บทที่ 580 เล่นกับความรู้สึก
……….
บทที่ 580 เล่นกับความรู้สึก
“เมื่อกี้เถ้าแก่บอกว่าไม่ไปไม่ใช่เหรอคะ?” เฉินปิงเหยาส่งเทียบเชิญให้พลางถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้มันเปลี่ยนใจกันได้ครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไปร่วมงานหาความสนุกก็ไม่เลว”
“ถ้านายน้อยอู๋ไปงานเลี้ยงวันนี้ ที่งานจะต้องมีสีสันมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ”
“เยี่ยมไปเลยครับ เมื่อกี้ตอนนายน้อยอู๋บอกว่าจะไม่ไป ผมก็ว่าจะไม่ไปเพราะงานคงน่าเบื่ออยู่แล้วเชียว ถ้ามีงานเลี้ยงแต่ขาดนายน้อยอู๋จะมีสีสันอะไรกันล่ะ จริงไหมครับ? ในเมื่อตอนนี้นายน้อยอู๋เปลี่ยนใจแล้วผมก็จะไปร่วมงานด้วยแน่นอนครับ”
กลุ่มคุณชายน้อยใหญ่ทั้งหลายตอนนี้กำลังตื่นเต้นที่เห็นอู๋ฝานเปลี่ยนใจ ในที่นี้ใครบ้างจะไม่ยินดีหากมีโอกาสได้เข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น?
“คงไม่ใช่เปลี่ยนใจเพราะสวี่จื่อฉีใช่ไหมคะ?” หลังกลุ่มนายน้อยเหล่านั้นขึ้นไปใช้บริการห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง เฉินปิงเหยาจึงมองอู๋ฝานด้วยความสงสัยพลางสอบถาม
“ถือว่าสายตาเฉียบแหลมอยู่นะครับ” อู๋ฝานหัวเราะ
“เพราะท่าทีของเถ้าแก่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนต่างหากล่ะคะ” เฉินปิงเหยาลูบผมตัวเองพลางตอบ “ตอนเถ้าแก่ได้ยินเรื่องเทียบเชิญจากตระกูลเจียงยังปฏิเสธโดยไม่คิด แต่พอคนพวกนั้นพูดว่าสวี่จื่อฉีก็มาร่วมงานด้วย คุณก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหันจนเห็นได้ชัด ไม่ให้เดาถูกได้ยังไงกันล่ะคะ”
อู๋ฝานพยักหน้าตอบ “ครับ ผมไปก็เพราะเธอจริง ๆ”
“เป็นแฟนคลับเธอคนนั้นเหรอคะ?” เฉินปิงเหยาเอ่ยถาม “หรือมีความคิดอื่นกับเธอกันแน่คะ?”
ในใจเฉินปิงเหยาคล้ายจะมีแนวโน้มเชื่อเหตุผลหลังมากกว่า
สถานะของอู๋ฝานคือผู้มีอิทธิพลในเจียงโจว และอิทธิพลในทั่วทั้งเจียงโจวของเขาก็ไม่น้อยด้วยเช่นกัน
ดาราในวงการบันเทิงย่อมเป็นที่หมายปองของผู้คนมากมาย แต่ในสายตาของผู้มั่งคั่งและทรงอำนาจที่แท้จริงนั้นแทบไม่นับเป็นอะไรเลย และจากท่าทีก็ไม่คล้ายว่าอู๋ฝานจะเป็นแฟนคลับของสวี่จื่อฉี
ในเมื่อไม่ใช่แฟนคลับ แต่กลับไปเพราะสวี่จื่อฉี ความเป็นไปได้ที่สองจึงมีโอกาสถูกต้องสูง
สวี่จื่อฉีได้รับการยอมรับว่าเป็นโฉมงามแห่งยุค แม้ในวงการบันเทิงจะมีโฉมงามคนอื่นอีกมากมาย แต่สาวงามที่เลิศล้ำเช่นนั้น คนหนุ่มร่ำรวยและมากด้วยอำนาจอย่างอู๋ฝาน หากจะมีความคิดอะไรต่อคนอย่างหญิงสาวก็ไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
“ผมไม่ใช่แฟนคลับเธอครับ” อู๋ฝานส่ายหน้า เนื่องจากเขาไม่ได้มีความประทับใจดี ๆ ให้กับอีกฝ่าย แล้วจะเอาอะไรไปเป็นแฟนคลับเธอคนนั้น?
“เหตุผลที่สองสินะคะ?” เฉินปิงเหยาจ้องมองชายหนุ่มพลางถาม
“ผู้จัดการเฉิน ผมเพิ่งรู้ตัววันนี้เองนะครับว่าคุณชอบข่าวซุบซิบในวงการบันเทิงไม่น้อย” อู๋ฝานมองเฉินปิงเหยาพลางตอบ “แล้วผมเนี่ยนะจะไปคิดอะไรกับสวี่จื่อฉี? แค่เจอผมยังไม่เคยด้วยซ้ำ ต้องขอบอกตรงนี้ด้วยว่าผมไม่มีความประทับใจอะไรกับเธอคนนั้น และผมก็คิดว่าเธอไม่สวยเท่าผู้จัดการแน่นอนครับ”
“ฉันเทียบเธอคนนั้นไม่ไหวหรอกค่ะ” เฉินปิงเหยาหน้าแดงขึ้นมา หลังคุ้นชินกับอู๋ฝาน เธอก็ทราบดีว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนจริงจังอะไร ดังนั้นสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองจึงไม่ได้เป็นเหมือนเจ้านายและลูกน้อง แต่เป็นเพื่อนที่ทำงานร่วมกันมากกว่า
“แต่ว่านะคะ ถ้าเจอเธอคนนั้นแล้วพอจะถ่ายรูปมาให้หน่อยได้รึเปล่า?” เฉินปิงเหยาเอ่ยขอกับอู๋ฝาน
“ครับ? กลายเป็นว่าแฟนคลับของเธอคือคุณซะเอง?” ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ ฉันฟังเพลงของเธอเยอะเลย ดูรายการทีวีที่เธอไปออกด้วยค่ะ” เฉินปิงเหยาตอบกลับ
“ฝากผมถ่ายรูปเธอคนนั้น กลัวว่าจะทำให้คุณต้องผิดหวังแล้วละครับ” เขามองหญิงสาวพลางตอบ “ผมไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่ครับ กลัวจะไปชวนทะเลาะมากกว่า”
“ชวนทะเลาะ? เมื่อกี้บอกว่าไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอคะ? แล้วจะไปทะเลาะอะไรกัน?” เฉินปิงเหยาถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่รู้จักก็จริง แต่มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับการที่ผมไม่ชอบเธอขนาดจะชวนทะเลาะหรอกนะครับ” อู๋ฝานตอบ “ดังนั้นถ้าหวังว่าจะให้ผมถ่ายรูปให้ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ครับ”
เฉินปิงเหยามองอู๋ฝานด้วยความสับสน เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงตอบกลับมาแบบนี้ แต่ขณะกำลังจะเอ่ยถามต่อ พนักงานในร้านกลับกำลังหาตัว สุดท้ายจึงทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้ขณะกลับไปทำงาน
อู๋ฝานมองเทียบเชิญสีทองในมือพลางพึมพำ “ตระกูลเจียงร่ำรวยดีจริง ๆ ถึงกับทำเทียบเชิญแบบนี้ให้ทุกคนได้”
แม้เกาหานจะไปติดต่อหาคนดังคนอื่น แต่มันก็จะดีที่สุดหากสวี่จื่อฉีเปลี่ยนใจ ดังนั้นตอนได้ทราบว่าเธอจะมาร่วมงานเลี้ยง เขาจึงตอบรับเทียบเชิญนี้เอาไว้
เพราะสวี่จื่อฉีปฏิเสธความร่วมมือมาหลายครั้ง อู๋ฝานจึงไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้เธอเปลี่ยนใจได้หรือไม่ กระทั่งรู้สึกว่าระหว่างสองฝ่ายในเวลานี้เริ่มมีความไม่พอใจรุนแรงมากขึ้นซะด้วยซ้ำ
หลังช่วงบ่าย อู๋ฝานไปโรงงานเครื่องดื่ม สถานการณ์ของที่นี่ค่อนข้างดี ทั้งรสชาติและสรรพคุณของชาตื่นรู้ทำให้ยอดขายเติบโต ลูกค้าที่ได้ซื้อไปดื่มต่างก็พึงพอใจกันถ้วนหน้า
เนื่องจากมันยังเป็นสินค้าใหม่ จำนวนคนที่รู้จักยังมีน้อย แม้จะมีชื่อเสียงที่ดี แต่ยังไม่แพร่กระจายและรู้จักเป็นวงกว้าง ถึงยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มเป็นไปทีละน้อยไม่เหมือนไวน์สุดเหนือเมฆ
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าอู๋ฝานหรือจิงเฟิงต่างก็รู้สึกอยากรีบผลักดันสินค้า เนื่องจากสินค้าของพวกเขามีคุณภาพอย่างไร้ข้อกังขา พวกเขาเริ่มต้นได้ดีแล้ว เมื่อชื่อเสียงเริ่มแพร่กระจายออกไป มันก็สามารถเพิ่มยอดขายได้จริง ๆ แต่แน่นอนว่าการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อเป็นการผลักดันให้ชาตื่นรู้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
หากเทียบเปรียบกับสภาพอารมณ์ของอู๋ฝาน สวี่จื่อฉีในเวลานี้กำลังดิ่งลงเหว พี่จ้าวกลัวว่าเธอจะคิดทำอะไรขึ้นมา จนส่งผลกระทบต่อกำหนดการในช่วงเย็นและวันถัดไป ครึ่งวันช่วงบ่ายนี้จึงไม่ยอมให้เธอออกไปไหน อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าก็ทำให้อารมณ์ของเธอพังทลายไปหมดแล้ว แม้จะอยากออกไปแต่ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
แม้งานเลี้ยงของตระกูลเจียงจะจัดขึ้นช่วงราวหนึ่งทุ่ม แต่สวี่จื่อฉีจำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนหน้านั้น ทั้งยังต้องไปถึงก่อน ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งหน้าก็ยังต้องใช้เวลา ไม่แปลกหากจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้
“ฉันไม่ไปงานเลี้ยงอะไรนั่นค่ะ บริษัทอยากไปก็ไปเองสิคะ” หญิงสาวพลิกตัวไปมาบนเตียง ก่อนจะใช้ผ้าห่มปิดบังใบหน้าพลางตอบกลับ
พี่จ้าวยิ้มก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียง “ยังโกรธอยู่เหรอ? ที่บริษัทจัดการแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่ามันดีกับตัวเธอรึไงกัน?”
สวี่จื่อฉีลดผ้าห่มลงก่อนจะลุกขึ้นนั่ง สายตาจ้องพี่จ้าวพร้อมตอบ “บริษัทก็เอาแต่อ้างแบบนี้ ตอนแรกสัญญากับฉันว่าจะให้เที่ยวเล่นในเจียงโจวหลายวัน แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจมาทำแบบนี้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะ พี่จ้าวไม่คิดว่ามันมากเกินไปรึไงคะ?”
“แล้วยังไงล่ะ? มันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? เธอเองก็รู้ว่าโอกาสแบบนี้เป็นอะไรที่คนมากมายต้องการ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับด้วยซ้ำ มันคือโอกาสครั้งใหญ่ ทางบริษัทเสียเงินและทุ่มเทให้กับเธอมาก เธอเองก็ควรตอบแทนนะ” พี่จ้าวตอบกลับ
สวี่จื่อฉีจ้องพี่จ้าวราวกับคิดจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับลงท้องไป เพราะเธอทราบดีอยู่แก่ใจว่า แม้พี่จ้าวจะเป็นผู้จัดการให้ตนมายาวนานหลายปี และคอยติดตามเธอไปไหนมาไหน ทว่าในใจของอีกฝ่าย บริษัทยังคงมาก่อนเสมอ สิ่งที่พี่จ้าวคอยรับใช้คือบริษัท ไม่ว่าเธอจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นยังไงอีกฝ่ายก็จะพยายามบ่ายเบี่ยงและมองข้ามอยู่ดี
……….