บทที่ 587 เปลี่ยนแปลงท่าที
……….
บทที่ 587 เปลี่ยนแปลงท่าที
“พอใจรึยังครับ?” หลังเจียงอวี่กลับไปแล้ว อู๋ฝานจึงมองสวี่จื่อฉีพลางถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉัน… ฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้” สวี่จื่อฉีเอ่ยขอโทษจากใจจริง
สวี่จื่อฉีไม่ได้ชอบอะไรในตัวเจียงอวี่ ดังนั้นตอนที่อีกฝ่ายมาขอเป็นคู่เต้นรำ ก้นบึ้งหัวใจของเธอจึงปฏิเสธไปก่อนความคิด แต่เพราะความแตกต่างทางสถานะระหว่างเธอกับอีกฝ่าย หากปฏิเสธตามตรงมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายโกรธแค้นจนสุดท้ายอาจปฏิเสธไม่สำเร็จซะด้วยซ้ำ
ดังนั้นเธอจึงคิดใช้อู๋ฝานที่อยู่ข้าง ๆ เป็นโล่ เพราะตอนที่เห็นอีกฝ่ายมาถึงงาน พ่อลูกตระกูลเจียงต่างก็เข้าไปทักทายด้วยตัวเองเป็นอย่างดี หญิงสาวจึงคิดว่าเจียงอวี่และอู๋ฝานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากเธออ้างเป็นคู่เดตกับชายหนุ่มแทนขึ้นมา เจียงอวี่ก็น่าจะกล้ำกลืนยอมรับไปเอง
แต่ไม่ได้คาดว่าแท้จริงแล้วสัมพันธ์ระหว่างเจียงอวี่และอู๋ฝานจะเลวร้าย เพราะการกระทำของเธอเมื่อครู่ จึงทำให้ข้อพิพาทระหว่างคนทั้งสองยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“แค่ขอโทษก็จบเหรอครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ถ้าอย่างนั้นต้องการอะไรกันคะ?” สวี่จื่อฉีเอ่ยถาม
“ในเมื่อใช้ผมเป็นโล่ ผมก็ควรได้รับการตอบแทนอย่างที่ควรจะได้รับนะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
“คะ?“ สวี่จื่อฉีเริ่มมองอู๋ฝานด้วยความระแวดระวัง
“คะ ทำไมล่ะครับ? ไปเอาไวน์มาให้ผมหน่อยเป็นไง” อู๋ฝานตอบกลับ “แล้วก็เมื่อกี้บอกว่าเป็นคู่เดตกับผมใช่ไหมครับ? ถ้างั้นวันนี้ผมเดินไปตรงไหนคุณก็ต้องไปด้วย”
“คะ?”
“งงอะไรครับ? รีบไปสิครับ”
“ค่ะ” สวี่จื่อฉีตอบรับราวกับยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่ขากลับเดินไปหยิบเครื่องดื่มให้แล้ว
“ก็ดูไม่ได้เลวร้ายนะ” สวี่จื่อฉีที่ได้สติกลับคืนจึงพูดกับตัวเอง
หากเทียบกับการต้องเต้นรำกับเจียงอวี่และนายน้อยคนอื่น ๆ เธอมองว่าตอนนี้ดีกว่ามาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเอารัดเอาเปรียบ
ตอนที่สวี่จื่อฉีกลับมาพร้อมแก้วไวน์ พี่จ้าวก็ไม่อยู่แล้ว แต่อู๋ฝานก็ไม่ได้อยู่ตามลำพัง เพราะมีกลุ่มชายสูงอายุมายืนรายล้อม
สวี่จื่อฉีเคยให้ความสนใจกับกลุ่มชายสูงอายุเหล่านี้มาก่อน เรียกได้ว่าพวกเขาถือเป็นจุดสนใจในงานเลี้ยงก่อนอู๋ฝานจะมาก็ไม่ผิด เธอได้ยินจากพี่จ้าวว่าพวกเขาคือคนในแวดวงผู้ฝึกตน คนในแวดวงดังกล่าวเป็นอย่างไร หญิงสาวย่อมเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน สำหรับเธอแวดวงดังกล่าวทั้งลึกลับและทรงอำนาจ แม้กระทั่งคนร่ำรวยและมากอำนาจยังไม่กล้ามีเรื่องกับคนในแวดวงนั้นอย่างบุ่มบ่าม กระทั่งว่ามีคนไม่น้อยรู้สึกภาคภูมิที่ได้รู้จักกับคนในแวดวงผู้ฝึกตนด้วยซ้ำ
เมื่อครู่สวี่จื่อฉีได้ตระหนักว่าหลายคนต่างต้องลอบมองกลุ่มชายชราและคิดอยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยสักหลายคำ แต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า แน่นอนว่ามีคนที่เข้าไปด้วยเช่นกัน ทว่าพวกเขาต่างก็มีท่าทีสุภาพนอบน้อม เป็นการบ่งบอกว่ากลุ่มคนสูงอายุเหล่านี้มีสถานะสูงส่งขนาดไหน
และตอนนี้กลุ่มคนที่เคยสงวนท่าทีก่อนหน้า ซึ่งแม้กระทั่งกลุ่มผู้มั่งคั่งแห่งเจียงโจวเข้าไปพูดคุยด้วยพวกเขายังไม่ยิ้มตอบ ทั้งยังวางตัวสูงส่งและเมินเฉย แต่ขณะนี้เมื่อมายืนข้าง ๆ อู๋ฝาน พวกเขากลับมีท่าทีเปลี่ยนแปลง สีหน้าที่แสดงออกต่างก็ยิ้มแย้ม สวีจื่อฉีกระทั่งได้เห็นความลำบากใจที่แอบซ่อนอยู่ในรอยยิ้มเหล่านั้นด้วย
สวี่จื่อฉีกระทั่งคิดว่าตาฝาดไปด้วยซ้ำ แต่หลังมองให้ดีก็พบว่าสิ่งที่เห็นถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน
กลุ่มคนที่ข่มขวัญผู้อื่นจนแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุยด้วยก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังแสดงท่าทีผูกมิตรและซ่อนความกลัวไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าอู๋ฝาน มันเป็นภาพที่สวี่จื่อฉียากจะเข้าใจหรือจินตนาการถึง
“นับตั้งแต่ได้พบกันครั้งก่อน ผมก็อยากเจอนายน้อยอู๋อีกครั้งมาโดยตลอดครับ แต่เรื่องราวทางโลกช่างวุ่นวายไม่เคยเปลี่ยน จนวันนี้ในที่สุดก็มีโอกาสได้พบนายน้อยอู๋อีกครั้ง” ผู้อาวุโสเทียนเหอเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ผมเองก็ได้ยินชื่อเสียงนายน้อยอู๋มานาน พอได้เจอกับตัวเองถึงได้ทราบว่าวิเศษยิ่งกว่าที่ผู้คนร่ำลือ”
“หากนายน้อยอู๋มีเวลา แวะเวียนมาเป็นแขกของพวกเราวังเมฆาล่องได้นะครับ เจ้าวังของพวกเรานับถือนายน้อยอู๋มานานแล้ว หวังว่าจะได้ผูกมิตรด้วยครับ”
กลุ่มคนเฒ่าคนแก่เหล่านี้กำลังเผยสีหน้ายิ้มแย้มให้อู๋ฝาน เรียกได้ว่าแตกต่างจากท่าทีจริงจังต่อผู้คนก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ
คนของโลกเบื้องหน้าค่อนข้างให้ความสนใจกับเรื่องราวของแวดวงผู้ฝึกตน แต่พวกเขาไม่ทราบอะไรมากมายนัก จากความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของวังเมฆาสีชาด ทางฝั่งห้าตระกูลใหญ่ยังไม่ทราบแน่ชัดด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าคนของสำนักอื่นใกล้เคียงในเจียงโจวต่างทราบรายละเอียดดีกว่าตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้นจึงได้ทราบว่าเจ้าวังเมฆาสีชาดมีการเปลี่ยนคน และได้ทราบด้วยว่าบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวคืออู๋ฝาน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ทรงอำนาจเช่นชายหนุ่ม สำนักอื่นในเจียงโจวย่อมไม่อยากขัดแย้งด้วย ทั้งยังต้องการจะผูกมิตร หรืออย่างน้อยก็อยากแสดงเจตนาดีให้อีกฝ่ายเห็น ดังนั้นกลุ่มชายชราที่เป็นผู้อาวุโสนอกสำนักของเจียงโจว ซึ่งในสายตาของเจียงฟั่นโจวและคนอื่นมีสถานะอันสูงส่ง แต่หากเทียบเปรียบกับอู๋ฝานที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของสำนักแห่งหนึ่งได้ พวกเขาจึงยินดีจะนอบน้อมและยำเกรงยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย
ไม่มีใครคิดอยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับบุคคลที่ทั้งทรงอำนาจและลึกลับอย่างอู๋ฝาน
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านครับ ถ้ามีโอกาส ผมจะไปเยี่ยมเยือนที่สำนักอย่างแน่นอนครับ” อู๋ฝานตอบรับ
ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงเจตนาดีของกลุ่มคน แต่จากคำบอกเล่าของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ เขาก็ทราบดีว่าคนในแวดวงนี้โหดเหี้ยมอย่างไร พวกเขาโหดเหี้ยมได้อย่างที่คนของโลกเบื้องหน้ายากจะจินตนาการถึง บางทีวันนี้นับถือเป็นพี่น้อง ทว่าวันพรุ่งนี้พร้อมจะเปลี่ยนท่าทีเพื่อสังหารก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
แต่เบื้องหน้าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคนเหล่านี้ แค่คอยระวังเอาไว้ในใจก็มากพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธท่าทีผูกมิตรของกลุ่มคน
ขณะนี้เองที่สวี่จื่อฉีกลับมาพร้อมแก้วไวน์ อู๋ฝานรับมาจากมือของเธอก่อนจะเผยท่าทีให้กับกลุ่มคน “ผมขอดื่มอวยพรให้ทุกท่านครับ”
กลุ่มผู้อาวุโสนอกสำนักเหล่านี้ต่างก็รับผิดชอบงานของโลกเบื้องหน้า ดังนั้นการดื่มกินจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
เมื่อเห็นสวี่จื่อฉียืนเคียงข้างอู๋ฝานราวกับเชื่อฟัง กลุ่มชายชราจึงคล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
“นายน้อยอู๋ดูจะมีธุระ เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนแล้วครับ” ผู้อาวุโสเทียนเหอเอ่ยขึ้น
คนอื่นต่างก็คิดเห็นแบบเดียวกัน แต่ก่อนไปพวกเขาต่างพยักหน้าให้สวี่จื่อฉีพร้อมรอยยิ้ม มันถึงกับทำให้เธอรู้สึกเป็นเกียรติขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ฉันมารบกวนรึเปล่าคะ?” หลังเห็นว่าตอนที่ตนเองมาถึงกลุ่มคนก็พร้อมใจกันแยกย้าย สวี่จื่อฉีจึงคิดว่าตัวเองเข้ามารบกวนการสนทนาของอู๋ฝาน
“ไม่หรอกครับ” อู๋ฝานส่ายหน้า “ผมไม่ได้มีอะไรจะพูดคุยกับพวกเขาอยู่แล้ว”
แม้คนเหล่านั้นมีท่าทีดี ๆ ให้ แต่พวกเขาต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเองกันทั้งสิ้น อู๋ฝานที่เพิ่งใช้วังเมฆาสีชาดสร้างฐานอำนาจขึ้นมาทราบดีอยู่แก่ใจ ว่าพวกเขาเหล่านี้มีความในใจอะไรอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าต้องการผูกมิตรเข้าหา ทว่าอีกทางหนึ่งก็ระแวดระวัง เจียงโจวกว้างใหญ่และมีทรัพยากรให้ตักตวงมากมาย เมื่อใดที่ปัจจัยอันไม่แน่นอนอย่างเขาโผล่ขึ้นมา สำนักทั้งหลายจะไม่ยินดีต้อนรับก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
……….