บทที่ 424 ค่อยเป็นค่อยไป
บทที่ 424 ค่อยเป็นค่อยไป
หลังพูดคุยเรื่องสำนักหลอมกระบี่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามจึงเริ่มศึกษาวิชากระบี่สายฟ้าอินทนิลร่วมกัน
เพราะมันคือตำราวิชากระบี่ในโลกความเป็นจริง จึงไม่มีทางที่อู๋ฝานจะทำเพียงแค่วางมือลงบนหนังสือแล้วเรียนรู้เหมือนทักษะในเกม ทำให้ตอนนี้เขาต้องตั้งใจฝึกฝนมันตั้งแต่เริ่มต้น
นับเป็นโชคดีที่อู๋ฝานเคยฝึกฝนเทคนิควิชาหลากหลายมาก่อน เป็นเหตุให้ไม่ใช่มือใหม่ทางด้านนี้ อีกทั้งด้วยค่าสติปัญญาที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้เพียงเวลาครึ่งหนึ่งของคนทั่วไปก็เรียนรู้ได้ ระดับความเข้าใจในการเรียนรู้กระทั่งสูงล้ำกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ที่ฝึกฝนกระบี่มาตั้งแต่เด็กซะด้วยซ้ำ
ส่วนถังอวี่เฟย เพราะเป็นมือใหม่ถอดด้ามจนต้องทำความเข้าใจทุกตัวอักษรบนตำราวิชากระบี่สายฟ้าอินทนิล แม้ทำถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่ว่าเธอจะรวบรวมใจความได้สำเร็จ ทำให้ทั้งอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ต้องช่วยอธิบาย
คนทั้งสามร่วมกันศึกษาตำราจนกระทั่งถึงกลางดึก อู๋ฝานที่ยังมีเรื่องการเทเลพอร์ตจึงกล่าวกับคนทั้งสอง “ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้วนะครับ พวกคุณกลับไปพักก่อนดีกว่า ผมเองก็ควรต้องพักแล้ว”
“รีบอะไรขนาดนั้นคะ นี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลย” เมื่อเห็นอู๋ฝานพยายามไล่ตน ถังอวี่เฟยย่อมไม่ยินดี เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เธอได้ข้องเกี่ยวกับการฝึกฝน ช่วงเวลาที่สนใจทำอะไรมักจะผ่านไปช้าอยู่เสมอ รวมกับในใจเธอที่ปรารถนาการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ทำให้ลืมเลือนเรื่องการนอนหลับและพักผ่อน
“เลยตีหนึ่งมาแล้วครับ” อู๋ฝานตอบรับอย่างจนใจ “การฝึกฝนไม่ใช่สำเร็จได้เพียงวันเดียว มันจำเป็นต้องใช้เวลานานและค่อย ๆ เรียนรู้ ไม่ควรรีบจนเกินไปนะครับ”
“แต่ว่า…” ถังอวี่เฟยยังอยากทักท้วง เพียงแต่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับเอ่ยขึ้น
“พวกเรากลับห้องก่อนดีกว่า ถ้ายังอยากฝึกฝนต่อก็ฝึกฝนที่ห้องของเราได้” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอก “ให้อู๋ฝานได้พักบ้าง เขาได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย”
ตอนนั้นเองที่ถังอวี่เฟยจำได้ว่าทั้งตัวเองและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์สบายดี ขณะที่อู๋ฝานได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงควรได้พัก
“ตามนั้นแล้วกันค่ะ พวกเราขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ อู๋ฝาน คุณเองก็พักให้เต็มที่ค่ะ” ถังอวี่เฟยบอกกลับมา
หลังส่งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยกลับ อู๋ฝานจึงรีบอาบน้ำก่อนจะเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกม เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บ
ขณะกลับมาเยือนโลกแห่งเกมก็พบว่าที่นี่เป็นช่วงเที่ยงแล้ว อู๋ฝานยังคงอยู่ในห้อง ไม่ได้รีบออกไปภายนอก เพราะก่อนอื่นเขาต้องตรวจสอบอาการบาดเจ็บจากโลกความเป็นจจริง
“อาการบาดเจ็บถูกรักษาหมดแล้ว” อู๋ฝานที่ตรวจสอบจึงได้ทราบว่าอาการบาดเจ็บจากโลกความเป็นจริงถูกรักษาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้จะเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องลอบถอนหายใจต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของการเทเลพอร์ตข้ามโลก ความสามารถของมันวิเศษเกินบรรยาย
“นายท่าน”
เพียงอู๋ฝานเปิดประตูห้องออกไป ทั้งลั่วเยวี่ยและลั่วหยางต่างก็ยืนรอต้อนรับที่หน้าประตู
“อืม” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “พวกเราเดินทางกันต่อดีกว่า”
“ทราบแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”
แม้คนทั้งสองนึกสงสัยว่าเพราะอะไรอู๋ฝานจึงนอนจนถึงช่วงเที่ยง แต่เพราะความแตกต่างทางสถานะ แม้สงสัยก็ทำได้เพียงแค่เก็บเอาไว้ในใจไม่อาจเอ่ยถาม
พวกอู๋ฝานทั้งสามคนออกเดินทาง ส่วนทางด้านเทศมณฑลชิงหยวน ที่ปรึกษาผู้ทำภารกิจล้มเหลวกลับมาเมื่อวานได้เดินทางไปเยือนหมู่บ้านเร้นลับพร้อมกลุ่มคนอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่ไปพร้อมกับคนของสำนักปกครอง แต่เป็นทหารส่วนตัวของจวนกัวจื่อหมิง ออร่าที่กลุ่มคนเหล่านี้แผ่ออกมาเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่ากลุ่มคนเมื่อวาน
จากระยะไกล ๆ ที่ปรึกษาที่อยู่บนหลังม้าเห็นหน่วยรักษาการณ์ที่ทางเข้าหมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
มุมปากของเขาเผยยิ้มเย็นยะเยือก “วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้สำนึกว่าการพยายามหยุดข้าจะต้องเจอกับอะไร!”
หน่วยรักษาการณ์ทั้งสองที่ยืนหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ตอนนี้ก็เห็นที่ปรึกษาและคณะแล้วเช่นกัน หากเทียบกับความแตกตื่นและหวาดกลัวที่เคยมีเมื่อวาน ยามนี้พวกเขาเปี่ยมด้วยกำลังและพร้อมเผชิญอย่างไม่หวั่นเกรง
ที่ปรึกษาแล้วอย่างไร? ผู้ปกครองเทศมณฑลแล้วยังไง? เมื่อวานต่างก็ถูกทุบตีกลับไปจนหมดไม่ใช่หรือ?
“หยุด!”
ขณะที่ปรึกษาและคณะเข้าใกล้ ทหารรักษาการณ์ทั้งสองยังจำคำสั่งของหนิวเอ้อได้อย่างชัดเจน นั่นคือปฏิเสธไม่ให้พวกเขาผ่านเข้าไป แม้ต้องใช้กำลังห้ามปรามและหยุดยั้งก็ตาม
“พวกเจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตายหรือ กล้าดียังไงขวางทางพวกเรา?!” หนึ่งในทหารคุ้มกันด้านหลังที่ปรึกษารุดหน้าขึ้นมาตะโกนใส่ทหารรักษาการณ์ทั้งสอง แต่เขาไม่ได้หยุดแค่เท่านั้น เพราะแส้ในมือถูกนำออกมาพร้อมตวัดเล่นงานใส่หน่วยรักษาการณ์ทั้งสอง
“เพี๊ยะ!”
“เพี๊ยะ!”
แส้ทั้งสองเผยเสียงฟาดดังกับอากาศ ก่อนที่ร่างทหารรักษากรณ์ทั้งสองจะทันตอบสนอง ก็พบว่าถูกแส้ของทหารประจำตัวกัวจื่อหมิงเล่นงานจนหมอบ กระทั่งร้องเสียงหลงออกมา
“ไป เข้าหมู่บ้าน!” ที่ปรึกษาขี่ม้าขณะมองทหารรักษาการณ์ทั้งสองอย่างหยามเหยียด สีหน้าท่าทีของผู้หยิ่งผยองซึ่งเหนือกว่ากลับคืนสู่ใบหน้าอีกครั้ง เพียงโบกมือขวาเป็นการให้สัญญาณ พวกเขาจึงบุกเข้าไปด้านในหมู่บ้านเร้นลับ
กลุ่มทหารประจำตัวของกัวจื่อหมิงนับสิบคนต่างติดตามอยู่ใกล้ชิด แม้ทหารรักษาการณ์ทั้งสองจะอยากหยุดเอาไว้ แต่ก็พบว่าไร้ซึ่งกำลัง
“หยุด!”
ด้านในหมู่บ้านปรากฏเสียงตะโกนดังขึ้น พวกหนิวเอ้อและหน่วยทหารของหมู่บ้านเร้นลับต่างพากันออกมา
ที่ปรึกษามองหน่วยรักษาการณ์กว่าหนึ่งร้อยคน จนทำให้ต้องดึงบังเหียนควบคุมม้าให้หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ขณะนึกได้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวคนกลุ่มนี้อีกครั้งจึงอดไม่ได้ที่จะโมโห
“รีบไสหัวไปให้พ้นทาง ก่อนที่ข้าจะจับพวกเจ้าโยนเข้าคุก!” ที่ปรึกษาตะโกนเสียงดัง
“ที่ปรึกษามีวาจาใหญ่โตดีไม่น้อยเลยจริง ๆ” เป็นอีกครั้งที่หวังปิงเดินออกมา “ทำเอาข้านึกสงสัยเลยว่าพวกเราทำอะไรผิด? ในฐานะสมาชิกหน่วยรักษาการณ์แห่งหมู่บ้านเร้นลับ พวกเรากำลังทำหน้าที่เฝ้าคุ้มกันความปลอดภัย ส่วนท่านที่ปรึกษาที่ฝืนใช้กำลังบุกมาที่นี่สามครั้งพร้อมกลุ่มคนมีเจตนาอะไรกันแน่?”
“ข้าหรือมาที่นี่ถึงสามครั้ง? นี่เพิ่งครั้งที่สอง!” ที่ปรึกษากำลังโกรธจัด ก่อนจะได้ตระหนักว่าตนเองมาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องจัดการ ไม่ใช่โต้เถียงกับคนเหล่านี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ที่ปรึกษาจึงเปลี่ยนสีหน้า “กลุ่มคนด้านหลังข้าคือทหารส่วนตัวของจวนผู้ปกครองเทศมณฑล การมาที่นี่ครั้งนี้เพราะได้ยินว่าทหารประจำตัวของจื่อเจวี๋ยมีฝีมือเยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นจึงมาเพื่อขอคำชี้แนะ ไม่ใช่มาสร้างปัญหาแต่อย่างใด”
หวังปิงจึงมองกลุ่มคนพลางได้เห็นกล้ามเนื้อแกร่งของพวกเขา ลมหายใจของอีกฝ่ายค่อนข้างสงบและมั่นคง ท่าทียืนหยัดอย่างภาคภูมิ เห็นได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนจนยากที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย “ไม่มีความจำเป็นต้องชี้แนะใดทั้งสิ้น พวกนายท่านทั้งหลายเยี่ยมยุทธ์ พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีแล้ว”
“อะ!…” คำพูดของหวังปิงทำให้ที่ปรึกษาต้องชะงัก เดิมเขาคิดว่ากลุ่มคนที่เอาชนะพวกตนเองเมื่อวานได้จะวางตัวสูงส่ง เมื่อเจอคำท้ามีแต่จะต้องรับ ไม่เคยคิดว่าหวังปิงจะปฏิเสธคำท้าและยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาตรง ๆ เช่นนี้
เจอแบบนี้แล้วควรต้องทำอย่างไรต่อ?
ที่ปรึกษากำลังตัดสินใจอย่างยากลำบาก
คำพูดของหวังปิงไม่เพียงทำให้ที่ปรึกษาต้องชะงัก แต่ยังรวมถึงพวกหนิวเอ้อที่แสดงอาการไม่พอใจกันออกมา “หวังปิง เจ้าพูดบ้าอะไรออกไป ยังไม่ทันสู้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วเนี่ยนะ? หากเรื่องนี้เผยออกไปจะไม่ทำให้นายท่านต้องอับอายรึไง?”
คำพูดของหนิวเอ้อทำให้ดวงตาที่ปรึกษาทอประกาย ตอนนี้จึงแสร้งทำตัวเหยียดหยันอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ “ก็นึกว่าคนที่ท่านจื่อเจวี๋ยเลือกตัวมารับใช้จะมีฝีมือสูงส่ง ที่แท้กลับไม่ได้เรื่องทั้งยังขลาดเขลา ไม่กล้าแม้แต่จะรับคำท้าเสียด้วยซ้ำ แค่เรื่องนี้ก็ทำท่านจื่อเจวี๋ยเสื่อมเสียเกียรติจะแย่แล้ว”