บทที่ 434 หญิงรับใช้ทั้งสอง
บทที่ 434 หญิงรับใช้ทั้งสอง
หลังเที่ยงคืน อู๋ฝานก็เทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกมแทบจะในทันที เพราะโลกความเป็นจริงชวนเบื่อหน่ายจนเกินไป
แม้โลกความเป็นจริงจะน่าเบื่อ แต่โลกแห่งเกมก็ไม่ได้สนุกสนานสักเท่าไหร่ เนื่องจากตอนนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปยังเมืองหลวง ทุกวันคือการเดินทางอันเร่งรีบ อีกทั้งมักจะต้องเจอกับผู้อพยพในเส้นทางอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ทั้งวันในโลกแห่งเกมของอู๋ฝานคือการเร่งเดินทางจนกระทั่งเทเลพอร์ตกลับมาหลังพระอาทิตย์ตกดิน
หลังเทเลพอร์ตกลับมา อู๋ฝานก็นอนบนเตียงอีกพักหนึ่งจนฟ้าสาง ก่อนจะต้องลุกขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงดังมาจากภายนอก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจ้าหอ”
เพียงอู๋ฝานเปิดประตูห้องออกมา ก็ได้เห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนรออยู่ที่หน้าประตู และที่ทำให้ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นคือการที่คนทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกัน ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือส่วนสูงแทบไม่มีความแตกต่าง หากมองผ่าน ๆ แทบจะหาความแตกต่างไม่เจอเลยด้วยซ้ำ กระทั่งทำให้สงสัยว่าตาฝาดไปหรือไม่
พวกเธอเป็นฝาแฝด ทั้งยังเป็นฝาแฝดที่งดงามทั้งคู่ เมื่อพิจารณารูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุน้อยกว่าอู๋ฝาน
“ใครครับ? มาทำอะไรตรงนี้?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ฉันเหมยอวี่*[1]ค่ะ”
“ฉันเหมยเสวี่ย*[2]ค่ะ”
“อาจารย์สวีขอให้พวกเรามาคอยดูแลเจ้าหอค่ะ” ทั้งสองตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งสองคนถืออุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ สวีฮุ่ยคงจะจัดแจงส่งทั้งสองมาช่วยดูแลตน
“เหมยอวี่กับเหมยเสวี่ย? ชื่อฟังดูแปลกพอสมควรเลยนะครับ” อู๋ฝานรับคำ
“เป็นเหมย*[3]ที่หมายถึงดอกเหมยค่ะ” เด็กสาวคนที่เพิ่งแนะนำตัวว่าชื่อเหมยอวี่ตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังคิดว่าอู๋ฝานเข้าใจชื่อผิดเพี้ยนไป
“ขอโทษด้วยครับ” อู๋ฝานยิ้มเก้ ๆ กัง ๆ ตอบรับ “วางของไว้ แล้วก็กลับไปได้ครับ ผมจัดการตัวเองได้”
“ไม่ได้ค่ะ อาจารย์สวีกำชับพวกเราให้ดูแลเจ้าหอ อาจารย์กล่าวว่าเนื่องจากเจ้าหอมายังสำนักของพวกเราเป็นครั้งแรก อาจมีอะไรหลายอย่างไม่คุ้นชินค่ะ” เหมยเสวี่ยตอบรับ
“ไม่มีอะไรไม่คุ้นชินหรอกครับ ผมจัดการตัวเองได้” อู๋ฝานตอบ
เห็นได้ชัดว่าสวีฮุ่ยกำลังจะดูแลเขาประหนึ่งนายน้อยจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือไม่ก็คุณชายจากสำนักใหญ่สักแห่ง
“เจ้าหออย่าไล่พวกเราเลยนะคะ ถ้าพวกเราไม่ดูแลให้ดีจะถูกอาจารย์สวีต่อว่าค่ะ” เหมยเสวี่ยมองอู๋ฝานด้วยท่าทีเวทนา
“เข้มงวดขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” อู๋ฝานถามกลับ
“ใช่ค่ะ” เหมยเสวี่ยพยักหน้าตอบ
“เสี่ยวเสวี่ย!” เหมยอวี่มองหน้าเหมยเสวี่ย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้พูดมากไปกว่านี้ อย่างไรสวีฮุ่ยก็เป็นศิษย์คนโตของอดีตเจ้าหอ นับว่าอาวุโสกว่าพวกเธอหนึ่งรุ่น และการพูดถึงในแง่ร้ายลับหลังเจ้าตัวก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
ขณะเหมยเสวี่ยได้ยินเสียงทักของแฝดพี่ เธอจึงแลบลิ้นออกมาเป็นการตอบรับ
“เอางั้นก็ได้ครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็เข้ามากันก่อนแล้วกัน”
“ค่ะเจ้าหอ” ทั้งสองเดินเข้าห้องอู๋ฝานพร้อมอ่างล้างหน้าและแปรงสีฟัน
นับเป็นครั้งแรกที่อู๋ฝานได้ล้างหน้ายามเช้าโดยมีคนอื่นคอยปรนนิบัติรับใช้ อีกทั้งคนที่คอยช่วยดูแลยังเป็นเด็กสาวที่งดงามถึงสองคน เรื่องนี้ใจหนึ่งก็ชวนให้รู้สึกว่าน่ายินดี ส่วนอีกใจก็พบว่าชวนลำบากอยู่พอสมควร
อย่างไรอู๋ฝานก็เพิ่งมาถึงที่นี่ ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่ จึงไม่คิดอยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุทำเด็กสาวทั้งสองถูกลงโทษ
“ที่ลานกว้างมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” เนื่องจากอู๋ฝานได้ยินเสียงตะโกนแว่วมา และทิศทางต้นเสียงก็คล้ายจะเป็นที่ลานกว้าง
“เรียนเจ้าหอ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายกำลังฝึกซ้อมช่วงเช้ากันอยู่ค่ะ” เหมยอวี่ตอบรับอย่างนอบน้อม
“ครับ? งั้นพวกเราไปดูด้วยก็แล้วกัน” อู๋ฝานลุกขึ้นยืนขณะเดินนำออกไปด้านนอก
“เจ้าหอยังไม่ได้ทานมื้อเช้าเลยนะคะ” เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยรีบเรียกตามหลัง
“ไว้กลับมาค่อยทานก็ได้ครับ”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงเดินมายังลานกว้าง สิ่งที่อู๋ฝานเห็นคือเหล่าศิษย์หอคันธะสงัดกำลังฝึกรำกระบี่ วิชาประจำสำนักของที่นี่มีพื้นฐานเป็นกระบี่ และให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิญญาณ รวมถึงวิชาตัวเบา จนนำไปสู่วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าอันมีชื่อเสียง แต่วิชากระบี่ดังกล่าวจะเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นเจ้าหอ ผู้อาวุโส หรือว่าศิษย์สายตรง ส่วนศิษย์คนอื่นจะต้องรับการฝึกฝนวิชากระบี่ที่เป็นรองลงมา
“เจ้าหอ!”
เมื่อเห็นอู๋ฝานปรากฏตัว สวีฮุ่ยที่ยืนตรงหน้านำกลุ่มคนฝึกฝนกระบี่จึงหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมหันมาโค้งกายให้ด้วยความนอบน้อม
“เจ้าหอ!”
ศิษย์ทั้งหลายต่างหยุดการฝึกพร้อมหันมาทักทายอู๋ฝานเป็นเสียงเดียว คนสองถึงสามร้อยคนพูดในเวลาเดียวกันเสียงจึงค่อนข้างดัง แม้พวกเธอทั้งหมดจะเป็นผู้หญิง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกก็มากพอจะรับรู้ได้ถึงพลังและความแข็งแกร่ง
“สวัสดีทุกคน ฝึกฝนกันต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจครับ ผมแค่แวะมาดูเท่านั้นเอง” อู๋ฝานรีบบอกกลุ่มคน
สวีฮุ่ยพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกกับกลุ่มคน “ฝึกต่อ!”
ชั่วพริบตา ศิษย์ทุกคนจึงเริ่มการฝึกซ้อมต่อภายใต้สายตาการรับชมของอู๋ฝาน
เนื่องจากยืนอยู่หน้าลานกว้างและดูการฝึกของกลุ่มคน อู๋ฝานจึงอยู่ในตำแหน่งที่เห็นกระบวนการฝึกวิชากระบี่อย่างชัดเจน ทั้งยังได้เห็นว่ามีหลายคนลอบมองมาทางตน ไม่ว่าจะเป็นสายตาของความประหม่า ระมัดระวัง หรือสงสัยก็ตาม
อู๋ฝานเข้าใจดี ตนถือเป็นส่วนเกินของที่นี่ ในอดีตคนของที่นี่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้พบ ดังนั้นจะเกิดความสงสัยต่อตัวตนของเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
และชายหนุ่มเองก็มีความสงสัยในเหล่าศิษย์หอคันธะสงัดไม่แพ้กัน อาศัยจากสายตาประเมิน หญิงสาวเยาว์วัยเหล่านี้สมควรอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ส่วนผู้ที่อาวุโสที่สุดน่าจะอายุราวสี่สิบปี แต่ไม่ว่าศิษย์ช่วงอายุใดต่างก็มีแต่รูปลักษณ์ที่ดีเยี่ยม ไม่แปลกใจที่สำนักอื่นจะเกิดความคิดต่ำช้าต่อเหล่าศิษย์แห่งหอคันธะสงัด
หลังการฝึกซ้อมช่วงเช้าจบลง ศิษย์ทั้งหลายจึงแยกย้ายกันไปทำธุระ ส่วนสวีฮุ่ยมาพบอู๋ฝาน “หากเจ้าหอพอจะมีเวลา ฉันอยากจะรายงานสถานการณ์ของสำนักให้ทราบค่ะ”
“ครับ ผมมีเวลาอยู่แล้ว และกำลังทำความเข้าใจสถานการณ์ของสำนักด้วยเหมือนกันครับ” อู๋ฝานตอบรับ
เพราะอยู่ที่นี่จึงมีเวลามากมาย และเนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงความบันเทิงใด ๆ ได้
ระหว่างทางกลับมายังสำนัก อู๋ฝานได้ทราบรายละเอียดจากเป้ยอวี่ฉวนและคนอื่น ๆ แล้ว ทำให้มีความเข้าใจคร่าว ๆ ต่อสถานการณ์ของหอคันธะสงัดอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่ลงลึกถึงรายละเอียด จากที่เป้ยอวี่ฉวนเล่ามา เรื่องของทั้งสำนักในเวลานี้ นอกจากอดีตเจ้าหอ ก็มีเพียงศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเธอเช่นสวีฮุ่ยที่ทราบดีที่สุด เนื่องจากอีกฝ่ายจะใช้เวลาส่วนใหญ่คอยช่วยเหลืออดีตเจ้าหอและดูแลสำนัก ดังนั้นปัจจุบันเป็นเช่นไร ถ้าสอบถามสวีฮุ่ยก็จะได้รู้ทุกเรื่องตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดเลยทีเดียว
ในเมื่ออู๋ฝานรับหน้าที่เป็นเจ้าหอคันธะสงัด เขาย่อมต้องการทราบถึงสถานการณ์ของสำนักก่อนจะลงมือทำอะไร ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าสวีฮุ่ยเป็นฝ่ายต้องการแจ้งให้ทราบ เขาย่อมยินดีรับฟัง
คนทั้งสองเดินกลับไปยังห้องของอู๋ฝาน ที่ตามหลังมาคือเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยที่นำอาหารเช้ามาให้ ทั้งสองคนกลับออกไปอย่างรู้งาน และยังคอยเฝ้าหน้าประตูห้องเอาไว้ราวกับเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของชายหนุ่ม
อู๋ฝานมองทางประตูก่อนจะบอกกับสวีฮุ่ย “ต่อไปให้พวกเธอไปทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่านะครับ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ส่วนใหญ่จัดการตัวเองได้ ไม่ต้องคอยปรนนิบัติกันถึงขนาดนั้นครับ”
“เจ้าหอกำลังบอกว่าพวกเธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีใช่ไหมคะ?” สวีฮุ่ยถาม “ไว้ฉันออกไปแล้วจะสั่งสอนพวกเธอให้ดีเองค่ะ”
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วครับ” อู๋ฝานรีบตอบกลับ “พวกเธอทำได้ดีเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้ต้องการคนรับใช้ครับ”
[1] เหมยอวี่ แปลว่า ไร้ฝน
[2] เหมยเสวี่ย แปลว่า ไร้หิมะ
[3] คำว่า เหมย เป็นคำพ้องเสียงว่า ไม่มี ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นชื่อจริงของทั้งสองจึงเป็น ดอกเหมยฤดูฝน และ ดอกเหมยหิมะ
…………………………………………………..
บทที่ 434 หญิงรับใช้ทั้งสอง
บทที่ 434 หญิงรับใช้ทั้งสอง
หลังเที่ยงคืน อู๋ฝานก็เทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกมแทบจะในทันที เพราะโลกความเป็นจริงชวนเบื่อหน่ายจนเกินไป
แม้โลกความเป็นจริงจะน่าเบื่อ แต่โลกแห่งเกมก็ไม่ได้สนุกสนานสักเท่าไหร่ เนื่องจากตอนนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปยังเมืองหลวง ทุกวันคือการเดินทางอันเร่งรีบ อีกทั้งมักจะต้องเจอกับผู้อพยพในเส้นทางอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ทั้งวันในโลกแห่งเกมของอู๋ฝานคือการเร่งเดินทางจนกระทั่งเทเลพอร์ตกลับมาหลังพระอาทิตย์ตกดิน
หลังเทเลพอร์ตกลับมา อู๋ฝานก็นอนบนเตียงอีกพักหนึ่งจนฟ้าสาง ก่อนจะต้องลุกขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงดังมาจากภายนอก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจ้าหอ”
เพียงอู๋ฝานเปิดประตูห้องออกมา ก็ได้เห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนรออยู่ที่หน้าประตู และที่ทำให้ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นคือการที่คนทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกัน ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือส่วนสูงแทบไม่มีความแตกต่าง หากมองผ่าน ๆ แทบจะหาความแตกต่างไม่เจอเลยด้วยซ้ำ กระทั่งทำให้สงสัยว่าตาฝาดไปหรือไม่
พวกเธอเป็นฝาแฝด ทั้งยังเป็นฝาแฝดที่งดงามทั้งคู่ เมื่อพิจารณารูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุน้อยกว่าอู๋ฝาน
“ใครครับ? มาทำอะไรตรงนี้?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ฉันเหมยอวี่*[1]ค่ะ”
“ฉันเหมยเสวี่ย*[2]ค่ะ”
“อาจารย์สวีขอให้พวกเรามาคอยดูแลเจ้าหอค่ะ” ทั้งสองตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
ทั้งสองคนถืออุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ สวีฮุ่ยคงจะจัดแจงส่งทั้งสองมาช่วยดูแลตน
“เหมยอวี่กับเหมยเสวี่ย? ชื่อฟังดูแปลกพอสมควรเลยนะครับ” อู๋ฝานรับคำ
“เป็นเหมย*[3]ที่หมายถึงดอกเหมยค่ะ” เด็กสาวคนที่เพิ่งแนะนำตัวว่าชื่อเหมยอวี่ตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังคิดว่าอู๋ฝานเข้าใจชื่อผิดเพี้ยนไป
“ขอโทษด้วยครับ” อู๋ฝานยิ้มเก้ ๆ กัง ๆ ตอบรับ “วางของไว้ แล้วก็กลับไปได้ครับ ผมจัดการตัวเองได้”
“ไม่ได้ค่ะ อาจารย์สวีกำชับพวกเราให้ดูแลเจ้าหอ อาจารย์กล่าวว่าเนื่องจากเจ้าหอมายังสำนักของพวกเราเป็นครั้งแรก อาจมีอะไรหลายอย่างไม่คุ้นชินค่ะ” เหมยเสวี่ยตอบรับ
“ไม่มีอะไรไม่คุ้นชินหรอกครับ ผมจัดการตัวเองได้” อู๋ฝานตอบ
เห็นได้ชัดว่าสวีฮุ่ยกำลังจะดูแลเขาประหนึ่งนายน้อยจากตระกูลที่ร่ำรวย หรือไม่ก็คุณชายจากสำนักใหญ่สักแห่ง
“เจ้าหออย่าไล่พวกเราเลยนะคะ ถ้าพวกเราไม่ดูแลให้ดีจะถูกอาจารย์สวีต่อว่าค่ะ” เหมยเสวี่ยมองอู๋ฝานด้วยท่าทีเวทนา
“เข้มงวดขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” อู๋ฝานถามกลับ
“ใช่ค่ะ” เหมยเสวี่ยพยักหน้าตอบ
“เสี่ยวเสวี่ย!” เหมยอวี่มองหน้าเหมยเสวี่ย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้พูดมากไปกว่านี้ อย่างไรสวีฮุ่ยก็เป็นศิษย์คนโตของอดีตเจ้าหอ นับว่าอาวุโสกว่าพวกเธอหนึ่งรุ่น และการพูดถึงในแง่ร้ายลับหลังเจ้าตัวก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
ขณะเหมยเสวี่ยได้ยินเสียงทักของแฝดพี่ เธอจึงแลบลิ้นออกมาเป็นการตอบรับ
“เอางั้นก็ได้ครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็เข้ามากันก่อนแล้วกัน”
“ค่ะเจ้าหอ” ทั้งสองเดินเข้าห้องอู๋ฝานพร้อมอ่างล้างหน้าและแปรงสีฟัน
นับเป็นครั้งแรกที่อู๋ฝานได้ล้างหน้ายามเช้าโดยมีคนอื่นคอยปรนนิบัติรับใช้ อีกทั้งคนที่คอยช่วยดูแลยังเป็นเด็กสาวที่งดงามถึงสองคน เรื่องนี้ใจหนึ่งก็ชวนให้รู้สึกว่าน่ายินดี ส่วนอีกใจก็พบว่าชวนลำบากอยู่พอสมควร
อย่างไรอู๋ฝานก็เพิ่งมาถึงที่นี่ ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่ จึงไม่คิดอยากให้ตัวเองเป็นต้นเหตุทำเด็กสาวทั้งสองถูกลงโทษ
“ที่ลานกว้างมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” เนื่องจากอู๋ฝานได้ยินเสียงตะโกนแว่วมา และทิศทางต้นเสียงก็คล้ายจะเป็นที่ลานกว้าง
“เรียนเจ้าหอ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายกำลังฝึกซ้อมช่วงเช้ากันอยู่ค่ะ” เหมยอวี่ตอบรับอย่างนอบน้อม
“ครับ? งั้นพวกเราไปดูด้วยก็แล้วกัน” อู๋ฝานลุกขึ้นยืนขณะเดินนำออกไปด้านนอก
“เจ้าหอยังไม่ได้ทานมื้อเช้าเลยนะคะ” เหมยอวี่และเหมยเสวี่ยรีบเรียกตามหลัง
“ไว้กลับมาค่อยทานก็ได้ครับ”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงเดินมายังลานกว้าง สิ่งที่อู๋ฝานเห็นคือเหล่าศิษย์หอคันธะสงัดกำลังฝึกรำกระบี่ วิชาประจำสำนักของที่นี่มีพื้นฐานเป็นกระบี่ และให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิญญาณ รวมถึงวิชาตัวเบา จนนำไปสู่วิชาสุดยอดกระบี่สิบสามกระบวนท่าอันมีชื่อเสียง แต่วิชากระบี่ดังกล่าวจะเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นเจ้าหอ ผู้อาวุโส หรือว่าศิษย์สายตรง ส่วนศิษย์คนอื่นจะต้องรับการฝึกฝนวิชากระบี่ที่เป็นรองลงมา
“เจ้าหอ!”
เมื่อเห็นอู๋ฝานปรากฏตัว สวีฮุ่ยที่ยืนตรงหน้านำกลุ่มคนฝึกฝนกระบี่จึงหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมหันมาโค้งกายให้ด้วยความนอบน้อม
“เจ้าหอ!”
ศิษย์ทั้งหลายต่างหยุดการฝึกพร้อมหันมาทักทายอู๋ฝานเป็นเสียงเดียว คนสองถึงสามร้อยคนพูดในเวลาเดียวกันเสียงจึงค่อนข้างดัง แม้พวกเธอทั้งหมดจะเป็นผู้หญิง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกก็มากพอจะรับรู้ได้ถึงพลังและความแข็งแกร่ง
“สวัสดีทุกคน ฝึกฝนกันต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจครับ ผมแค่แวะมาดูเท่านั้นเอง” อู๋ฝานรีบบอกกลุ่มคน
สวีฮุ่ยพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกกับกลุ่มคน “ฝึกต่อ!”
ชั่วพริบตา ศิษย์ทุกคนจึงเริ่มการฝึกซ้อมต่อภายใต้สายตาการรับชมของอู๋ฝาน
เนื่องจากยืนอยู่หน้าลานกว้างและดูการฝึกของกลุ่มคน อู๋ฝานจึงอยู่ในตำแหน่งที่เห็นกระบวนการฝึกวิชากระบี่อย่างชัดเจน ทั้งยังได้เห็นว่ามีหลายคนลอบมองมาทางตน ไม่ว่าจะเป็นสายตาของความประหม่า ระมัดระวัง หรือสงสัยก็ตาม
อู๋ฝานเข้าใจดี ตนถือเป็นส่วนเกินของที่นี่ ในอดีตคนของที่นี่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้พบ ดังนั้นจะเกิดความสงสัยต่อตัวตนของเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
และชายหนุ่มเองก็มีความสงสัยในเหล่าศิษย์หอคันธะสงัดไม่แพ้กัน อาศัยจากสายตาประเมิน หญิงสาวเยาว์วัยเหล่านี้สมควรอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ส่วนผู้ที่อาวุโสที่สุดน่าจะอายุราวสี่สิบปี แต่ไม่ว่าศิษย์ช่วงอายุใดต่างก็มีแต่รูปลักษณ์ที่ดีเยี่ยม ไม่แปลกใจที่สำนักอื่นจะเกิดความคิดต่ำช้าต่อเหล่าศิษย์แห่งหอคันธะสงัด
หลังการฝึกซ้อมช่วงเช้าจบลง ศิษย์ทั้งหลายจึงแยกย้ายกันไปทำธุระ ส่วนสวีฮุ่ยมาพบอู๋ฝาน “หากเจ้าหอพอจะมีเวลา ฉันอยากจะรายงานสถานการณ์ของสำนักให้ทราบค่ะ”
“ครับ ผมมีเวลาอยู่แล้ว และกำลังทำความเข้าใจสถานการณ์ของสำนักด้วยเหมือนกันครับ” อู๋ฝานตอบรับ
เพราะอยู่ที่นี่จึงมีเวลามากมาย และเนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงความบันเทิงใด ๆ ได้
ระหว่างทางกลับมายังสำนัก อู๋ฝานได้ทราบรายละเอียดจากเป้ยอวี่ฉวนและคนอื่น ๆ แล้ว ทำให้มีความเข้าใจคร่าว ๆ ต่อสถานการณ์ของหอคันธะสงัดอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่ลงลึกถึงรายละเอียด จากที่เป้ยอวี่ฉวนเล่ามา เรื่องของทั้งสำนักในเวลานี้ นอกจากอดีตเจ้าหอ ก็มีเพียงศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเธอเช่นสวีฮุ่ยที่ทราบดีที่สุด เนื่องจากอีกฝ่ายจะใช้เวลาส่วนใหญ่คอยช่วยเหลืออดีตเจ้าหอและดูแลสำนัก ดังนั้นปัจจุบันเป็นเช่นไร ถ้าสอบถามสวีฮุ่ยก็จะได้รู้ทุกเรื่องตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดเลยทีเดียว
ในเมื่ออู๋ฝานรับหน้าที่เป็นเจ้าหอคันธะสงัด เขาย่อมต้องการทราบถึงสถานการณ์ของสำนักก่อนจะลงมือทำอะไร ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าสวีฮุ่ยเป็นฝ่ายต้องการแจ้งให้ทราบ เขาย่อมยินดีรับฟัง
คนทั้งสองเดินกลับไปยังห้องของอู๋ฝาน ที่ตามหลังมาคือเหมยอวี่และเหมยเสวี่ยที่นำอาหารเช้ามาให้ ทั้งสองคนกลับออกไปอย่างรู้งาน และยังคอยเฝ้าหน้าประตูห้องเอาไว้ราวกับเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของชายหนุ่ม
อู๋ฝานมองทางประตูก่อนจะบอกกับสวีฮุ่ย “ต่อไปให้พวกเธอไปทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่านะครับ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ส่วนใหญ่จัดการตัวเองได้ ไม่ต้องคอยปรนนิบัติกันถึงขนาดนั้นครับ”
“เจ้าหอกำลังบอกว่าพวกเธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีใช่ไหมคะ?” สวีฮุ่ยถาม “ไว้ฉันออกไปแล้วจะสั่งสอนพวกเธอให้ดีเองค่ะ”
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วครับ” อู๋ฝานรีบตอบกลับ “พวกเธอทำได้ดีเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้ต้องการคนรับใช้ครับ”
[1] เหมยอวี่ แปลว่า ไร้ฝน
[2] เหมยเสวี่ย แปลว่า ไร้หิมะ
[3] คำว่า เหมย เป็นคำพ้องเสียงว่า ไม่มี ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นชื่อจริงของทั้งสองจึงเป็น ดอกเหมยฤดูฝน และ ดอกเหมยหิมะ
…………………………………………………..