราะอาจจะเป็นข่าวลือถึงไม่อาจปล่อยให้คนเขาทำสำเร็จได้ วาจาที่เคยเอ่ยเชื้อเชิญสำนักเขามหายานมายังหนานโจวในครานั้น ตอนนี้ข้ายังขอยืนยันคำเดิมกับเจ้าสำนักหวงต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง ขอให้สำนักเขามหายานโปรดวางใจได้เลย ผลประโยชน์ในหนานโจวจะตกเป็นของสำนักเขามหายาน ข้าจะไม่รับส่วนแบ่งแม้แต่ครึ่งเสี้ยว จะรักษาไว้เพียงสิ่งที่ข้าสมควรมี ไม่มีทางล้ำเส้นก้าวก่ายในหนานโจวเด็ดขาด”
การที่เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน ไม่ว่าจะมาจากใจจริงหรือไม่ แต่กลุ่มคนของสำนักเขามหายานได้ฟังแล้วย่อมสบายใจ
หวงเลี่ยถอนหายใจเอ่ยไปว่า“ข้าย่อมเชื่อถือในคำพูดของน้องหนิว ไม่จำเป็นต้องยืนยันซ้ำเลย ข้าไว้ใจในตัวน้องหนิว”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ที่ข้าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ก็เพราะหวังว่าสำนักเขามหายานจะรักษาคำสัญญา ไม่ทำตัวได้คืบจะเอาศอกในหนานโจวจนบีบให้ข้าเข้าตาจน!”
หวงเลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไยจึงกล่าวถึงเรื่องบีบให้เข้าตาจนเล่า? สำนักเขามหายานพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ต้องร่วมปกป้องสถานการณ์ในปัจจุบันของหนานโจวไปพร้อมกับน้องหนิวอยู่แล้ว”
ขอเพียงเป็นคนมีปัญญาก็ล้วนแต่ทราบดี สำนักเขามหายานไม่แน่ว่าจะเชื่อถ้อยคำของหนิวโหย่วเต้าไปเสียทั้งหมด ในอนาคตสำนักเขามหายานก็ไม่แน่ว่าจะรักษาคำพูด ตอนนี้ล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องประนีประนอมกันไว้ ภาษิตกล่าวไว้ว่าเสือสองตัวไม่อาจอยู่ร่วมถ้ำกันได้ ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ซุ่มหาโอกาสอยู่แน่นอน จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มอีกฝ่ายเอาไว้ สถานการณ์ภายในมณฑลหนานโจวถึงจะสงบลงได้ แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเอ่ยวาจารื่นหูรักษาน้ำใจอีกฝ่ายเอาไว้
….
ภายในป่า เฟ่ยฉางหลิวมองเหล่าศิษย์ที่ดักซุ่มอยู่ในป่าเขาตามที่เคยฝึกซ้อมในยามปกติด้วยสีหน้าตึงเครียด แนวป้องกันหดตัวเข้ามาอยู่ในด่านสุดท้ายแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วตามการฝึกซ้อมที่ผ่านๆ มา ล้วนจะตั้งวงล้อมอยู่ในพื้นที่แถบนี้ แต่ตอนนี้กลับสั่งให้กำลังคนหดอาณาเขตเข้ามาอยู่ในแถบพื้นที่ศูนย์กลาง ละทิ้งแนวป้องกันด้านนอกแล้ว
“ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวจากใต้ดิน!” จู่ๆ อูเซ่าฮวนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงเตือนขึ้นมา
ตูม! ชั้นดินที่อยู่ตรงตีนเขาพลันพังถล่ม มองเห็นกองกำลังกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา เป็นกองทัพที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ทำเอาทุกคนพากันตกใจ
เหล่าศิษย์ของสำนักเซียนสถิตยังไม่ทันตั้งตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงตูมๆ ก็แว่วดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชั้นดินบริเวณตีนเขาทรุดตัวลงไปไม่หยุด ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมากมาย มีกองกำลังพุ่งขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า มารวมตัวกันอยู่ตรงตีนเขาดั่งกระแสน้ำหลาก
พวกเฟ่ยฉางหลิวพากันมึนงง มีการขุดทางใต้ดินไว้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? กำลังคนก็ดูเหมือนจะมีมากมายเหลือเกิน
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ กองกำลังที่พุ่งออกมาส่วนใหญ่ล้วนถือเครื่องไม้เครื่องมือสารพัดชนิดไว้
ทันทีที่กองกำลังโผล่ออกมา เครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกแยกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ก็ประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว หน้าไม้กลขนาดเท่ารถม้าถูกประกอบขึ้นมาอันแล้วอันเล่า ถูกประกอบติดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สำนักเซียนสถิต ความเคลื่อนไหวช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง
กองกำลังที่ทยอยปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นต่างแบกหอกเหล็กกล้าวิ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง วางเรียงสุมกันไว้ข้างหน้าไม้กล กลุ่มคนที่ประกอบหน้าไม้กลเสร็จสิ้นแล้วต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ ง้างสายหน้าไม้เส้นอวบหนาแล้วบรรจุหอกเหล็กห้าเล่มเรียงต่อกันเป็นแถว ทันทีที่ทำการโจมตี หอกเหล็กห้าเล่มจะพุ่งออกไปพร้อมกัน
หน้าไม้กลสามคันจัดเป็นหนึ่งกลุ่ม ตั้งเรียงกันเป็นแถวหน้ากลางหลัง หน้าไม้กลจำนวนมากตั้งเรียงเป็นแถวตามลำดับเช่นนี้ แน่นขนัดอยู่ทั่วแถบตีนเขา
คนของสำนักเซียนสถิตเคยเห็นกองทัพป้องกันฝึกซ้อมใช้สิ่งนี้มาแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าในที่แห่งนี้จะซุกซ่อนหน้าไม้กลเอาไว้มากมายขนาดนี้ นี่ต้องใช้เงินไปมากมายขนาดไหนกัน? ประกายเยียบเย็นของหอกเหล็กที่ขึ้นสายเรียงไว้เป็นแถวๆ นั้นทำให้คนหนาวสะท้านอยู่ในใจ
เมื่อยิงเจ้าสิ่งนี้ออกไปอาจจะสามารถเจาะกำแพงเมืองได้เลย เป็นอาวุธสงครามที่ใช้ในยามบุกตีเมือง ทั้งสามารถโจมตีสะกดทหารรักษาเมืองไว้ และทำให้ทหารฝ่ายบุกโจมตีมีโอกาสปีนป่ายไปตามหอกเหล็กขึ้นสู่กำแพงเมืองได้ หากหอกนี้ยิงโดนร่างคนก็อย่าหวังเลยว่าจะรอด
อันที่จริงแม้แต่กองกำลังป้องกันที่เฝ้าอยู่ที่นี่เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าที่นี่มีหน้าไม้กลซุกซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้ หยวนกังแอบจัดเตรียมของเหล่านี้เอาไว้นานมากแล้ว เขาวาดภาพชิ้นส่วนต่างๆ เอาไว้ แล้วให้ช่างฝีมือผลิตส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาตามรูปอย่างเข้มงวด จากนั้นแอบนำมาเก็บไว้ในอุโมงค์ลับ พอถึงเวลาก็สามารถนำออกมาประกอบได้ทุกเมื่อ ยามปกติจะนำชิ้นส่วนเพียงส่วนหนึ่งออกมาให้กองกำลังป้องกันได้ใช้ฝึกซ้อมเท่านั้น
ด้านหลังของแนวป้องกันหน้าไม้กล มีการจัดกองกำลังตั้งขบวนอยู่เป็นกลุ่มๆ ทั้งหมดล้วนเป็นพลธนูทั้งสิ้น แต่ละคนหยิบศรออกมาจากกระบอก ขึ้นศรเอาไว้ แต่ยังไม่ได้น้าวสาย หัวศรหันลงพื้น รอฟังคำสั่งโจมตี
มีเงาคนจำนวนหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่ภายในป่า เป็นพวกหยวนกังที่กลับมาจากการลาดตระเวนดูพื้นที่รอบข้าง ลุงเฉินจับแขนหยวนกังไว้แล้วพาเหินทะยาน
พอเฟ่ยฉางหลิวเจอหน้าหยวนกังก็ถามทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“มีคนต้องการโจมตีพวกเรา” หยวนกังเอ่ยประโยคเดียวก็เดินลงไปเลย มุ่งหน้าไปหาซูเจี๋ยเหรินที่รับผิดชอบบัญชาการกองกำลังป้องกันในแถบนี้
ซูเจี๋ยเหรินที่กำลังออกคำสั่งอยู่เห็นหยวนกังเดินเข้ามา จึงประสานมือคำนับทันที “หยวนเหยี่ย”
ทั้งสองต่างคุ้นเคยกันดี รู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว เขาคือคนที่ติดตามหยวนกังไปส่งจดหมายยังวัดหนานซานในปีนั้น ปัจจุบันนี้ตำแหน่งเลื่อนสูงขึ้นตามสถานะของซางเฉาจง กลายเป็นผู้บัญชาการทหารหนึ่งกองพล ซางเฉาจงส่งซูเจี๋ยเหรินมารับผิดชอบเฝ้าระวังที่นี่ ซึ่งนี่ก็เป็นความต้องการของหยวนกัง
“เตรียมการพร้อมหมดแล้วกระมัง?” หยวนกังถาม
“เตรียมพร้อมหมดแล้วขอรับ หยวนเหยี่ยโปรดวางใจ ต่อให้มีทัพใหญ่นับแสนบุกมา ขอเพียงมีเจ้าพวกนี้อยู่ ก็อย่าหวังว่าจะทะลวงด่านป้องกันของพวกเราไปได้ง่ายๆ!” ซูเจี๋ยเหรินชี้หน้าไม้กลที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้วยสีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ จากนั้นก็เอ่ยอย่างค่อนข้างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ขนย้ายติดตามกองทัพใหญ่ได้ลำบาก”
หยวนกังเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ หน้าไม้กลมากมายขนาดนี้ต่อให้สามารถแยกชิ้นส่วนขนย้ายได้ แต่ก็ยังเป็นภาระหนักอึ้งอยู่ดี ลำพังแค่หอกเหล็กกล้าจำนวนมากก็เป็นภาระไม่น้อยแล้ว ขนย้ายในระยะทางสั้นๆ ยังพอไหว แต่หากติดตามกองทัพในระยะยาว อาศัยเพียงแรงคนไม่มีทางไหวแน่นอน หากไม่มีกำลังในการขนย้ายมากพอก็ขนส่งได้ลำบาก กลายเป็นภาระถ่วงความเร็วในการเดินทัพของขบวนทัพใหญ่
หยวนกังถาม “ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นกระมัง?”
ซูเจี๋ยเหรินตอบว่า “น่าจะไม่ขอรับ ทิ้งทหารหลายร้อยคนไว้คอยลาดตระเวนรอบๆ ตามปกติแล้ว หากมองจากภายนอกไม่มีทางพบเห็นพิรุธอันใด”
พอเขาได้รับข่าวจากหยวนกังก็ไม่มีความลังเลใดๆ สั่งให้ดำเนินการตามรูปแบบที่เคยฝึกซ้อมมาทันที
เฟ่ยฉางหลิวเดินเข้ามาหา เอ่ยถามอีกครั้ง “ผู้ใดกันที่พุ่งเป้ามายังพวกเรา?”
“ตอนนี้ยังไม่มั่นใจ แต่ก็ต้องกันเอาไว้ก่อน” หยวนกังเอ่ยไปตามจริง
เอาเข้าจริงทางนี้ก็ยังไม่ทราบสถานการณ์ทางฝ่ายศัตรูเช่นกัน ที่หนิวโหย่วเต้าสั่งให้เตรียมการก็เพื่อกันเอาไว้ก่อน
ตามที่หนิวโหย่วเต้าวิเคราะห์ไว้ หากคิดจะลงมือสังหารเขาในสถานที่ที่มีกองกำลังคุ้มกันหนาแน่นเช่นนี้ มันก็มีความเป็นไปได้เพียงสามกรณี
หนึ่งคือใช้วิธีการลอบสังหารอย่างลับๆ อย่างเช่นวางยาพิษ ซึ่งในส่วนนี้แทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย อาหารการกินของเขามีคนคอยควบคุมและตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นการเฉพาะ
สองคือส่งยอดฝีมือผ่านเข้ามาทางอากาศเพื่อลอบสังหาร
สามคือส่งกองกำลังจำนวนมหาศาลเข้าโจมตี แนวป้องกันที่จัดวางไว้ในขณะนี้ก็เพื่อป้องกันในกรณีนี้ ต้องให้แนวป้องกันด้านนอกคอยต้านเอาไว้ เลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกับส่วนด้านใน
ขอเพียงป้องกันในกรณีที่สามไว้ได้ กรณีที่สองก็สามารถเบาใจได้ไม่น้อย หลักเหตุผลก็เข้าใจได้ไม่ยาก การขนส่งยอดฝีมือจำนวนมากโดยสารวิหคพาหนะผ่านเข้ามาทางอากาศเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
เฟ่ยฉางหลิวหันกลับไปมองเหล่าผู้อาวุโสที่ตามประกบซ้ายขวาอยู่ ทุกคนล้วนมองหน้ากันไปมา
ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ในใจคาดเดาได้พอสมควรแล้ว คนที่จะลงมือกับทางนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝั่งราชสำนัก อีกทั้งเป้าหมายที่พวกเขาพุ่งเป้ามาก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต้า
หยวนกังเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าสำนักเฟ่ย กำลังทหารของที่นี่มีจำกัด เพื่อให้แนวป้องกันมีประสิทธิภาพสูงสุด ข้าได้สลายขบวนโล่ป้องกันที่ต้องตั้งเอาไว้ด้านหน้าทิ้งไป ดังนั้นจึงอยากขอแรงศิษย์จากสามสำนักมาตั้งแนวป้องกันอยู่ด้านหน้าหน้าไม้กล ป้องกันไม่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีกำลังแขนทรงพลังขว้างปาอาวุธมีคมตอบโต้กลับมา เลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายทำให้การโจมตีของแนวป้องกันฝั่งเราจนวุ่นวาย อีกอย่างคือการน้าวสายหน้าไม้กลชนิดนี้เปลืองแรงนัก จึงอยากขอความช่วยเหลือจากศิษย์ของสามสำนักจะได้เพิ่มความเร็วในการยิงโจมตี”
อันที่จริงกำลังทหารก็มีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากต้องการปกป้องหนิวโหย่วเต้า ซางเฉาจงจึงจัดตั้งให้สถานที่นี้เป็นพื้นที่สำคัญทางการทหาร วางกำลังไพร่พลไว้ถึงห้าหมื่นนาย ยังจะน้อยอีกหรือ?
มาถึงตอนนี้แล้ว เฟ่ยฉางหลิวยังจะพูดอันใดได้อีก? ก่อนหน้านี้ไม่ทราบข่าวใดๆ เลยสักนิด ไม่มีแม้แต่การเตรียมแผนรับมือเผื่อไว้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก็ไม่กล้าขัดแย้งกับหนิวโหย่วเต้า ทำได้เพียงพยักหน้ารับ หันกลับไปสั่งให้คนรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป
เขาเองก็ทราบดี หากว่ากันในแง่ของการรบขนาดใหญ่แล้ว ทางฝั่งนี้เทียบชั้นคนเหล่านี้ไม่ได้เลย
ลูกศิษย์ของสำนักเซียนสถิตทยอยลงสู่ด้านล่าง เข้าไปประสานงานกระบวนทัพโจมตี
ถึงแม้จะประสานงานกันแล้ว แต่กำลังคนยังคงวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ ยืนกระจายเป็นหย่อมๆ หยวนกังขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทราบดีเช่นกันว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ คนเหล่านี้ไม่มีทางเทียบกับกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนอยู่ทุกวันได้
“ไปแจ้งเต้าเหยี่ยว่าแนวป้องกันด้านนอกพร้อมแล้ว” หยวนกังหันไปบอกสวี่เหล่าปา สวี่เหล่าปาทะยานกลับไปทันที
….
บนยอดเขาฝั่งตรงข้ามของเส้นทางหลวง วิหคยักษ์สิบกว่าตัวรวมกลุ่มกัน ในขณะเดียวกันก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนชุมนุมอยู่ด้วย ก่าเหมี่ยวสุ่ยและเกาเซ่าหมิงยืนอยู่ด้วยกัน ทอดสายตามองผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่ของหอบุปผาล่องที่ทะยานออกจากป่า เหินขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเขตพื้นที่ลุ่มดอน พุ่งตัวข้ามทางหลวง มุ่งหน้าไปยังเขตป้องกันของทางฝั่งคฤหาสน์กระท่อมฟาง
ยามรักษาการณ์ที่อยู่บนหอคอยสังเกตการณ์ในเขตป้องกันสังเกตพบว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากมุ่งหน้าเข้ามาอย่างกะทันหัน มีคนดึงเชือกระฆังที่แขวนอยู่ในบนหอจนเกิดเสียงดัง ‘หง่างๆ’ แว่วกังวาน
ทหารลาดตระเวนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ด้านล่างพลันเปลี่ยนทิศทางแล้วออกวิ่ง มุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหลืบมุมในอาคาร
ซูเจี๋ยเหรินสั่งการไว้ล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่พบว่ามีศัตรูเข้าโจมตี ให้แจ้งเตือนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะ ให้หนีไปซ่อนตัวทันที
เขาก็ทราบดีเช่นกัน คนที่กล้าบุกเข้ามาถึงที่นี่ หากจะอาศัยเพียงกำลังคนที่ทิ้งไว้เฝ้าระวังเหล่านี้ให้เข้าสกัดต้าน นั่นไม่ได้ต่างจากส่งพวกเขาไปตายเลย
คนของหอบุปผาล่องและสำนักจิตกระจ่างที่ล้อมวงบุกเข้ามาจากทั่วสารทิศในเวลาเดียวกัน เฉาอวี้เอ๋อร์ที่นำกำลังศิษย์ส่วนหนึ่งบุกนำเข้าไปตะโกนสั่งว่า “ไม่ต้องสนใจ!”
ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่ทะยานแหวกอากาศไป ไม่สนใจเหล่าทหารที่วิ่งอยู่ด้านล่างเลย นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขา พวกเขาต้องโจมตีคฤหาสน์กระท่อมฟาง มิใช่มาพัวพันอยู่กับทหารเหล่านี้
หยวนกังที่ยืนอยู่บนยอดเขาทอดมองออกไปเบื้องหน้า มองเห็นเงาร่างคนจำนวนมากที่เหินโฉบเข้ามาแต่ไกล เอ่ยเสียงขรึมว่า “มากันแล้ว ซูเจี๋ยเหริน ฝากเจ้าด้วย หยุดพวกเขาเอาไว้!”
ซูเจี๋ยเหรินที่มีสีหน้าตึงเครียดไม่เอ่ยอะไรไร้สาระอีก ชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้ปลายกระบี่ออกไปด้านหน้า
ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างยกแตรเขาวัวขึ้นมาทันที พองแก้มเป่าแตรจนเกิดเสียง “หวูดๆ” ดังขึ้นมา
เกิดเสียงดังครืดคราดแว่วระงมขึ้นทั่วตีนเขา พลธนูที่ตั้งขบวนอยู่ล้วนยกคันธนูขึ้นมา น้าวสายปล่อยออกไปพร้อมกัน ลูกศรพุ่งฉิวฝ่าอากาศออกไป
ทางด้านข้างของหน้าไม้กลจำนวนมหาศาล ทหารแต่ละคนยกค้อนไม้เล่มใหญ่ขึ้นมา พร้อมจะเหวี่ยงค้อนออกไปทุกเมื่อ
พวกเฟ่ยฉางหลิวที่ยืนอยู่ด้านข้างหยวนกังหน้าดำคร่ำเครียด ล้วนมองเห็นแล้วเช่นกัน ศัตรูที่บุกเข้ามามิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มเล็กๆ เลย เพียงดูจากเงาร่างที่มองเห็นก็มีจำนวนมากกว่าศิษย์ของสำนักเซียสถิตทั้งสำนักแล้ว ต่างรู้สึกตึงเครียดกันไปหมด
เฉาอวี้เอ๋อร์ที่เหินทะยานเข้ามาก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเช่นกัน พบว่ารอบนอกมีเพียงทหารบางส่วนที่วิ่งหลบหนีอยู่ แต่พอบุกลึกเข้ามากลับไม่เห็นเงาร่างมนุษย์อีกเลยแม้แต่คนเดียว
ในเมื่อเป็นการบุกโจมตีกะทันหันก็ต้องสังหารโดยไม่ให้อีกฝ่ายทันตั้งตัวแม้แต่คนเดียว แต่ในพื้นที่คุ้มกันที่มีการป้องกันหนาแน่นเช่นนี้กลับไม่มีการตอบสนองอันใดมากนัก ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
กระทั่งข้ามผ่านเนินเขาแห่งหนึ่งไป ข้อสงสัยในใจก็ได้รับคำตอบแล้ว กองกำลังป้องกันอันเข้มงวดที่ตั้งขบวนอยู่ตรงตีนเขาด้านหน้าปรากฏสู่สายตาของนาง นางสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที อีกฝ่ายเตรียมการไว้แต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ?
………………………………………………………………..