บทที่ 416 สุสาน
บทที่ 416 สุสาน
“แล้วจะทำยังไงต่อคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เดินเข้ามาถามอู๋ฝาน
“ไม่รู้เลยครับ” อู๋ฝานส่ายหน้า เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะทำยังไงต่อ
“จะลังเลทำไมกันคะ เป็นเจ้าหอคันธะสงัดเลยนะ ได้เป็นถึงเจ้าสำนักชั้นสอง ไม่ใช่ว่ายอดเยี่ยมไปเลยรึไงคะ?” ถังอวี่เฟยพูดขึ้นมา “ในเมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำตามนั้นค่ะ”
ในความเห็นของถังอวี่เฟย การได้เป็นเจ้าหอคันธะสงัดถือเป็นเรื่องดี เพราะนับจากนี้ชื่อเสียงของอู๋ฝานในแวดวงผู้ฝึกตนจะยิ่งเลื่องลือ ไม่ใช่คนหน้าใหม่อีกต่อไป
“ฉันเองก็คิดว่าเรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ
“ครับ? ทำไมล่ะ?” อู๋ฝานถึงกับต้องถาม
ถังอวี่เฟยอยากให้เขามีชื่อเสียง เรื่องนี้อู๋ฝานไม่ประหลาดใจ เพราะเธอแทบไม่รู้เรื่องในโลกของผู้ฝึกตน ทำให้มองว่าความยิ่งใหญ่เป็นเรื่องดี แต่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่อยู่ในแวดวงนี้มานานกลับยังเห็นด้วย นับว่าทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
“หอคันธะสงัดเป็นสำนักชั้นสอง แม้ครั้งนี้จะเสียกำลังไปมากพอสมควร แต่รากเหง้าของพวกเขาก็ยังคงอยู่ค่ะ คุณได้เป็นเจ้าหอคนใหม่ ในโลกฝั่งนี้ถือว่ามีกำลังรบเป็นของตัวเองแล้ว ต่อไปจะทำอะไรก็จะยิ่งสะดวก และถ้าปฏิเสธออกไป หอคันธะสงัดคงไม่มีทางเอาตัวรอดไปได้แน่ กระทั่งชื่อสำนักก็คงไม่เหลือในโลกผู้ฝึกตนค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับมา
“หมายความว่ายังไงครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ว่าเพราะอะไรฮุ่ยเหวินถึงขอให้อู๋ฝานเป็นเจ้าหอ เธอวิเคราะห์ได้เหมือนกับกลุ่มคนที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน
“เป็นแบบนี้นี่เอง ตอนแรกนึกว่าเป็นการด่วนตัดสินใจเกินไปด้วยซ้ำ” อู๋ฝานตอบรับ เพราะเมื่อกี้เขาไม่ได้ครุ่นคิดถึงขนาดนั้น
“ต้องเป็นแบบนั้นแหละค่ะ! กับนักพรตฮุ่ยเหวินที่อยู่ในแวดวงผู้ฝึกตนมายาวนานหลายปีและผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนขนาดนั้น เธอไม่มีทางคิดง่าย ๆ เลือกใครก็ได้เป็นเจ้าหอคันธะสงัดแน่นอนค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับอย่างมั่นใจ
“ถ้าผมไม่เป็นเจ้าหอ หอคันธะสงัดจะตกอยู่ในอันตรายจริงเหรอครับ?” อู๋ฝานถาม
“ใช่ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ “ความโหดร้ายในแวดวงผู้ฝึกตนเป็นยังไง คุณยังจินตนาการไม่ออกแน่ค่ะ”
คำพูดของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทำให้อู๋ฝานลังเล เดิมเขาไม่คิดอยากเป็นเจ้าหอ แต่การจะให้ทนดูหลายคนของสำนักตายไปก็ไม่ได้ โดยเฉพาะการที่มีคนรู้จัก แม้จะไม่ได้สนิทสนม แต่แค่นึกคิดถึงเรื่องราวเลวร้ายก็คงทำให้ตนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“แต่ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้าหอเลยสักนิดนะครับ ผมอยากทำธุรกิจหาเงิน และใช้ชีวิตร่ำรวยอย่างมีความสุขต่างหาก” อู๋ฝานเปิดเผยความในใจ
ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยเหม่อมองอู๋ฝาน พลางคิดไปว่าความคิดของเขาช่างง่ายดายซะจริง ๆ สุดท้ายหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่อยากเป็นเจ้าหอ ก็แค่ฝึกฝนผู้สืบทอดขึ้นมา รอจนหอคันธะสงัดกลับมามั่นคงเมื่อไหร่ ศิษย์คนนั้นก็คงเติบโตมากพอให้คุณถอนตัวจากตำแหน่งเจ้าหอได้ค่ะ”
“นี่มันใช่ทางแก้แน่เหรอครับ” อู๋ฝานถาม
“ตู้ม!”
ตอนนี้เองที่พื้นของลานกว้างเกิดแรงระเบิดสั่นหวั่นไหว พวกอู๋ฝานรีบหันไปมอง ก่อนจะเห็นโพรงขนาดใหญ่ที่ใจกลางพร้อมบันไดบริเวณขอบรอบ ๆ ทอดยาวลงไป
“เปิดแล้ว เปิดแล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกนด้วยความยินดี
หลังจากนั้นกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้รวมตัวกันชมการต่อสู้ระหว่างสองสำนัก จึงพร้อมใจไปรวมตัวกันตรงทางเข้าเพื่อเดินลงไป
ทำไมถึงมีโพรงตรงกลาง?
พวกอู๋ฝานทั้งสามคนต่างมองหน้ากันเองเพราะไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“พวกเขากำลังไปไหนกันครับ?” อู๋ฝานอดไม่ได้จนต้องถามออกมา
“เรียนเจ้าหอค่ะ” ทันใดนั้นเองที่หนึ่งในศิษย์จากหอคันธะสงัดลุกขึ้นมารายงานด้วยความนอบน้อม “พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสุสานของผู้ที่เป็นเจ้าของแดนลับแห่งนี้ค่ะ ข่าวลือเล่าขานว่าทางเข้าจะปรากฏที่ใจกลางของพื้นที่โล่งกว้างหลายชั่วโมง คิดว่าน่าจะเป็นทางเข้าที่เห็นตรงหน้านี้ไม่ผิดแน่ค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกอู๋ฝานจึงค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น บรรดาผู้ฝึกตนที่มากันจนถึงที่นี่ ย่อมไม่ใช่เพราะต้องการดูศึกระหว่างสำนักเที่ยงยุทธ์และหอคันธะสงัด แต่มาเพราะเรื่องของแดนลับ เพียงแต่ตอนพวกอู๋ฝานมาที่นี่กลับโดนเรื่องราวดึงเข้าไปพัวพัน จึงเป็นเหตุให้ลืมเลือนจุดประสงค์หลักไป
ทั้งสามคนมองหน้ากัน สุดท้ายอู๋ฝานจึงหันไปบอกกับศิษย์ของหอคันธะสงัด “พวกคุณพักอยู่ที่นี่กันก่อนนะครับ พวกเราจะไปดูสถานการณ์ที่สุสาน”
เหล่าศิษย์จากหอคันธะสงัดเพิ่งผ่านศึกครั้งใหญ่มา ตอนนี้จำเป็นต้องพักรักษาตัว ขณะที่พวกอู๋ฝานเดินทางมาที่แดนลับแห่งนี้เพราะมีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด และตอนนี้มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว หากไม่เข้าไปดูให้เห็นกับตาคงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ใช่น้อย
“ค่ะ!” ศิษย์จากหอคันธะสงัดต่างรับคำเป็นเสียงเดียว จากท่าทีนอบน้อมของพวกเธอ แค่เห็นก็บอกได้ว่ายอมรับอู๋ฝานเป็นเจ้าหอเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าการคุกเข่าคำนับก่อนหน้านี้ของพวกเธอก็นับเป็นการยอมรับจากใจจริงเช่นกัน
เมื่อเจอการตอบรับแบบนี้ อู๋ฝานถึงกับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา เพราะเห็นสีหน้าลำบากใจที่ไม่ค่อยได้เห็น ทำให้ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยต่างหัวเราะกันเบา ๆ
ทั้งสามตามกลุ่มผู้ฝึกตนเดินตามบันไดลงไป
“บันไดพวกนี้เจ้าของแดนลับสร้างด้วยตัวเองเหรอครับเนี่ย? ไม่ใช่งานเล็ก ๆ เลยนะ แล้วยังอยู่ในถ้ำใต้ภูเขาอีก” อู๋ฝานพูดเสียงเบา
“เจ้าของแดนลับต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้วค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากต่อเนื่องระหว่างทางจนถึงที่หมาย หรือบันไดยาวตรงหน้า ทั้งหมดต่างก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าของแดนลับแห่งนี้ไม่มีทางใช่คนธรรมดา
“ต่อให้ไม่ธรรมดายังไงก็ตายไปแล้ว และยังชวนเวทนาด้วย หลังตายไปนานแล้วสุสานกลับถูกขุดค้นโดยคนมากมายถึงขนาดนี้” ถังอวี่เฟยพูดขึ้นมา
ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และอู๋ฝานต่างมองหน้ากันอย่างไร้คำพูด แม้ที่ถังอวี่เฟยพูดมาจะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นข้อเท็จจริง เจ้าของแดนลับแห่งนี้ในปัจจุบันคงไม่ได้พักผ่อนหลังความตายอย่างสงบสุขเช่นที่คาดหวัง
เดินมากว่าหนึ่งร้อยก้าว ทั้งสามคนพอคาดเดาได้ว่าลงมาใต้ดินลึกพอสมควร จนกระทั่งสุดปลายสายตาก็เห็นลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง ใจกลางของพื้นที่มีโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บรรดาผู้ฝึกตนที่เข้ามาก่อนหน้าพวกอู๋ฝานต่างก็ยืนรายล้อมโลงศพนั้นเอาไว้
หากเดาไม่ผิด ร่างที่นอนนิ่งสงบในโลงควรเป็นเจ้าของแดนลับแห่งนี้
กลุ่มคนต่างมองโลงศพด้วยสายตาคาดหวัง แม้พวกเขาเหล่านี้สนใจว่าอะไรอยู่ด้านใน แต่กลับไม่มีใครกล้าเปิดมันเป็นคนแรก
“ไอ้พวกคนขลาด ไม่กล้าก็ถอยไป ฉันเอง!” ขณะกลุ่มคนยืนเฉย เสียงแข็งกร้าวก็ดังขึ้นพร้อมร่างชายวัยกลางคนที่เดินผ่านฝูงชนตรงเข้าหาโลงศพ
คนอื่นที่เห็น พวกเขาต่างชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มถอยเท้า ส่วนอีกหลายคนกลัวว่าทรัพย์สมบัติในโลงศพจะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงเอาไปจึงเร่งตามติด
“พวกเราเอายังไงดีล่ะคะ?” ถังอวี่เฟยเอ่ยถาม
“ไม่ต้องรีบครับ ดูไปก่อนดีกว่า” อู๋ฝานตอบกลับ
อาศัยจากสิ่งที่เห็นระหว่างทางมาที่นี่ เจ้าของแดนลับแห่งนี้ไม่ใช่คนใจดีแน่นอน ดังนั้นอู๋ฝานจึงมองว่าอีกฝ่ายคงไม่อนุญาตให้ใครก็ตามหยิบฉวยทรัพย์สมบัติไปง่าย ๆ