บทที่ 409 การต่อสู้ในลานกว้าง
บทที่ 409 การต่อสู้ในลานกว้าง
เป้ยอวี่ฉวนที่อาการบาดเจ็บยังไม่ฟื้นฟู ตอนนี้เมื่อถูกแรงกระแทกจากสิ่งมีชีวิตประหลาดเล่นงานจึงยิ่งทำให้บาดเจ็บรุนแรงขึ้น ทั้งร่างอ่อนแรงราวกับจะตกอยู่ในอาการสาหัสได้ทุกเมื่อ
อู๋ฝานที่เห็นจึงยิ่งร้อนใจ จากท่าทีของเป้ยอวี่ฉวน เธอไม่น่าจะอยู่ใต้น้ำได้นานกว่านี้แล้ว ต้องรีบหาทางพาเธอขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุด ทว่าคนทั้งสองยังโดนสัตว์ร้ายเข้าพัวพัน หากคิดหนีออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
อู๋ฝานครุ่นคิดขณะมองเป้ยอวี่ฉวนที่ยิ่งอ่อนแรงลง พร้อมตัดสินใจนำป้ายอัญเชิญออกมาจากกระเป๋าหลังเพื่อใช้งาน โดยการเรียกมอนสเตอร์ออกมายี่สิบตัว
ทันทีที่มอนสเตอร์ทั้งยี่สิบตัวปรากฏ พวกมันตั้งวงล้อมรอบอู๋ฝานและเป้ยอวี่ฉวน แต่มอนสเตอร์เหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตบนบก ไม่ใช่ใต้น้ำ หลังอัญเชิญมาทั้งที่อยู่ใต้น้ำ พวกมันก็เป็นได้เพียงแค่เป้าหลอกล่อ
อู๋ฝานไม่อาจสนใจเรื่องเล็กน้อย ตอนนี้รีบสั่งให้พวกมันโจมตีสิ่งมีชีวิตดังกล่าว อย่างไรพวกมันก็เป็นสิ่งที่อัญเชิญออกมา ต่อให้ตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่มอนสเตอร์ไม่อาจเข้าใจวิธีการต่อสู้ใต้น้ำ แม้พวกมันจะได้รับคำสั่งจากอู๋ฝาน แต่กลับไม่อาจทำตามได้อย่างเหมาะสม ที่ทำได้ก็เพียงแหวกว่ายไปทั่ว โชคดีที่ในบรรดาพวกมันยี่สิบตัว มีมอนสเตอร์ที่คล้ายปลาอยู่สอง ทำให้สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใต้น้ำได้ หลังได้รับคำสั่งจากชายหนุ่ม พวกมันจึงว่ายเข้าหาสิ่งมีชีวิตดังกล่าว
หลังเห็นมอนสเตอร์สองตัวสามารถเข้าต่อกรกับสิ่งมีชีวิตดังกล่าวได้ อู๋ฝานจึงรีบนำเป้ยอวี่ฉวนว่ายไปต่อ ตอนนี้สัตว์ร้ายไม่อาจไล่ตามได้อีก ก่อนชายหนุ่มจะขึ้นไปเหนือผิวน้ำก็ยังสำรวจสถานการณ์ใต้น้ำอยู่ ทั้งยังต้องประหลาดใจด้วยซ้ำที่สิ่งมีชีวิตดังกล่าว เมื่อเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ทั้งสองแล้วก็ยังสามารถมีชีวิตรอดได้
ตอนนี้อู๋ฝานเลเวลสิบสาม มอนสเตอร์ที่อัญเชิญออกมาจึงเลเวลสามสิบสาม ขณะมอนสเตอร์เลเวลสามสิบสามถึงสองตัวเข้าพัวพัน กลับทำได้เพียงสู้เสมอกับสิ่งมีชีวิตดังกล่าว มันมากพอที่จะบอกว่าเจ้าตัวที่ปรากฏใต้น้ำอย่างกะทันหันแข็งแกร่งขนาดไหน
‘มันตัวบ้าอะไรกันแน่? ทำไมถึงมีชีวิตและอาศัยอยู่ที่นี่? แล้วทำไมมันถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น?’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
แม้ในใจจะนึกสงสัย แต่เขาก็ไม่คิดกลับไปพิสูจน์หรือตรวจสอบ ในเมื่อหลุดพ้นมาได้แล้ว จึงไม่คิดเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อคนทั้งสองที่ตามหลังปรากฏตัวเหนือผิวน้ำ ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยที่มาถึงก่อนต่างรีบเข้ามาช่วยเหลือ
“ทำไมใช้เวลานานคะ? พวกเรานึกว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว” ถังอวี่เฟยถามอู๋ฝาน ขณะร่วมแรงกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ช่วยนำร่างเป้ยอวี่ฉวนขึ้นไปบนฝั่ง
“เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ครับ” อู๋ฝานปีนขึ้นฝั่งขณะตอบถังอวี่เฟย
“มีอะไรคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ก้นสระน้ำนี่มีสัตว์ประหลาดค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนแรง “สัตว์ประหลาดจำนวนมากด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเป้ยอวี่ฉวนไม่รู้เรื่องมอนสเตอร์ที่อู๋ฝานอัญเชิญออกมาในภายหลัง เธอมองว่าพวกมันอาศัยอยู่ก้นสระน้ำมาตั้งแต่แรก
“สัตว์ประหลาด?” ถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทวนคำด้วยความสงสัย เพราะพวกเธอว่ายนำหน้ามาอย่างราบรื่น ทำให้ไม่พบเจออะไรทั้งสิ้น
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “พวกเราฉวยโอกาสตอนพวกมันต่อสู้กันเองหลบออกมา”
ในเมื่อเป้ยอวี่ฉวนไม่รู้ว่ามอนสเตอร์เหล่านั้นถูกอัญเชิญออกมา อู๋ฝานจึงหาทางกลบเกลื่อน
“เหมือนว่าที่นี่จะอันตรายเกินกว่าที่คาดเอาไว้มากนะคะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เผยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่ใช่ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่เคยไปแดนลับแห่งอื่น แม้แดนลับแห่งอื่นจะอันตรายเช่นกัน แต่มันก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ เรื่องนี้ทำให้ในใจเธอเริ่มกังวลขึ้นมา
“ไปกันครับ พวกเราต้องไปต่อ” อู๋ฝานตอบกลับ
หากอยู่ที่นี่ต่อไปอย่างไรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาก็ต้องไปต่อเพื่อดูให้เห็นว่าแดนลับแห่งนี้เป็นอย่างไร
เพราะเป้ยอวี่ฉวนบาดเจ็บซ้ำอีกครั้ง ทั้งหลิ่วเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยจึงต้องช่วยประคองเดิน ขณะอู๋ฝานคอยนำหน้าตรวจสอบเส้นทาง
แต่พวกอู๋ฝานยินดีอยู่ได้ไม่นาน ราวยี่สิบนาทีให้หลัง พวกเขากลับได้ยินเสียงการต่อสู้ของกลุ่มคนดังขึ้นมา
ทั้งคณะตื่นตกใจขณะหันมองหน้ากันเองราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ได้ยิน
“พวกเราระวังตัวด้วยครับ ถ้าสถานการณ์ไม่สู้ดีให้รีบถอยทันที” อู๋ฝานบอกออกมา
เจอคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรที่นี่ก็มีผู้ฝึกตนมากมายเดินทางเข้ามา หากจะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งจนต่อสู้กันก็ยังถือว่าเข้าใจได้ มันเป็นเหมือนที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอกเอาไว้ ว่าเหล่าผู้ฝึกตนไม่ใช่คนดีกันสักเท่าไหร่ บางคนกระทั่งหยิ่งผยองมองว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้อื่นก็มีไม่ใช่น้อย
พวกอู๋ฝานมาเยือนแดนลับครั้งนี้ย่อมไม่คิดกลับไปกลางคัน ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินต่อเพื่อตรวจสอบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
พวกหลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ ทั้งสามคนคอยอยู่ด้านหลังอู๋ฝานอย่างใกล้ชิดขณะมุ่งหน้าไปต่อ
หลังเดินอยู่ราวสองถึงสามนาที พวกเขาก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะมันไม่ใช่ทางแคบเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ที่นี่มีคนอยู่มากมาย กลางพื้นที่กำลังปรากฏกลุ่มคนสองกลุ่มสู้กัน ส่วนที่เหลือต่างถอยฉากมาขอบ ๆ ราวกับกำลังชมเรื่องสนุก
“คนของสำนักฉันค่ะ!” เป้ยอวี่ฉวนรู้ได้ทันทีว่าหนึ่งในสองกลุ่มที่ต่อสู้กันกลางลานกว้างนั้น ฝ่ายหนึ่งเป็นคนจากหอคันธะสงัดของเธอ!
เมื่อเห็นคนของสำนักตนเองกำลังต่อสู้กับคนอื่น เป้ยอวี่ฉวนถึงกับลืมอาการบาดเจ็บคิดเข้าไปช่วยสนับสนุน แต่เดินไปได้แค่สองก้าว ทั้งร่างก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรงจนล้มพับลงกับพื้น
“อย่าใจร้อนครับ” อู๋ฝานรีบเข้าประคองเป้ยอวี่ฉวน “ไปตรวจสอบดูให้แน่ใจก่อนครับ”
เป้ยอวี่ฉวนหรือจะไม่ร้อนใจ คนของสำนักเธอกำลังต่อสู้กับคนอื่น อีกทั้งยังดูตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตนจะกังวลใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกด้วยซ้ำ ทว่าหญิงสาวในสภาพเช่นนี้ ต่อให้ไม่สนใจตัวเองอย่างไร เธอก็ไร้ความสามารถจะเข้าสนับสนุน ทำได้เพียงยอมให้อู๋ฝานช่วยประคอง
อู๋ฝานนำกลุ่มคนของตนเองเดินต่อไปด้านหน้า กลุ่มคนที่มาถึงก่อนหน้าต่างก็ไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรที่นี่ก็มีผู้ฝึกตนเดินทางมาไม่ขาดสาย จะมีมาถึงตรงนี้เพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“คนของสำนักเที่ยงยุทธ์!” เมื่อเข้ามาใกล้มากพอ เป้ยอวี่ฉวนจึงรู้ว่าอีกฝ่ายที่กำลังต่อสู้กับคนจากสำนักของเธอเป็นใคร
อู๋ฝานขมวดคิ้ว เรื่องระหว่างสำนักเที่ยงยุทธ์และหอคันธะสงัดนั้นเขาได้ยินจากเป้ยอวี่ฉวนมาแล้ว ดังนั้นจึงต้องการหาคนจากสำนักของหญิงสาวมาสอบถามรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้คาดว่าเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งสองสำนักจะเปิดฉากสู้กันเรียบร้อยแล้ว
“พรตหญิงฮุ่ยเหวิน ฉันแนะนำอะไรให้ก็แล้วกัน จงยอมรับความพ่ายแพ้ซะ ไม่งั้นคนจากหอคันธะสงัดที่เธอพามาด้วยต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่!” ท่ามกลางกลุ่มคนที่ต่อสู้ ชายวัยกลางคนร่างไม่ได้สูงใหญ่นัก แต่กลับมีออร่าอันโดดเด่นเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา อีกฝ่ายที่เขาพูดด้วยนั้นเป็นนักพรตหญิงอายุราวห้าสิบปี
“ไม่มีวัน!” นักพรตหญิงจ้องมองชายวัยกลางคนพลางตอบโต้ “แม้วันนี้ฉันและคนของหอคันธะสงัดต้องตายที่นี่ก็ไม่คิดร้องขอความเมตตาจากพวกแก!”