บทที่ 427 แมวเมฆหิมะผู้พิทักษ์
บทที่ 427 แมวเมฆหิมะผู้พิทักษ์
หนิวเอ้อนำกำลังคนไปเตรียมการ ส่วนหวังปิงรับหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บ
แท้จริงแล้วเหตุผลที่หวังปิงไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้พวกหนิวเอ้อแตกหักกับอีกฝ่ายจนตายกันไปข้าง มันไม่ใช่แค่เหตุผลที่ว่าไม่มีโอกาสเอาชนะ แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือเหตุผลที่จะฆ่ากันให้ตาย หากจัดการเรื่องราวได้ไม่ดีพอ มันจะส่งผลกระทบถึงอู๋ฝาน
และขณะนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปแล้ว หากที่ปรึกษาและคณะพยายามนำอะไรก็ตามออกไปจากหมู่บ้านเร้นลับ พวกเขาจะมีเหตุผลเต็มที่ในการหยุดยั้งหรือลงมือ อย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นทหารส่วนตัวของอู๋ฝาน รวมถึงเป็นหน่วยรักษาการณ์แห่งหมู่บ้านเร้นลับ หน้าที่รับผิดชอบคือการปกป้องหมู่บ้าน ในเมื่ออีกฝ่ายมาฉกฉวยอะไรก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในการลงมือ หากเป็นเช่นนั้นหวังปิงก็แทบไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะลากอู๋ฝานมาเกี่ยวข้องกับเรื่องครั้งนี้
เพราะเหตุนั้นหวังปิงจึงปล่อยให้พวกที่ปรึกษาเข้าหมู่บ้านไป
แน่นอนว่าหวังปิงไม่ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้พวกหนิวเอ้อทราบ เพราะอย่างไรก็ไม่ได้จำเป็น
ทางด้านที่ปรึกษาในตอนนี้หาได้ทราบแผนการของหวังปิงไม่ เขาที่สามารถบุกฝ่าหน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้านมาได้ก็เดินทางมาถึงด้านหลังของภูเขา ช่วงที่เดินผ่านหมู่บ้านมาก่อนหน้านี้เขายังได้พบการก่อสร้างครั้งใหญ่ มันเป็นกำแพงเมืองที่สูงราวหนึ่งจั้งเป็นแนวยาวเกือบหนึ่งจั้งที่ราวกับโผล่มาอย่างกะทันหัน
‘หมู่บ้านเร้นลับแห่งนี้มันอะไรกัน? สร้างกำแพงเมืองทำไม?’ ที่ปรึกษากำลังครุ่นคิดและสงสัยอยู่ในใจ
การก่อสร้างกำแพงเมืองไม่ใช่งานที่ง่าย ไม่ว่าจะระยะเวลาการก่อสร้างหรือเงินทองจำนวนมหาศาล แม้เป็นเทศมณฑลก็ยังไม่ได้มีกำแพงเมืองสูงอะไรมากนัก แต่หมู่บ้านเร้นลับที่อยู่ไกลห่างเช่นนี้ กลับถึงขั้นยอมเสียกำลังคนและทรัพยากรราวกับไม่มีที่อื่นให้ใช้เงินทองอย่างไรอย่างนั้น
หลังครุ่นคิดไปมา ที่ปรึกษาทำได้เพียงปล่อยวางไปก่อน พร้อมนำคนมุ่งสู่ด้านหลังของภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงพื้นที่จึงตรงเข้าไปในป่า
“สัตว์เลี้ยงนั่นน่าจะถูกจับตัวได้ในป่านี้ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หากเจอสัตว์เลี้ยงพวกนั้น นายท่านจะไม่ตระหนี่รางวัลอย่างแน่นอน” ที่ปรึกษาบอกกับกลุ่มคน
“ทราบแล้วขอรับ” กลุ่มคนตอบรับก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหาสัตว์เลี้ยง ในความเห็นของพวกเขา การจับตัวสัตว์เลี้ยงเป็นงานที่ง่ายจนไม่น่าจะต้องกังวลอะไร ดังนั้นจึงแทบไม่ระมัดระวังหรือจริงจังเคร่งเครียด
หลังกลุ่มคนกระจายตัวออกไป ที่ปรึกษาจึงหาที่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่พักผ่อน งานใช้แรงงานเช่นการจับสัตว์เลี้ยง เขาย่อมไม่ไปทำด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขาก็อ่อนแอ ไม่มีแรงพอจะไปจับสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว
“พัวะ!”
เพียงที่ปรึกษาหย่อนก้นนั่งลงได้ชั่วครู่ ก่อนจะทันได้หลับตาฮัมเพลงรับกับบรรยากาศ ศีรษะกลับต้องรู้สึกเจ็บเหมือนถูกอะไรฟาดเข้าใส่
“ใครกัน? ใครมันกล้าทำข้า!” ที่ปรึกษาถลึงตามองหาคนร้ายด้วยสีหน้าโกรธแค้น
เพียงแต่ที่ได้เห็นกลับไม่ใช่มนุษย์ ทว่าเป็นสัตว์น้อยตัวหนึ่งที่เขาไม่รู้จักกำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้ ในมือของมันถือผลไม้ป่าพลางกัดกินขณะจ้องตอบกลับมา
“ฝีมือเจ้า?” ที่ปรึกษาตั้งคำถามกับสัตว์น้อย
ไม่นานเขาก็ต้องส่ายหัวให้กับการกระทำดังกล่าว อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่สัตว์ ถามไปแล้วมันจะตอบอะไรได้?
แต่สัตว์น้อยกลับตอบสนองจนทำให้เขาต้องชะงัก เพราะเมื่อถามออกไป มันกลับพยักหน้าตอบกลับมา ก่อนจะกินผลไม้ป่าในมือจนเหลือแต่เมล็ดและขว้างออกไป
“พัวะ!”
เมล็ดของผลไม้ปะทะเข้ากับศีรษะของที่ปรึกษาอย่างแรง จนถึงขั้นหน้าผากเกิดเป็นรอย
“ไอ้ตัวน้อยนี่ แส่หาที่ตาย!” ที่ปรึกษาโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ก่อนจะคว้าเมล็ดผลไม้เมื่อครู่จากพื้น พร้อมขว้างใส่สัตว์น้อยเป็นการตอบโต้
ทว่าสัตว์น้อยว่องไว มันกระโดนหลบเมล็ดผลไม้ที่พุ่งเข้าหาได้อย่างง่ายดาย เมื่อไปหยุดยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้อื่นแล้ว มันจึงมองทางที่ปรึกษาด้วยสีหน้าท่าทีราวกำลังเย้ยหยัน
เมื่อถูกสัตว์เดรัจฉานยั่วยุ คนเช่นที่ปรึกษามีหรือจะยอมอดกลั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้จึงควานหาทั่วพื้น ก่อนหยิบทั้งผลไม้ป่าและก้อนหินพยายามขว้างปาใส่มัน แต่ทุกครั้งที่ขว้างออกไปกลับไม่อาจโดนเป้าหมาย กระทั่งเป็นฝ่ายเหนื่อยล้าเสียเอง
“ไอ้ตัวเล็กนี่ แน่จริงก็อย่าหลบ!” ที่ปรึกษากอดอกพลางหอบหายใจขณะชี้หน้าด่าทอสัตว์น้อยด้วยความโมโห
เจ้าตัวน้อยตอนนี้ไม่หลบอีกแล้ว กระทั่งกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ที่ปรึกษาที่เห็นจึงคิดคว้าโอกาสเล่นงาน แต่กลับได้เห็นเจ้าตัวน้อยกระโจนเข้าใส่พร้อมส่งเท้าหมายจะถีบ
ที่ปรึกษาไม่เห็นการโจมตีนี้เป็นจริงเป็นจัง กระทั่งนึกเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘ไอ้เจ้านี่แขนขาเล็กแค่นี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเตะใส่คนอย่างข้าได้?’
เพียงแต่อึดใจถัดมาที่ปรึกษากลับหัวเราะไม่ออก เพราะเพียงสัตว์น้อยเตะโดน เขาก็รับรู้ได้ว่าบริเวณหน้าอกทั้งเจ็บและจุก อวัยวะภายในราวกับถูกแรงเตะจนผิดที่ผิดทาง กระทั่งตัวคนยังกระเด็นลิ่วไปปะทะกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังจนไถลลงไปนอนกองกับพื้น
“ตึง!”
เสียงร้องโอดโอยดังออกจากปากของที่ปรึกษา และเสียงนี้เองที่ทำให้เสี่ยวลิ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ ต้องสะดุ้ง กระทั่งนกในป่าต่างก็บินหนีหาย
ทว่าเรื่องราวไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้ สัตว์น้อยที่เตะใส่ที่ปรึกษาไปแล้วกลับยังไม่หยุด มันกระโดดเข้าหาก่อนจะเตะหน้าของที่ปรึกษา ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายต้องขาวซีด ก่อนจะเขียวคล้ำเพราะเจ็บปวดอย่างเหลือแสน
“ไปให้พ้น ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!” ที่ปรึกษาร้องตะโกนเสียงดังชวนสังเวชขณะพยายามไล่สัตว์น้อย
แต่การกระทำของเขาไม่อาจได้ผล สัตว์ตัวน้อยว่องไวและรวดเร็วกว่าที่คาดคิด แม้พยายามใช้ไม้เหวี่ยงไล่ก็ยังไม่อาจแตะต้องตัวมันได้ กระทั่งถูกมันมองมาด้วยสีหน้าเย้ยหยันเสียเต็มประดา
“นั่นมัน… สัตว์เลี้ยงของนายท่านดุร้ายขนาดนี้เลยรึนี่?” เสี่ยวลิ่วแอบมองจากที่ไกล ๆ พลางอุทานเสียงเบาออกมาด้วยอาการตกใจ
ผู้ที่ลงมือโจมตีและถีบยอดหน้าที่ปรึกษา ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าตัวน้อยที่คอยติดตามอู๋ฝานอย่างแมวเมฆหิมะ
นับตั้งแต่ติดตามอู๋ฝาน มันก็ใกล้ชิดสนิทสนมและเชื่อฟังคำของชายหนุ่มมาโดยตลอด และครั้งนี้ที่อีกฝ่ายต้องเดินทางไปเมืองหลวง เขาไม่ได้นำแมวเมฆหิมะร่วมทางไปด้วย แต่ฝากฝังให้มันคอยดูแลป่าที่นี่ แม้ไม่ทราบว่าแมวเมฆหิมะตัวนี้เป็นสายพันธุ์อะไร แต่เขาก็ตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของมัน ไม่ว่าจะความเร็วหรือพละกำลัง รวมถึงสติปัญญาอันชาญฉลาด การฝากหน้าที่เฝ้าคุ้มกันบ้านไว้กับมัน เขาจึงยิ่งสามารถเดินทางได้อย่างสบายใจ
แม้แมวเมฆหิมะจะไม่ยินดีที่อู๋ฝานไม่พาไปด้วยสักเท่าไหร่ ทว่าก็ยังคงเชื่อฟังคำพูดของเขาเป็นอย่างดี เมื่อพบที่ปรึกษาและคณะนำกำลังบุกมาถึงป่าด้านหลังภูเขา มันจึงปรากฏตัวเพื่อเข้าหยุดยั้ง
ที่ปรึกษารู้เพียงตำราและใช้อุบายมาโดยตลอด ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นเพียงคนมีแต่ปัญญาทว่าไร้เรี่ยวแรง ขณะที่คู่ต่อสู้เป็นถึงแมวเมฆหิมะ ด้วยความว่องไวของมันจึงหลบเลี่ยงการตอบโต้ได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายที่ปรึกษาก็ต้องเจอสถานการณ์อับจน ทำได้เพียงแค่หมอบลงกับพื้นพลางร้องขอความเมตตากับสัตว์เช่นแมวเมฆหิมะ เพราะเขาไร้ซึ่งทางเลือกอื่นใดแล้ว
นับเป็นโชคดีที่แมวเมฆหิมะไม่ได้มีเจตนากระทืบเขาจนตาย หลังที่ปรึกษาร้องขอความเมตตา มันจึงกระโดดออกจากใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะกลับเข้าป่าไป
แม้จัดการที่ปรึกษาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเรื่องราวจบสิ้น คนอื่นที่ร่วมทางมากับอีกฝ่ายก็ต้องโดนด้วยเช่นกัน อู๋ฝานบอกกับมันเอาไว้ว่าต้องไม่ให้ผู้ใดเข้าป่าได้ง่าย ๆ คำพูดนั้นยังคงตราตรึงในใจของมันอย่างเด่นชัด ราวกับมีเพียงการทำตามคำพูดของชายหนุ่มอย่างเชื่อฟังเท่านั้น ที่จะทำให้อีกฝ่ายกลับมาเล่นกับมันอีกครั้ง