ตอนที่ 549 ส่งมอบหนานโจว
เมื่อเดินตามกันกลับมาถึงศาลา ก่วนฟางอี๋นั่งลงไป ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ไท่ซูสยงรู้จักเขาดีหรือ? ถึงได้ยอมรับตัวเขาไว้ง่ายๆ เช่นนี้”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “คนมีความสามารถ ไปอยู่ที่ใดย่อมไม่ต่างกัน”
ก่วนฟางอี๋แค่นเสียง “ตอนนี้รู้แล้วกระมังว่าไม่ควรไปหาเรื่องอีกฝ่าย แล้วไปหาเรื่องเขาแต่แรกทำไม?”
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ นั่งลงไป สองมือยันกระบี่ไว้ที่ด้านหน้า “ใช่ว่าข้าอยากหาเรื่องเขาเสียเมื่อไร เป็นอีกฝ่ายที่ไม่ยอมปล่อยข้าไป ข้าไม่เอาคืนก็คงไม่ได้ ถึงข้าไม่สังหารเขา เขาก็จะสังหารข้าอยู่ดี”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ข้าติดตามเจ้าออกไล่ล่าเขาไปทางนั้นทีทางนี้ที หากข้าตายขึ้นมา อย่างน้อยเจ้าก็ควรให้ข้าได้ทราบสาเหตุกระมัง สรุปแล้วพวกเจ้าผูกความแค้นอันใดไว้กันแน่ ไยต้องตามจองเวรอย่างไม่ตายไม่เลิกราด้วย?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้เล่าไปแล้วยาว สรุปคือสาเหตุยังคงมาจากสตรี”
ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ “ถังอี๋หรือ?”
“ใช่แล้ว!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ
ก่วนฟางอี๋ร้องจุ๊ๆ “พวกเจ้าสองคนนี่นะ ไม่ว่าคนใดล้วนมีพิษสงทั้งคู่ ล้วนมิใช่คนที่จะหวั่นไหวต่อสตรีได้ง่ายๆ ถังอี๋คนนี้ทรงเสน่ห์มากนักหรือ สามารถดึงดูดพวกเจ้าสองคนได้ในเวลาเดียวกัน ซ้ำยังทำให้พวกเจ้าต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะความหึงหวงอีก ข้าชักอิจฉาขึ้นมานิดๆ แล้วสิ”
“ไหนเลยจะใช่ต่อสู้กันเพราะหึงหวงอันใด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบคนผู้นั้น ข้าก็รู้แล้วว่าเขาอันตรายมาก ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือกำลังล้วนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อยากหลบเลี่ยงให้ไกลจากเขาไว้ใจแทบขาด ตอนแรกจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตามเกี้ยวพาถังอี๋อยู่ ตามเกี้ยวพาถังอี๋ก็แล้วไปเถิด แต่คนผู้นี้ใจคดไม่ซื่อ ต้องการครอบครองถังอี๋เป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักที่แท้จริงคือจ้าวสยงเกอ!”
“ไม่ว่าข้ากับถังอี๋จะเป็นอย่างไร แต่สถานะของพวกเราสองคนยังคงอยู่ ข้าจึงกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาเขาไปโดยปริยาย คนที่สามารถนำเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของตนมาใช้ประโยชน์ได้ จะมีเจตนาเช่นไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว เป็นคนที่เมื่อเผชิญอุปสรรคจะลงมือโดยไม่เลือกวิธีการ เป็นคนที่โหดเหี้ยมแม้แต่กับตัวเอง ข้าจะหวังให้เขาเมตตาข้าได้หรือ? ข้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าตนตกอยู่ในอันตรายแล้ว ครั้งนั้นหนีเอาชีวิตรอดอย่างทุลักทุเลจริงๆ!”
“นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราสองคนก็ต่อสู้กันมาโดยตลอด เพื่อให้ได้ลงเอยกับถังอี๋ เขาคิดเล่นงานข้าให้ถึงตาย ข้ารู้ดีว่าเขาไม่มีทางปล่อยข้าไป เพื่อเป็นการตัดปัญหาที่จะตามมา ข้าจึงต้องสังหารเขาให้ตายเช่นกัน พวกเราสองคนตอบโต้กันไปมา หลังผ่านการต่อสู้ไปก็ยิ่งรู้จักกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตระหนักได้ว่าความทะเยอทะยานของเขาจะไม่หยุดอยู่แค่ในเป่ยโจวเท่านั้น ความทะเยอทะยานของซางเฉาจงเองก็จะไม่หยุดอยู่แค่ในเขตเล็กๆ แห่งหนึ่งเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วล้วนจะต้องลงมือกับแคว้นเยี่ยนที่มีปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน เผลอๆ อาจจะมิใช่แค่แคว้นเยี่ยนด้วย”
“พอมาถึงขั้นนี้ ปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ที่ถังอี๋หรือจ้าวสยงเกออันใดแล้ว หลังจากข้ากับเขาห้ำหั่นกันมา พวกข้าทั้งสองล้วนทราบถึงความสามารถของอีกฝ่ายดี ล้วนตระหนักได้ว่าไม่ช้าก็เร็วต่างฝ่ายต่างจะกลายเป็นอุปสรรคของกันและกัน ต่อให้ไม่มีถังอี๋และจ้าวสยงเกอ พวกเราจะต้องฟาดฟันกันในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ล้วนไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้เติบโตกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าในภายภาคหน้าสำหรับตน ล้วนอยากจะตัดตอนอีกฝ่ายเสียแต่เนิ่นๆ ทันทีที่มีโอกาสต่างจะเล่นงานกันให้ตาย ล้วนไม่มีความเกรงใจใดๆ”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ตอนนี้เขาไปอยู่แคว้นจิ้นแล้ว ขณะนี้ไม่มีข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์กันแล้ว เจ้าชอบเจรจารอมชอมมิใช่หรือ? มิสู้ถือโอกาสไปเจรจากับเขาดูสิ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น เรื่องแค้นไม่แค้น เรื่องอื่นไม่ต้องไปพูดถึง เอาแค่เรื่องเดียว หากเขาเป็นฝ่ายมาขอเจรจากับข้า ข้าจะเชื่อได้หรือว่าเขาจะยอมเลิกราไปเช่นนี้ ข้าจะกล้าปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาหรือ? กลับกัน เขาก็คิดแบบนี้กับข้าเช่นกัน…”
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว เมื่อถึงเวลากินข้าว ซางเฉาจงละมือจากงานราชการไว้ก่อนชั่วคราว เดินเข้าสู่ห้องอาหาร
เหมิงซานหมิง ซางซูชิงและเฟิ่งรั่วหนานล้วนอยู่ครบ ยังมีหลัวต้าอันด้วย
คนเหล่านี้ล้วนจะมากินข้าวพร้อมกัน เดิมทีเหมิงซานหมิงไม่ยินยอม เป็นซางเฉาจงที่บังคับขอให้มา
หลัวต้าอันได้มานั่งกินข้าวที่นี่ย่อมเป็นเพราะติดตามเหมิงซานหมิง แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดยังคงเป็นเพราะบารมีหลัวอันบิดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขา คนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนต้องการตอบแทนพ่อของเขา
ส่วนเฟิ่งรั่วหนาน เดิมทีซางเฉาจงไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับนาง แต่ทนการโน้มน้าวของคนใกล้ชิดไม่ไหว ดูเหมือนจะเข้าข้างเฟิ่งรั่วหนานกันหมด
เหมิงซานหมิงยืนไม่ได้ แต่คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ล้วนลุกขึ้นมากันหมด
ซางเฉาจงกวาดตามองทุกคน ไม่คิดแม้แต่จะหยุดสายตาที่ตัวเฟิ่งรั่วหนานเลยแม้แต่น้อย พอพบว่ามีคนขาดหายไปก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์หลานกับเสี่ยวอันละ?”
ทางนี้ก็คิดว่าทั้งสองจะมาพร้อมกันกับเขา ยามนี้พอทราบว่าทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกัน เหมิงซานหมิงก็สั่งการทันที “ต้าอัน ไปตามอาจารย์หลานหน่อย”
“ขอรับ!” หลัวต้าอันที่กอดทวนสองเล่มไว้ไม่ปล่อยวิ่งออกไปทันที
ไม่นานนัก หลัวต้าอันวิ่งกลับมาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง อาจารย์หลานเรียนเชิญท่านอ๋องออกไปหาหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป
หลัวต้าอันโน้มตัวกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเหมิงซานหมิ จากนั้นเข็นเหมิงซานหมิงออกไป
ซางซูชิงมองออกว่าคงมีเรื่องใดแล้ว เมื่อทางนี้มีเรื่องราวใดย่อมไม่มีทางหลบเลี่ยงนางเช่นกัน นางจึงตามออกไปด้วย
เหลือเพียงเฟิ่งรั่วหนานผู้หดหู่อยู่ในห้องเพียงลำพัง ภายในห้องนี้ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว เมื่อหลานรั่วถิงตามตัวคนออกไป คนที่จะถูกกันออกไปย่อมเป็นนาง
ตอนนี้นางผ่ายผอมเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะยังมีมาดของแม่ทัพหญิงคนนั้นอยู่ วิทยายุทธ์ที่มีติดตัวก็ไม่ได้ฝึกฝนต่อแล้ว
หลังเกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นขึ้น ซางเฉาจงก็แยกห้องกับนาง ซางเฉาจงถึงขั้นที่พาอนุโฉมงามที่ทางบ้านนางส่งมาออกมาวางท่าต่อหน้านางด้วย ส่วนอนุโฉมงามสองที่ทางบ้านนางส่งมาคนนั้นก็ตัดขาดสัมพันธ์กับตระกูลเฟิ่งแล้ว พยายามฉอเลาะเอาใจซางเฉาจงอย่างสุดกำลัง มิได้ให้เกียรติอันใดนางเลย
นางรู้ดีว่าหากมิใช่เพราะมีสำนักหยกสวรรค์คอยควบคุมเอาไว้อยู่ ซางเฉาจงคงหย่านางไปนานแล้ว
แม้จะถูกสองอนุเหยียดหยามรังแก นางก็ไม่ปริปากบ่น นางรู้ดีว่าหากบอกต่อซางซูชิงไป ซางซูชิงย่อมจะออกหน้าช่วยนางแน่นอน
แต่นางไม่พูด ไม่เคยฟ้องต่อผู้ใดทั้งนั้น
เมื่อนางไม่พูด ต่อให้ข้ารับใช้ในจวนทราบก็ไม่มีทางพูดเช่นกัน ผู้ใดบ้างจะไม่ทราบว่าตระกูลเฟิ่งเกือบสังหารท่านอ๋องแล้ว ล้วนทราบดีว่าท่านอ๋องไม่พอใจพระชายา
ในบ้านนี้อำนาจตัดสินใจขึ้นอยู่ซางเฉาจง ลับหลังส่วนตัวไปแล้วเหล่าข้ารับใช้ก็ไม่ค่อยให้ความเคารพต่อเฟิ่งรั่วหนานเช่นกัน
บ้านฝ่ายมารดาก็ทราบเช่นกันว่านางอยู่ทางนี้ไม่ได้อยู่สุขสบายแน่นอน เรื่องระหว่างสามีภรรยา หากไม่ตบตีไม่โวยวายแล้วก็ไม่ทะเลาะ แล้วสำนักหยกสวรรค์จะทำอันใดได้เล่า? เผิงโย่วไจ้ก็ส่งคนฝากข้อความถึงนางอยู่หลายครั้งว่าอยากพานางไป
แต่นางไม่ไป
บ้านฝ่ายมารดาต้องการสังหารสามีตน ผลคือสามีตนกลับเป็นฝ่ายสังหารพี่ชายทั้งสองของตน ในเวลานั้นนางไม่ได้เลือกฝั่ง ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกฝั่งได้ ไม่ว่าซางเฉาจงจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร นางก็จะใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ เสมือนตอไม้แห้งเฉา ใช้ชีวิตไปวันๆ
ภายในสวน หลานรั่วถิงประสานมือทัก “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพ ท่านหญิง” เขาล้วงจดหมายฉบับหนึ่งในแขนเสื้อให้ซางเฉาจง เอ่ยเสียงเบา “จดหมายจากเต้าเหยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินว่าจดหมายจากเต้าเหยี่ย ดวงตาซางซูชิงพลันเปล่งประกายทันที จ้องมองจดหมายในมือพี่ชายไม่วางตา
ซางเฉาจงรับจดหมายไปอ่าน จู่ๆ ก็แสดงสีหน้าตกตะลึง แววตาสับสนตกใจ ยื่นจดหมายส่งให้เหมิงซานหมิงอ่านต่อ
หลังจากเหมิงซานหมิงอ่านจบก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน จดหมายถูกยื่นส่งให้ซางซูชิงเป็นคนสุดท้าย
เนื้อความคร่าวๆ ในจดหมายคือ สำนักหยกสวรรค์จะถูกไล่ออกจากมณฑลหนานโจวไปสู่มณฑลเป่ยโจว ส่วนสำนักเขามหายานจากมณฑลเป่ยโจวจะย้ายมารับช่วงต่อมณฑลหนานโจวแทนสำนักหยกสวรรค์ เมื่อถึงเวลานั้นจะมีคนเข้ามาดูแลควบคุมสถานการณ์ก่อน ให้ทางนี้เตรียมให้ความร่วมมือไว้
ทั้งกลุ่มมองหน้ากัน รู้สึกยากจะเชื่อได้
ซางเฉาจงเอ่ยเสียงเบา “สำนักหยกสวรรค์กำลังจะไปแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่เห็นวี่แววความผิดปกติจากคนของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่กับทางเราเลยล่ะ?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยผู้นั้นเป็นเช่นนี้เสมอมา หากไม่ถึงที่สุดจะไม่เผยหน้าไพ่ ไม่มีทางปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามรู้แผนการที่วางไว้ง่ายๆ แล้วก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พลิกสถานการณ์ง่ายๆ เช่นกัน ในเมื่อเขาจัดแจงมาเช่นนี้ แสดงว่าเขาย่อมวางแผนไว้แล้ว ท่านอ๋องให้ความร่วมมือเสียก็พอพ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องกับสำนักหยกสวรรค์จนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว การขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไปจากหนานโจวได้ย่อมเป็นผลดี ไม่มีเสียต่อพวกเรา”
หลานรั่วถิงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ช่างร้ายกาจจริงๆ! ก่อนหน้านี้บีบคั้นจนเซ่าผิงปอต้องหนีออกจากเป่ยโจวไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนอันใดเลย ตอนนี้ก็กำลังจะขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไปอีก แต่ละเรื่องล้วนมิใช่เรื่องเล็กๆ รู้เพียงว่าเขาออกไปตะลอนอยู่ด้านนอก กลับจัดการเรื่องราวได้อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำได้อย่างไร คนผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกนับถือเขาเลยจริงๆ”
ซางเฉาจงเอ่ยว่า “ตามเนื้อความในจดหมาย เป็นเพียงการสลับเขตมณฑลกัน หลายปีมานี้เศรษฐกิจของเป่ยโจวไม่เลวเลย สำนักหยกสวรรค์เองก็ไม่เสียเปรียบเช่นกัน”
“ไม่เสียเปรียบหรือ? เต้าเหยี่ยคนนี้ของพวกเรามิใช่คนมีเมตตาอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ!” หลานรั่วถิงถามกลับไป “ท่านอ๋องทรงลืมแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เต้าเหยี่ยให้พวกเรารับตัวเซ่าเติงอวิ๋นเข้ามาอย่างลับๆ?”
ใบหน้าของซางเฉาจงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ในทันใด ก่อนหน้านี้นึกว่ารับตัวเซ่าเติงอวิ๋นที่อยู่ห่างไกลโพ้นไปก็ไม่มีประโยชน์ใดมากนัก ดีไม่ดีอาจจะยั่วโทสะราชสำนักแคว้นเยี่ยนให้ทำตัวเป็นสุนัขจนตรอกได้ เพิ่งจะเข้าใจขึ้นมาในยามนี้ ที่แท้ก็เป็นการขุดหลุมพรางไว้สำหรับสำนักหยกสวรรค์
เหมิงซานหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ทอดถอนใจว่า “วางแผนพิชิตศึก ไม่ต้องออกรบก็สยบศัตรูได้ เต้าเหยี่ยคนนี้เชี่ยวชาญการวางแผนพลิกแพลงสถานการณ์อย่างแท้จริง! ท่านอ๋องได้รับความช่วยเหลือจากเต้าเหยี่ย นับเป็นวาสนาของท่านอ๋องแล้ว เสมือนได้รับกองทหารนับล้านนายพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงถือจดหมายอยู่เงียบๆ ฟังคำชมเชยของทุกคนไป น่าแปลกนักที่นางรู้สึกราวกับชมเชยตัวนางอยู่เช่นกัน ในใจเต็มไปด้วยความหวานชื่น เงาร่างของคนผู้นั้นที่นั่งหลับตาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้นางหวีเกล้าผมผุดขึ้นมาในหัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกครั้งในยามใด…
….
ณ วังเหินเวหา ภายในหอคอยงามวิจิตรมีปุบผางามสะพรั่งคอยขับเน้น เผิงโย่วไจ้นั่งเงียบอยู่เพียงลำพัง เหลียวมองรอบข้างเป็นระยะ ไอรีนโนเวล
เขาค่อนข้างแปลกใจ ไม่รู้ว่าจู่ๆ วังเหินเวหาเรียกพบตนเป็นการด่วนด้วยเรื่องใด ทำให้เขาต้องเร่งเดินทางกระหืดกระหอบมา
ภายในหอคอย ประตูใหญ่สลักลายลงยาทองพลันเปิดออก หลงซิวประมุขวังเหินเวหาเดินนำคนกลุ่มหนึ่งออกมา
เผิงโย่วไจ้ลุกขึ้นคารวะทันที “คารวะท่านประมุข”
หลงซิวยิ้มพลางกดมือลง สื่อว่าให้เขานั่งได้ ส่วนตนก็นั่งลงในตำแหน่งประธาน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ให้เจ้าต้องเดินทางมาเสียไกล ลำบากเจ้าแล้ว”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยอย่างสุภาพ “เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่ทราบว่าท่านประมุขเรียกพบผู้น้อยด้วยมีเรื่องใดจะสั่งการขอรับ?”
หลงซิวถาม “ทางฝั่งหนานโจว ความขัดแย้งที่มีต่อหนิวโหย่วเต้าและซางเฉาจงยังไม่คลี่คลายกระมัง?”
เผิงโย่วไจ้ตอบว่า “ไม่กระทบถึงภาพรวมของหนานโจวแน่ขอรับ”
หลงซิวเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “สำนักเขามหายานที่อยู่ทางเป่ยโจวมีสายสัมพันธ์อันดีกับหนิวโหย่วเต้า สำนักเขามหายานประสงค์จะส่งมอบเป่ยโจวให้สำนักหยกสวรรค์ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
เผิงโย่วไจมึนงง เอ่ยด้วยความสงสัย “ผู้น้อยไม่เข้าใจ ท่านประมุขหมายความว่าอย่างไร?”
หลงซิวเอ่ยว่า “ประสงค์จะส่งเป่ยโจวกลับสู่แคว้นเยี่ยน สำนักเขามหายานกลับตัวกลับใจได้ การกระทำนี้นับว่ามีคุณูปการ เขาจะคืนเป่ยโจวให้ พวกเราก็ไม่อาจเอาเปรียบเขาได้ เอาเช่นนี้เถอะ สำนักหยกสวรรค์ของพวกเจ้าก็ส่งมอบหนานโจวไป ยกให้สำนักเขามหายาน ส่วนเป่ยโจวก็จะตกเป็นของพวกเจ้า”
“นี่…” เผิงโย่วไจ้ผุดลุกด้วยความตกใจ กะทันหันเกินไปจริงๆ
หลงซิวขมวดคิ้ว “ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ?”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ทางฝั่งแคว้นหานก่อศึกกับแคว้นเยี่ยนเพื่อเป่ยโจวมาโดยตลอด ทุ่มเทไปมหาศาล ไหนเลยจะยอมสละได้ง่ายๆ หากสำนักหยกสวรรค์เราเข้าไป มิเท่ากับเอาตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางสงครามแก่งแย่งทันทีหรือขอรับ?”
หลงซิวเอ่ยว่า “กังวลมากไปแล้ว สำนักเขามหายานและตระกูลเซ่ายินยอมพร้อมใจมอบเป่ยโจวกลับมา จะทำการส่งมอบให้อย่างราบรื่น พวกเจ้าแค่เข้าไปรับช่วงต่อเท่านั้น ไม่มีความขัดแย้งหรือการต่อต้านจากภายในแน่นอน ไพร่พลในเป่ยโจวและราชสำนักมีใจเป็นหนึ่งเดียว ร่วมมือกันต่อต้านศึกนอก หากทางแคว้นหานไม่พอใจแล้วจะทำอย่างไรได้? คิดจะบังคับกันก็คงไม่ได้กระมัง!”
เผิงโย่วไจ้ไหนเลยจะยอมละทิ้งสถานที่ที่ตนลงหลักปักฐานไปแล้วง่ายๆ ประสานมือเอ่ยถาม “ขอบังอาจเรียนถามท่านประมุข ทางวิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณทราบเรื่องแล้วหรือขอรับ?”
“เรื่องนี้พวกเราหารือกันเรียบร้อยแล้ว มณฑลแลกมณฑล สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่เสียเปรียบเช่นกัน”
เสียงหนึ่งแว่วเข้ามาจากทางประตู ประตูใหญ่สลักลายยาทองเปิดออกอีกครั้ง มีคนสองคนเดินออกมา
……………………………………………………………………..