ตอนที่ 567 คลื่นใต้น้ำ
ณ วังหลวงอันยิ่งใหญ่ คณะขุนนางกลุ่มหนึ่งอยู่ภายในห้องอักษร
ไห่อู๋จี๋ที่แต่งตัวพิถีพิถันตั้งแต่หัวจรดเท้ามีสีหน้าเย็นชา ยืนยกมือไพล่หลัง หันหลังให้โต๊ะทำงาน เผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางใหญ่
จู่ๆ มณฑลจินโจวก็เป็นฝ่ายประกาศข่าวที่ไห่หรูเยวี่ยต้องพิษออกมาเอง ทำให้ทางนี้ค่อนข้างตั้งตัวไม่ถูกจริงๆ ล้วนคิดว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานไม่น่าจะทำเช่นนี้ กำลังช่วยกันไตร่ตรองถึงเจตนาของทางมณฑลจินโจวอยู่
“ไทเฮาเสด็จ!” ขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพลันร้องประกาศเสียงแหลม คล้ายจะแจ้งเตือนคนด้านใน
เหล่าขุนนางหันมองไปทางประตู สตรีสูงวัยแต่งคนหนึ่งที่แต่งตัวสง่างามสูงศักดิ์ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู ใบหน้าอิ่มเอิบมีราศี ถึงแม้จะชราวัยแล้ว แต่เค้าความงามในช่วงอ่อนวัยรุ่งโรจน์ยังคงฝงอยู่ในความหรูหรามั่งคั่ง เป็นซางโยวหลานไทเฮาแห่งแคว้นจ้าวนั่นเอง
ถวายพระพรไทเฮา!“ เหล่าขุนนางค้อมกายทำความเคารพ
“เสด็จแม่!” ไห่อู๋จี๋รีบเดินไปที่หน้าประตู ประคองแขนผู้เป็นมารดาเข้าสู่ด้านในอย่างอ่อนน้อม
“ไม่ได้มารบกวนการหารือเรื่องบ้านเมืองของพวกเจ้ากระมัง?” ซางโยวหลานเอ่ยถาม
ไห่อู๋จี๋ตอยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซางโยวหลานพยักหน้ารับ กวาดตามองทุกคน ค่อยๆ เปล่งน้ำเสียงที่แฝงอำนาจกดดันยากจะปกปิดไว้ได้ออกมา “ข้ามีเรื่องจะคุยกับฝ่าบาท ทุกท่านโปรดถอยออกไปก่อนเถิด”
มารดามีเกียรติเพราะบุตรชาย เป็นคำอธิบายเด่นชัดไร้ข้อกังขาในเวลานี้
ไห่อู๋จี๋ก็โบกมือไล่ทุกคนออกไปทันที ท่าทางกตัญญูเชื่อฟังอย่างยิ่ง
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางค้อมคำนับรับบัญชา พากันถอยออกไปกันจนหมด
ขันทีแก่ชราคนหนึ่งที่ผมหงอกขาวหลังโก่งค่อม สองเนตรฝ้าฟาง ดูแก่ชราจนแม้แต่เดินก็ยังไม่มั่นคงแล้ว เตรียมถอยออกไปเช่นกัน
คนผู้นี้ก็คือจูเก๋อฉือผู้ดูแลทั่วไปประจำวังหลวง
ซางโยวหลานเอ่ยรั้งเขาไว้ “เหล่าจูเก๋อ เจ้าไม่ต้องไป มีเรื่องที่อยากจะขอคำตัดสินจากเจ้าอยู่”
จูเก๋อฉือหยุดเท้า เงยหน้ามองท่าทีของไห่อู๋จี๋
ไห่อู๋จี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่ มีเรื่องใดต้องตัดสินกัน ผู้ใดทำให้ท่านขุ่นเคืองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สีหน้าโกรธเคืองคับข้องพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซางโยวหลาน “เจ้าคิดจะปิดบังแม่ไปถึงเมื่อไร?”
ไห่อู๋จี๋ตระหนักถึงเรื่องร้ายบางอย่างได้แล้ว แต่แสร้งทำเป็นแปลกใจ “ไยเสด็จแม่ตรัสเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางโยวหลานเอ่ยด้วยความโกรธ “แม่ขอถามเจ้าว่าเรื่องที่หรูเยวี่ยต้องพิษใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่?”
สีหน้าไห่อู๋จี๋ตึงขึ้นมาเล็กน้อย นึกโมโหอยู่ในใจ ตั้งใจปกปิดเสด็จแม่เอาไว้แล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าเป็นไอ้อีปากเปราะคนใดที่ห้ามปากไม่อยู่ ประเดี๋ยวเขาจะต้องสืบหาตัวมา
เขาฝืนแก้ต่างให้ตัวเอง “เสด็จแม่ไปได้ยินข่าวลือนี้มาจากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางโยวหลานส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “ก่อนหน้านี้เจ้ามาถามหาของใช้วัยเด็กของหรูเยวี่ยจากแม่ แม่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่แล้ว เจ้ายังคิดจะหลอกแม่อีกหรือ? แม่ยังไม่แก่จนเลอะเลือนปานนั้น! นางคือน้องสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของเจ้านะ ไยเจ้าถึงหักใจลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้?”
ไห่อู๋จี๋พลันมีสีหน้าเย็นชา เงียบอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “เสด็จแม่ ลูกเองก็มีความลำบากใจของลูกอยู่เช่นกัน”
“ลำบากหรือ? แม่รู้ถึงความลำบากของเจ้าดี” ซางโยวหลานตบอก เอ่ยอย่าสะเทือนอารมณ์ “เจ้าขึ้นปกครองแคว้น ต้องสละส่วนน้อยเพื่อดูแลส่วนมากแม่รู้ดีทั้งสิ้น เจ้าต้องการบีบให้ครอบครัวน้องสาวเจ้าล่มจมแม่ก็ทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้าง เจ้าต้องการจินโจวก็เชิญไปยึดได้เต็มที่เลย แต่เหตุใดถึงต้องเล่นงานนางจนถึงชีวิตด้วย ไว้ชีวิตนางไม่ได้เชียวหรือ?”
“หรือต้องให้นางตายไปเจ้าถึงจะพอใจ? สมัยเป็นตัวประกันอยู่ที่แคว้นเยี่ยน เพื่อปกป้องตัวเองตัวผลักไสนางออกไปให้คนอื่นเพื่อเอาใจคนเขา เจ้าคิดว่าแม่ไม่รู้งั้นหรือ? แม่แค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น นางรับความอัปยศคับข้องเพื่อเจ้ามามากเพียงใดแล้ว? หากมิใช่เพราะซางเจี้ยนปั๋วหลานชายคนนั้นของแม่ช่วยปกป้องนางไว้ก็คง…หลังจากเจ้ากลับคืนแคว้นขึ้นครองราชย์ เพื่อจะรั้งเซียวหวงไว้ เจ้าได้บังคับให้นางออกเรือนไปกับบุตรชายอมโรคของเซียวหวงอีก เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่านางต้องทุกข์ใจเพียงใด? ”
“เป็นเจ้าเองที่ผลักไสให้นางต้องมาถึงวันนี้ ตอนนี้กลับมาชิงชังว่านางขวางทางซ้ำยังลงมือกับนางอย่างโหดเหี้ยม เจ้าทำลงไปได้อย่างไร! เจ้าจะให้คนทั่วหล้ามองผู้เป็นมารดาอย่างข้าเช่นไรกัน เจ้าจะให้คนทั่วหล้ามองเจ้าอย่างไรกัน! แค่เหลือทางรอดไว้ให้นางบ้างก็ไม่ได้เลยงั้นหรือ?”
ไห่อู๋จี๋ถูกด่าว่าก็อับอายจนพาลโกรธ คุมสีหน้าไม่ค่อยอยู่แล้ว เอ่ยเสียงเข้ม “เสด็จแม่ ในเส้นทางนี้ท่านเผชิญความคับข้องหมองใจมามากมายปานใด อดทนต่อความขมขื่นมามากขนาดไหน น่าจะเข้าใจคำว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ ดียิ่งกว่าผู้ใดนะพ่ะย่ะค่ะ! รูปการณ์ของใต้หล้านี้ถูกจัดวางไว้โดยใครบางคน ทำให้คนในใต้หล้าต้องฟาดฟันกันไม่หยุดยั้ง! สำหรับแต่ละแว่นแคว้นแล้ว ล้วนอยู่ในสถานการณ์คล้ายแล่นเรือทวนกระแสน้ำ ไปไม่ได้ก็ต้องถอย ไม่ว่าผู้ใดต่างเป็นกังวลไม่มั่นคง ผู้ใดกล้ารักสงบผู้นั้นก็ต้องล่มจม มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นมากพอถึงจะสามารถต้านคลื่นมรสุมอย่างมั่นคงไดด้ เสด็จแม่ แคว้นจ้าวไม่เหลือทางถอยแล้ว ลูกไม่มีทางถอยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาสะบัดแขนชี้ไปทางด้านหลัง ประโยคสุดท้ายดังก้อง
….
ภายในโถงองอาจ หน้าแผนที่ที่แขวนกางไว้ เหมิงซานหมิงบนรถเข็นและซางเฉาจงกำลังชี้ตำแหน่งแผนที่หารือกันอยู่
เหมิงซานหมิงอยู่ในท่านั่งค่อนข้างอยู่ต่ำ ในมือถือไม้เรียวก้านหนึ่งไว้สำหรับชี้จุดบนแผนที่
สำนักเขามหายานเพิ่งย้ายเข้ามาไม่เหมาะจะปิดบังทางฝั่งนี้ ได้แจ้งเรื่องก่าเหมี่ยวสุ่ยให้ทราบแล้ว อีกทั้งอยู่ในแคว้นเยี่ยนทางนี้ก็หาใช่คนหูหนวกตาบอดไม่ ราชสำนักเริ่มระดมกำลังไพร่พลและเสบียงกรังแล้ว ประกอบกับฟางเจ๋อที่อยู่ทางมณฑลจินโจวได้แจ้งข่าวเรื่องไห่หรูเยวี่ยต้องพิษให้ทราบก่อนแล้ว
ทางนี้จะไม่ทราบได้อย่างไรว่ามรสุมกำลังจะมาเยือนแล้ว รีบเตรียมการรับมือกันอย่างรวดเร็ว
มีการเรียกตัวเจ้าหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งเข้ามาในโถงองอาจเป็นระยะ เพื่อถ่ายทอดคำสั่งโยกย้ายกำลังทหารในเขตพื้นที่ต่างๆ
หลานรัวถิงรีบเดินเข้ามา รอจนเจ้าหน้าถ่ายทอดคำสั่งออกไปแล้วถึงได้แจ้งว่า “ท่านอ๋อง แม่ทัพเหมิง เต้าเหยี่ยตอบกลับมาแล้ว บอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องลนลาน แจ้งว่าเรื่องไห่หรูเยวี่ยต้องพิษเขาสั่งให้วงสวรรค์หมื่นวิมานประกาศออกไปเอง พวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ ทางฝั่งหนานโจวควรจัดการอย่างไรก็ให้จัดการไปตามสมควร จัดเตรียมกำลังทหารพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินก็พอ ทางจินโจวมีเขาประจำการอยู่ เกิดเรื่องใดขึ้นจะส่งข่าวแจ้งทางนี้อย่างทันท่วงที”
เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ “เต้าเหยี่ยมีแผนการอยู่ในใจก็ดีแล้ว”
….
“ไห่หรูเยวี่ยต้องพิษในช่วงเวลานี้งั้นหรือ?”
ณ สำนักเขามหายาน ภายในโถงหลัก หวงเลี่ยจ้องมองรูปสลักปฐมบรรพจารย์ที่จัดทำขึ้นใหม่พลางเอ่ยกับตัวเอง
ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ด้านหลังเวียนกันอ่านจเหมายลับที่ส่งมา แต่ละคนมีสีหน้าตึงเครียด
มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนราชสำนักแคว้นเยี่ยนกับราชสำนักแคว้นจ้าวจะวางแผนกันมาแล้ว ต้องการร่วมมือกันจัดการสองทางพร้อมกัน หนานโจววิกฤตแล้ว!”
หวงเลี่ยหันกลับมา “มีการตอบกลับจากหนิวโหย่วเต้าหรือยัง?”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวว่า “ส่งจดหมายไปหาสามฉบับแล้วขอรับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ไดรับการตอบกลับเลย ตามข่าวที่ส่งมาจากทางจังหวัดชิงซานแจ้งว่าทางคฤหาสน์เรือนมุงจากไม่มีความผิดปกติใดๆ ขอรับ คนของสามสำนักก็ไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไปเช่นกัน”
หวงเลี่ยขมวดคิ้ว “เจ้าหนุ่มคนนั้นมีเจตนาใดกัน?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก มรสุมกำลังจะมาแล้ว จะตอบรับทางฝั่งก่าเหมี่ยวสุ่ยดีหรือไม่ขอรับ?”
หวงเลี่ยโบกมือเอ่ยไปว่า “กลยุทธ์ที่ผ่านมาของคนผู้นั้นพวกเขาก็เคยเห็นมาแล้ว มิใช่คนไร้พิษสง ข้าไม่เชื่อว่าคนผู้นั้นจะยอมนังเฉยรอความคาย เขาย่อมหาทางตอบโต้แน่นอน รอดูไปก่อนว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร รอจนทัพใหญ่เข้ากดดันค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ทางเราก็สมควรจะเคลื่อนไหวบ้างเช่นกัน ไปประจำการที่จวนผู้ว่าการเถอะจะได้รับมือทันท่วงที”
….
ณ เรือนหลังหนึ่งในจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว ซึ่งที่นี่คือฐานที่ตั้งของฝั่งมณฑลหนานโจวด้วย
บนเสาคานภายในห้องหนึ่ง เฉาเซิ่งไหวถูกมัดเอาไว้กับเสา เขาก้มหน้าลงและเงยหน้าขึ้นทอดถอนใจเป็นครั้งคราว
มีเสียงเปิดประตูแว่วเอี๊ยดอ๊าด สวี่เหลาปาเดินเข้ามา ยกอาหารเข้ามาด้วย วางลงบนโต๊ะด้านข้าง “น้องเฉา กินอะไรหน่อยเถิด”
เฉาเซิ่งไหวสะบัดหน้า “ไม่กิน!”
สวี่เหล่าปาที่กำลังจะแก้มัดให้เขาหัวเราะออกมา “ดื่มน้ำหน่อยหรือไม่?”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ไม่ดื่ม! ที่นี่คือที่ใด? ข้าต้องการพบหนิวโหย่วเต้า”
พอเขาไปถึงจังหวัดชิงซาน เขาไม่ได้พบหนิวโหย่วเต้าซ้ำยังจากไปไม่ได้แล้ว ถูกควบคุมตัวไว้ทันที จากนั้นก็ถูกพามาที่นี่
ที่นี่คือที่ใดเขาก็ไม่ทราบแน่ชัด ถูกพามาช่วงที่สลบอยู่ ในฐานะที่อาศัยอยู่ในหุบเขามานาน เขารับรู้ได้กลิ่นอายความสดชื่นรอบข้างไม่เหมือนกลิ่นอายในหุบเขา แต่เหมือนอยู่ในเมืองใดสักแห่ง
สวี่เหล่าปากกล่าวว่า “ตอนนี้เต้าเหยี่ยกำลังยุง ไม่ว่างมาพบเจ้า หากมีเวลาย่อมมาหาเจ้าแน่ เจ้าจะร้อนใจไปไย กินอะไรหน่อยเถิด สภาวะของเจ้ายังไม่ถึงขั้นสำเร็จอริยะก้าวข้ามหลุดพ้นจากสังขารกายาเช่นในตำนานเล่าขาน อย่าทรมานตัวเองเกินไปเลย หิวจนเป็นอะไรไปแล้วไม่คุ้มกันหรอก”
เฉาเซิ่งไหวโมโหแล้ว “ต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าใจ ไปตามหนิวโหย่วเต้ามาพบข้า มิเช่นนั้นทุกคนอย่าหวังจะได้อยู่ดีเลย!”
“ชู่!” สวี่เหล่าปายกนิ้วหนึ่งแตะริมฝีปาก “น้องชาย คุยกันดีๆ สิ อย่าเอะอะโวยวายไป มิเช่นนั้นอีกเดี๋ยวคงต้องทำให้เจ้าอยู่เงียบๆ แล้วเจ้าจะต้องอัดอึดอีกครั้งนะ”
……
“ตาเฒ่า แน่จริงเจ้าก็ลองดูสิ!”
เกาเส่าหมิงราชทูตแคว้นเยี่ยตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นมา ขี้หน้าถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่งพลางตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว
เรือนรับรองอวลสุคนธาจัดงานเลี้ยงรับรองแขกสำคัญจากแคว้นต่างๆ จู่ๆ ก็มีคนจากทางเรือนพำนักแคว้นเยี่ยนเข้ามากระซิบแจ้งเกาเส่าหมิง บอกว่าพบเห็นคนของฝั่งราชทูตแคว้นซ่งคิดจะขโมยปีกทองสื่อสารของพวกเขาไป
ดังนั้นจึงเกิดการซักถามกันขึ้น ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งถกเถียงกันภายในงานเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยงบังเอิญเป็นสถานที่เดียวกับที่หนิวโหย่วเต้าสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนในอดีตครั้งนั้นพอดี ถูไหวอี้จึงยกประเด็นมาเหน็บแนม บอกเกาเส่าหมิงว่าระวังจะซ้ำรอยเดิม ทำให้เกาเส่าหมิงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด
ฝ่าซือติดตามของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ด้านนอกศาลาพุ่งเข้ามาทันที
เกิดเสียงดังปัง! หลีอู๋ฮวาตบโต๊ะลุกขึ้นมาแล้ว เอ่ยเสียงเข้ม “ทั้งสองท่านมีเจตนาใดกัน? คิดว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานเราเป็นเพียงของประดับงั้นหรือ? หากจะทะเลาะกันก็ออกไปทะเลาะกันนอกจินโจวเสีย มิเช่านนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
สีหน้าของหลีอู๋ฮวาก็น่าเกลียดเช่นกัน ยากจะปกปิดสีหน้าที่ซูบเซียวได้
ที่ให้เขามาออกงานเช่นนี้ก็เพราะสถานะของเขา ในจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจว เขาเหมาะจะเป็นตัวแทนไห่หรูเยวี่ยออกมารับรองแขกมากที่สุด
“ราชทูตเกา อย่าลืมว่านี่คือแคว้นจ้าวของพวกเรา ท่านสำรวมไว้บ้างจะดีที่สุด”
จ้าวเซินที่อยู่ในงานด้วยเอ่ยเตือนเสียงเย็นชา แต่ความจริงกำลังชี้แนะให้ว่าในเวลานี้อย่างได้ก่อข้อพิพาทขึ้น โดยเฉพาะการนั่วโทสะแคว้นซ่ง
เกาเส่าหมิงเหลือบมองคราหนึ่ง แค่นเสียงทีหนึ่ง โบกมือสื่อให้ฝ่าซือติดตามของตนถอยไป ส่วนตัวเองก็ค่อยๆ นั่งลง
คนอื่นๆ ที่อยู่ในงานต่างมีเจตนาแอบแฝงในใจ ล้วนทราบดีว่าจินโจวน่าจะสงบต่อไปได้ไม่นานแล้ว พายุรุนแรงกำลังจะโหมเข้ามา
ระหว่างงานเลี้ยงสุยไพ่ราชทูตแคว้นเว่ยและจั่วอันเหนียนราชทูแคว้นฉีใช้วาจาเตือนจ้าวเซินเป็นนัยๆ ความหมายในวาจาเป็นการเตือนแคว้นจ้าวไม่ให้ก่อปัยหาขึ้น มิเช่นนั้นทั้งสองแคว้นจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน
ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นที่แข็งกร้าวมาตลอด วันนี้กลับทำตัวเป็นตัวกลางสมานฉันท์ คอยยกจอกกล่อมทุกคนใจเย็นๆ ลงอยู่เป็นระยะ
ส่วนจูเก๋อสวินราชทูตแคว้นหานส่วนใหญ่แล้วนั่งดื่มเฮฮาอยู่ที่เดิม แต่สายตากลับเหลือบมองคนนั้นทีคนนี้ทีอยู่เป็นพักๆ วางตัวเหนือเรื่องราวเสมือนชมละครอยู่
แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องสอบถามหลีอู๋ฮวาแน่ว่าสุขภาพของไห่หรูเยวี่ยเป็นเช่นไรบ้าง?
หลีอู๋ฮวาไม่มีคำตอบใดให้
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลีอู๋ฮวามุ่งตรงกลับไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล ไปอยู่ข้างเตียงไห่หรูเยวี่ย มองใบหน้าซีดเผือดของคนบนเตียง ไห่หรูเยวี่ยทรุดโรมจนไม่เหลือเค้าความงามแล้ว เขาทนมองต่อไปไม่ไหว เบือนหน้าเดินออกไป
เมื่อออกมาก็ไปยังห้องของบุตรชายต่อ เอ่ยขอบคุณศิษย์ในสำนักที่ทุ่มเททำงานหนักก่อน แต่เพียงเห็นบุตรชายที่อยู่ในสภาวะหลับไหลด้วยสีหน้าซีดเขียว ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา พึมพำกับตัวเองว่า “นี่ข้าก่อกรรมใดไว้กันแน่!”
เขารู้ดีว่าบุตรชายคงยืนหยัดต่อไปได้อีกไม่กี่วันแล้ว อยู่ได้เพียงไม่กี่วันนี้แล้ว
….
รุ่งเช้าวันต่อมา เกิดความโกลาหลขึ้นในจวนผู้ว่าการมณฑลอยู่พักหนึ่ง ศิษย์จำนวนมากของวังสวรรคืหมื่นวิมานทะยานขึ้นสู่หลังคา เฝ้าระวังวิหคตัวหนึ่งที่บินวนอยู่ในอากาศ
ชายหนุ่มในชุดขาวพิสุทธิ์คนหนึ่งยืนอยู่บนหลังวิหค หน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวกระจ่าง ในความสุขุมเยือกเย็นแฝงความสง่างามองอาจไว้ เขาสะพายเข่งไม้ไผ่ใบหนึ่งไว้ด้านหลัง มองจวนผู้ว่าการด้านหลังด้วยสายตาเฉยเมย
………………………………………………………………………………