บทที่ 421 คำเชิญจากสำนักหลอมกระบี่
บทที่ 421 คำเชิญจากสำนักหลอมกระบี่
ความตายของซุนเจี้ยนทำให้เหล่าศิษย์สำนักเที่ยงยุทธ์ชะงักงัน พวกเขากำลังมองหน้ากันด้วยอาการตื่นตระหนก
เจ้าสำนักตายไปแล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังตายตามไปอีกคน ทำให้กลุ่มคนไร้ซึ่งผู้นำ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่ทั้งเถาหรูไห่และซุนเจี้ยนคือสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเที่ยงยุทธ์ ปัจจุบันคนทั้งสองเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของอู๋ฝาน อีกฝ่ายจึงเปรียบดังฝันร้ายในใจของพวกเขา อย่างที่ไม่มีใครกล้ามากพอจะต่อกรด้วย
และไม่ทราบว่าใครเป็นคนแรกที่รีบร้อนเผ่นหนีเอาชีวิตรอด เรื่องราวจึงคล้ายเกิดขึ้นวนซ้ำ เหล่าศิษย์สำนักเที่ยงยุทธ์กระจายตัวหลบหนีจากที่นี่ เพราะพวกเขากำลังหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ ถึงขนาดไม่มีใครสนใจร่างไร้ชีวิตของซุนเจี้ยนเลยด้วยซ้ำ ที่พวกเขาคิดมีเพียงแค่ว่าตนเองจะหนีให้เร็วที่สุดได้ยังไง
ส่วนกลุ่มคนฝั่งหอคันธะสงัดแม้เห็นแต่ก็ไม่ได้ไล่ตาม เนื่องจากพวกเธอเองก็สูญเสียและบาดเจ็บกันไม่น้อย แม้ได้รับการรักษาบ้างแล้วแต่ก็ยังอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ทำให้ไม่มีกำลังมากพอจะไปไล่ตามจับกลับมาเชือดทิ้ง
อู๋ฝานก็ไม่ได้มีเจตนาจะไล่ตาม ลำพังแค่การสังหารซุนเจี้ยนเมื่อครู่แม้ดูง่ายดายเสมือนไม่ได้ออกแรง แต่จริง ๆ เขาเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว เพราะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เหตุการณ์ในถ้ำ ภายหลังก็ยังถูกชิงหลีในน้ำกระแทกเล่นงานหลายครั้งจนยิ่งบาดเจ็บหนัก ทำให้ตอนนี้แทบไม่เหลือกำลังให้แสดงออกมา
เมื่อขับไล่คนของสำนักเที่ยงยุทธ์ไปได้ ไม่ว่าจะคนของหอคันธะสงัดหรืออู๋ฝานเองต่างก็พึงพอใจต่อผลลัพธ์
ขณะคนของสำนักเที่ยงยุทธ์หลบหนี การสู้รบก็รู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่บรรดาผู้ฝึกตนกลับแทบไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้คนของพวกเขาตายในถ้ำไปไม่มากก็น้อย สภาพตอนนี้จะมีใจไปสนใจเรื่องของคนอื่นได้ยังไง?
ถ้ำที่เคยเป็นแดนลับถล่มลงจนไม่มีอะไรหลงเหลือ อีก ดังนั้นอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงตัดสินใจเดินทางกลับ
ขณะอู๋ฝานเดินกลับมาหากลุ่มคนหอคันธะสงัดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ขณะนี้เองที่มีผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งเข้ามาใกล้ หัวหน้าของกลุ่มคนเอ่ยทักทายขึ้นมา “สวัสดีครับ ผมเต๋าหมิงจากสำนักหลอมกระบี่ ขอถามชื่อจะได้ไหมครับ”
“อู๋ฝาน” อู๋ฝานตอบรับด้วยท่าทีเย็นชา
“เจ้าหออู๋ สำนักหลอมกระบี่ของพวกเรากำลังจะจัดงานชุมนุมกระบี่ขึ้นในวันที่สามของเดือนถัดไปครับ ผมเลยหวังว่าเจ้าหออู๋จะมีโอกาสมาเยี่ยมชม” เต๋าหมิงเอ่ยคำเชิญ
“สำนักหลอมกระบี่? งานชุมนุมกระบี่?” อู๋ฝานทวนคำ
เนื่องจากเพิ่งเข้าแวดวงผู้ฝึกตนมาได้ไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักหลอมกระบี่ ส่วนงานชุมนุมกระบี่คืออะไรนั้นยิ่งไม่ทราบไปกันใหญ่
“เจ้าหออู๋ไม่ทราบเรื่องสำนักหลอมกระบี่ของพวกเราเหรอครับ?” เมื่อเห็นท่าทีของอู๋ฝาน เต๋าหมิงจึงเผยอาการงงงวยตอบกลับ
สำนักหลอมกระบี่ของพวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ผู้ฝึกตนมาโดยตลอด น้อยคนที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเขา หรือว่าช่วงนี้สำนักของพวกเขาเกิดตกต่ำลงกันแน่?
“อา… ครับ เคยได้ยินมาบ้าง” อู๋ฝานตอบกลับ แม้ใจจริงจะไม่เคยได้ยินแม้ชื่อสำนักด้วยซ้ำ แต่หากพิจารณาจากท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็พอเดาได้ว่าสำนักหลอมกระบี่มีชื่อเสียงในแวดวงผู้ฝึกตนไม่น้อย ไม่เช่นแล้วอีกฝ่ายคงไม่มีอาการตอบสนองกลับมาเช่นที่เห็น
เต๋าหมิงพยักหน้ารับราวกับเป็นเรื่องที่ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว “หวังว่าเจ้าหออู๋จะมีเวลาแวะเวียนมานะครับ”
“ครับ แต่ไม่กล้ารับปากนะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ถ้ามีเวลาผมจะไปแน่นอน”
ตอนนี้อู๋ฝานมีกิจการหลากหลายต้องดูแล ทุกวันมีแต่จะยิ่งยุ่ง ยังไม่กล่าวว่าความยุ่งนี้มีผลไปถึงโลกแห่งเกมด้วยเช่นกัน ทำให้เขาไม่ทราบว่าหากถึงวันนั้นแล้วจะมีเวลาเหลืออยู่หรือไม่
คำพูดที่อู๋ฝานตอบกลับมาตามความเป็นจริง กลับไม่ใช่ที่เต๋าหมิงหวังว่าจะได้ยินนัก เพราะฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังหาข้ออ้าง
สถานะของสำนักหลอมกระบี่ในโลกผู้ฝึกตนเป็นเช่นไร? เขาอุตส่าห์มาเชิญอู๋ฝานเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ด้วยตนเอง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังเผื่อข้ออ้างไว้ใช้หลบเลี่ยง เรียกได้ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติเขา รวมถึงใม่ให้เกียรติสำนักหลอมกระบี่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความกระตือรือร้นที่เต๋าหมิงเคยแสดงออกจึงลดเลือนจนหายวับ สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงเบา “ถ้างั้นหวังว่าเจ้าหออู๋จะหาเวลามาเข้าร่วมได้นะครับ ขอลาเท่านี้ครับ”
จบคำ เขาก็ประสานฝ่ามือโค้งคำนับให้อู๋ฝาน ก่อนจะหันกลับจากไปพร้อมกลุ่มคนด้านหลัง
อู๋ฝานยิ่งสับสนต่อท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของเต๋าหมิง แต่เพราะไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับอีกฝ่าย ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเป็นใครมาจากไหน ดังนั้นเขาจึงไม่ถามอะไรให้มากความไป
หลังเต๋าหมิงและคณะกลับไปแล้ว บริเวณปากถ้ำจึงเหลือเพียงพวกอู๋ฝานและคนของหอคันธะสงัด
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ทั้งถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ต่างก็ถามอู๋ฝานออกมา “เพราะทางเข้าถ้ำถล่ม พวกเรายังนึกว่าคุณจะไม่รอดแล้วด้วยซ้ำ”
“จริงด้วยค่ะ ทางเข้าถ้ำปิดสนิทแบบนั้นแล้วคุณออกมาได้ยังไงคะ?” ถังอวี่เฟยตั้งข้อสงสัย
“ภายในถ้ำมีทางออกอื่นอยู่ครับ ผมมาจากทางด้านโน้นของเทือกเขา” อู๋ฝานตอบกลับ
“โชคดีที่ในถ้ำมีทางอื่นใช้ออกมา ไม่งั้นคงต้องติดใต้ซากตายไปแล้วละครับ” ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยต่างก็ไม่ได้สงสัยคำพูดของอู๋ฝาน ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงตระหนักว่าจริง ๆ แล้วนั้นชายหนุ่มออกมาจากทางเข้าถ้ำที่ถูกขวางกั้นอยู่ต่างหาก
“อู๋ฝาน เรื่องครั้งนี้อันตรายเกินไป ทำไมถึงตัดสินใจอยู่ต่อล่ะคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ผมอยากหาดูว่ามันมีโพรงใช้ลงไปด้านล่างอีกหรือเปล่าน่ะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ “แล้วก็พบเข้าจริง ๆ! นอกจากนี้ยังมีประตูลับสำหรับใช้ออกมาสู่ภายนอกด้วยครับ เพราะตามเส้นทางนั้นมาผมถึงหาทางออกมาได้”
ก่อนจะออกมาอู๋ฝานได้คิดคำอธิบายแผนที่ใช้ในการออกจากถ้ำกับกลุ่มคนเรียบร้อยแล้ว
“แปลว่าได้สมบัติจากสุสานมาด้วยสินะคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยต่างแสดงท่าทีประหลาดใจออกมา
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “ไว้กลับไปค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อครับ”
“ค่ะ” แม้คนทั้งสองจะสงสัยว่าอู๋ฝานค้นพบอะไรจากสุสาน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมจะพูดคุย เพราะฟ้าใกล้มืดแล้ว หากฟ้ามืดลงเมื่อใดพื้นที่หวงห้ามของภูเขาเทียนเหลียงจะยิ่งอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
จากนั้นพวกอู๋ฝานทั้งสามคน รวมถึงคนของหอคันธะสงัดต่างก็เดินทางกลับ เพราะคนของหอคันธะสงัดหลายคนได้รับบาดเจ็บ พวกเธอจึงไม่อาจเร่งเดินทาง จนกระทั่งช่วงสี่ทุ่มถึงได้กลับมาถึงตีนเขา
“มีแผนยังไงกันต่อครับ?” อู๋ฝานถามคนของหอคันธะสงัด
“พวกเราเตรียมตัวจะกลับสำนักกันแล้วค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนตอบรับ “เจ้าหอไม่กลับไปพร้อมพวกเราเหรอคะ?”
“คือว่า…” อู๋ฝานแสดงอาการลำบากใจออกมา “ตอนนี้ผมคงยังไม่มีโอกาสได้ไปที่สำนัก พวกคุณกลับไปก่อนก็แล้วกันครับ ใช้ช่วงนี้พักรักษาตัวให้ดี ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ติดต่อหาผมได้”
แม้อู๋ฝานตกลงเป็นเจ้าหอคันธะสงัดและเริ่มยอมรับตัวตนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้อยากพาตัวเองเข้าไปผูกติดกับหอคันธะสงัดในเวลานี้ เพราะปัจจุบันเขายังมีเรื่องราวทางโลกต้องทำอีกมากมาย นั่นก็คือการหาเงิน เรียกได้ว่าเป็นความต้องการสูงสุดของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้
“ถ้าเจ้าหอไม่กลับไปกับพวกเรา หลังจากนี้สำนักจะไม่เหลือใครคอยดูแลภาพรวมแล้วค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนพูดขึ้นมา “เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สำนักสูญเสียอย่างร้ายแรง ศิษย์หลายคนมีความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ ตอนนี้พวกเรากำลังเปราะบาง จึงต้องการให้เจ้าหอคอยดูแลภาพรวมเพื่อเป็นหลักอันมั่นคงให้แก่ทุกคนค่ะ”