บทที่ 441 มาถึงนครเหยียนหยาง
บทที่ 441 มาถึงนครเหยียนหยาง
“ลุกขึ้นเถอะครับ ผมเข้าใจเรื่องที่คุณต้องการจะพูด” อู๋ฝานตอบกลับ
สวีฮุ่ยลุกขึ้นด้วยความว้าวุ่นใจ ทว่าตอนนี้เพราะถูกสั่งจึงไม่กล้าคุกเข่าลงตรงหน้าอู๋ฝานอีกเป็นครั้งที่สอง
“ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ครับ นับตั้งแต่วันที่ผมรับปากจะเป็นเจ้าหอของพวกคุณ ผมก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด เพราะในโลกข้างนอกผมมีธุรกิจของตัวเองต้องดูแล ผมไม่ใช่คนของที่นี่ครับ” อู๋ฝานอธิบาย “ส่วนเรื่องตำแหน่งเจ้าหอ ผมว่าคุณเหมาะสมยิ่งกว่าผมอีกนะครับ”
“เจ้าหอคะ ฉัน…” สวีฮุ่ยหวาดกลัวจนแทบจะคุกเข่าลงอีกครั้ง แต่อู๋ฝานคว้าแขนของเธอเอาไว้เป็นการห้าม “ผมไม่ได้ทดสอบหรืออะไรครับ ผมพูดออกมาจากใจจริง”
“แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมจะรับตำแหน่งเจ้าหอค่ะ” สวีฮุ่ยเห็นว่าอู๋ฝานไม่ได้มีเจตนาทดสอบหรือล้อเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่สวีฮุ่ยกล่าวออกมาไม่ใช่การถ่อมตัว แต่เธอรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเทียบกับอู๋ฝานได้ อีกฝ่ายคือคนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำอย่างแท้จริง แม้ช่วงที่ได้เป็นเจ้าหอจะไม่นานนัก แต่กลับนำพาความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่หอคันธะสงัด ไม่แปลกหากเธอจะรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเทียบชายหนุ่มได้
“แต่ผมคิดว่าคุณเหมาะสมจะเป็นเจ้าหอยิ่งกว่าใครเลยครับ” อู๋ฝานตอบกลับ
สวีฮุ่ยมองอู๋ฝานด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าหอ ฉันทราบความสามารถของตัวเองดีค่ะ บางทีต่อไปฉันอาจมีความสามารถและเหมาะสมจะเป็นเจ้าหอ แต่ไม่ใช่กับตอนนี้แน่นอนค่ะ ฉันรู้ดีว่าท่านมีเรื่องทางโลกที่ต้องสนใจ ถ้าท่านต้องการไปฉันก็ไม่อาจห้าม ทว่าขอร้อง ท่านอย่าได้ลงจากตำแหน่งเจ้าหอเลยนะคะ ท่านยังเป็นเจ้าหอของพวกเราต่อไปได้ และฉันจะรับหน้าที่ดูแลที่นี่ในช่วงเวลานั้นให้เองค่ะ”
“เรื่องนี้อาจจะไม่ดีเท่าไหร่นะครับ” อู๋ฝานลังเล
หากยังรั้งตำแหน่งเจ้าหอ แต่ไม่ดูดีสำนัก มันออกจะเป็นการกระทำที่มากเกินไป
“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นค่ะ” สวีฮุ่ยตอบรับ “ท่านยังเป็นเจ้าหอของพวกเรา และพวกเราก็ยังเคารพท่านเหมือนที่เคยเป็นค่ะ”
อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไม่ได้ปฏิเสธออกไปอีกครั้ง อย่างไรสวีฮุ่ยก็อยู่ที่สำนัก เธอเป็นคนรักษาคำพูด และเมื่อเขาไม่อยู่ สถานะของเธอจะไม่ต่างอะไรกับเจ้าหอ ส่วนตนก็เป็นแค่เจ้าหอเพียงในนาม รอจนถึงเวลาที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่านี้ เมื่อนั้นจึงค่อยมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้เธอก็ยังไม่สายเกินไป
“เจ้าหอ ให้เหมยอวี่กับเหมยเสวี่ยติดตามท่านลงจากภูเขาไปด้วยนะคะ ท่านควรมีคนคอยติดตามรับใช้ข้างกาย” สวีฮุ่ยเอ่ยขึ้น “และหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ พวกเราจะได้ติดต่อหาท่านได้สะดวกค่ะ”
เดิมอู๋ฝานคิดที่จะปฏิเสธ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสวีฮุ่ยยอมถอยให้เท่าที่จะทำได้แล้ว อย่างไรเขาก็ยังเป็นเจ้าหอคันธะสงัด ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรือที่ไหนก็ยังเป็นเช่นนั้น หากมีคนคอยติดตามข้างกาย เพื่อให้ทราบข่าวคราวจากสำนักก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
หลังหารือจนได้ข้อสรุป อู๋ฝานจึงเตรียมเก็บของเดินทางกลับ แต่จริง ๆ แล้วเขาแทบจะไม่มีอะไรให้เก็บด้วยซ้ำ เนื่องจากตอนแรกก็ไม่ได้นำอะไรมาด้วยมากมาย
ขณะอู๋ฝานรับปากจะพาสองพี่น้องร่วมทางไปด้วย เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยก็เตรียมเดินทางลงจากภูเขา สวีฮุ่ยแจ้งทุกคนในสำนักให้มาส่งก่อนออกเดินทาง และทุกคนต่างก็มองอู๋ฝานด้วยสายตาที่ทั้งเคารพและนับถือ
แม้อู๋ฝานจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชี้แนะการฝึกฝนหรือการสร้างอาวุธให้ ต่างก็ทำให้กลุ่มคนได้ทราบถึงความยอดเยี่ยมของเขา ด้วยเหตุนั้นพวกเธอจึงเกิดความนับถือขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
“กลับกันไปเถอะครับ ไม่ต้องไปส่งพวกเราก็ได้” อู๋ฝานหันไปบอกพวกสวีฮุ่ย “ช่วงที่ผมไม่อยู่ที่นี่ ฝากดูแลคุ้มกันให้ดีด้วยนะครับ ก้าวหน้าไปด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีอะไรก็รีบแจ้งมานะครับ”
“รับทราบค่ะ” สวีฮุ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “หากฝั่งท่านขาดเหลืออะไรก็ติดต่อพวกเราได้นะคะ หอคันธะสงัดของเรามีกิจการที่โลกภายนอกเหมือนกัน ฉันได้บอกรายละเอียดกับเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยไปแล้ว บางทีอาจมีส่วนช่วยอะไรให้แก่เจ้าหอได้บ้างค่ะ”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือให้พวกสวีฮุ่ยและหันกลับเดินนำสองแฝดลงจากภูเขาไป
“คำนับเจ้าหอ!” สวีฮุ่ยและทุกคนจากหอคันธะสงัดต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
อู๋ฝานไปจากที่ตั้งสำนักของหอคันธะสงัดท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สำนัก
อู๋ฝานที่เดินทางลงจากภูเขาครั้งนี้มีสภาพจิตใจแตกต่างจากตอนขึ้นไป เนื่องจากต้องอยู่ที่หอคันธะสงัดมาเกือบครึ่งเดือน เรียกได้ว่าแทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จนแทบไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายของโลกยุคสมัยใหม่
เพียงลงมาถึงตีนเขา โทรศัพท์ของอู๋ฝานก็ส่งเสียงดังแจ้งเตือนไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะสายที่ไม่ได้รับหรือข้อความ ทั้งหมดกำลังระดมแห่แหนกันเข้ามา
คนที่ติดต่อหามีทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ถังอวี่เฟย หวังจื่อหมิง เกิ่งหย่าเฟย เฉินปิงเหยา เจ้าหย้าหนาน และอีกหลายคน กระทั่งโหวเสี่ยวกวงก็ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเดินทางไปด้วยขณะโทรติดต่อกลับหาแต่ละคน
ทั้งสามคนออกจากอาณาเขตของหอคันธะสงัดในช่วงเช้า จนกระทั่งไปถึงภูเขาเทียนเหลียงในช่วงเย็นจึงค่อยหาที่พักค้างคืน เพื่อเตรียมเดินทางกลับเจียงโจวในวันถัดไป
หลังช่วงเวลาเที่ยงคืน อู๋ฝานเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกม หลังเดินทางอยู่ครึ่งเดือน ในที่สุดพวกอู๋ฝาน ลั่วหยาง และลั่วเยวี่ยก็เดินทางมาถึงบริเวณชานเมืองหลวง เพียงเดินทางต่ออีกครึ่งวันก็จะไปถึงนครเหยียนหยาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเหยียนเฟิง
อู๋ฝานเรียกลั่วหยางกับลั่วเยวี่ยมาพูดคุย “จากระยะทางที่เหลือ พวกเราน่าจะได้ทานมื้อกลางวันที่นครเหยียนหยางพอดี”
ครึ่งวันของวันสุดท้ายที่เดินทางครั้งนี้ อู๋ฝานนั่งในรถลาก ไม่ได้ฝึกการปรุงยาอีกแต่อย่างใด
ช่วงเวลาที่ฝึกฝนอยู่ครึ่งเดือน ระดับการปรุงยาของอู๋ฝานก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ จากก่อนหน้าที่เป็นระดับสูงสู่ระดับมาสเตอร์ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใส่จี้หยกกระเรียนขาวก็เป็นนักปรุงยาระดับมาสเตอร์ที่แท้จริงแล้ว และเมื่อสำเร็จเป็นระดับมาสเตอร์ จี้หยกกระเรียนขาวก็จะไม่ส่งผลอะไรอีก ดังนั้นระดับการปรุงยาจึงยังคงเป็นมาสเตอร์เช่นที่เคย แต่หากเทียบกับก่อนหน้านี้ ระดับปัจจุบันคือของแท้ที่ติดตัว ความเข้าใจต่อการปรุงยาก็ค่อนข้างจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร
ทว่าสิ่งที่ทำให้อู๋ฝานนึกเสียดายอยู่บ้าง คือการที่ช่วงครึ่งเดือนมานี้ทำได้เพียงเร่งรีบเดินทาง แทบไม่มีเวลาได้ฝึกฝนเพิ่มเลเวล ดังนั้นเลเวลตัวละครจึงยังคงอยู่ที่สิบสาม อีกเรื่องหนึ่งคือแร่อุกกาบาตดวงดาวที่นำมาจากหมู่บ้านเร้นลับถูกใช้งานแทบหมดแล้ว เนื่องจากต้องใช้เพื่อสร้างอาวุธให้แก่คนของหอคันธะสงัด เรื่องดีก็คือจำนวนและชนิดของแร่ที่นำมาด้วยมีหลากหลาย ดังนั้นแม้ขาดแร่อุกกาบาตดวงดาวก็ยังมีประเภทอื่นติดตัวอยู่
“นายท่าน พวกเรามาถึงนครเหยียนหยางแล้วขอรับ!” ขณะอู๋ฝานครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ลั่วหยางก็ตะโกนด้วยเสียงตื่นเต้น
อู๋ฝานเปิดม่านของรถลากขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองออกไป ที่เห็นคือเมืองอันยิ่งใหญ่ตระการตา กำแพงเมืองสูงกว่าสามจั้ง สร้างขึ้นจากหินและก้อนอิฐ ประตูเมืองบานใหญ่เปิดกว้างมากพอให้รถลากสี่คันเรียงหน้าเข้าไปโดยพร้อมกันได้ และเหนือประตูมีป้ายแกะสลักคำว่า ‘นครเหยียนหยาง’ เอาไว้อย่างสะดุดตา
ประตูเมืองเปิดกว้าง ทว่ามีทหารคอยเฝ้าคุ้มกันตรวจตรา อีกทั้งยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าออก ไม่เหมือนดังผู้อพยพที่เสื้อผ้าขาดวิ่นซึ่งพบเห็นมาตลอดทาง คนเหล่านี้มีเรี่ยวแรงและจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้น อย่างไรสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองหลวงก็ดีกว่าผู้ที่อยู่ห่างไกลอยู่แล้ว
“เข้าเมืองกันเถอะ” อู๋ฝานลดม่านลงขณะบอกกับลั่วหยาง
“ขอรับ!” ลั่วหยางตอบรับพร้อมเคลื่อนรถลากไปทางประตูเมือง
‘ในที่สุดก็มาถึงนครเหยียนหยางสักที!’ อู๋ฝานลอบพึมพำอยู่ในใจ