บทที่ 407 ทางแยก
บทที่ 407 ทางแยก
ด้วยเหตุนี้คณะเดินทางของอู๋ฝานจึงเปลี่ยนจากสามเป็นสี่คน เพราะเป้ยอวี่ฉวนบาดเจ็บและถังอวี่เฟยก็เป็นคนธรรมดา ทำให้ความเร็วการเดินทางครั้งนี้ช้าลงกว่าช่วงที่มีเพียงเขาและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์
อันตรายในพื้นที่หวงห้ามยังไม่ได้เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะกลิ่นชวนคลื่นไส้ บึงน้ำ สัตว์ป่า และอีกหลากหลายอย่าง ที่นี่มีแต่ภัยคุกคามที่พร้อมจะปรากฏทุกเมื่อ ต้นไม้รอบด้านก็ยังมีขนาดใหญ่โตบดบังผืนฟ้า ทำให้ระยะการมองเห็นและการคาดเดาทิศทางเดินต่อยิ่งเป็นไปได้ยาก
โชคดีที่อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์แข็งแกร่งมากพอ แม้จะมีตัวถ่วงถึงสองคน แต่การเดินทางก็ยังคงไปต่อได้มั่นคงและราบรื่น
สองชั่วโมงผ่านไป คนทั้งสี่ก็มาถึงบริเวณด้านหน้าเทือกเขา
“จากข้อมูลที่รู้ แดนลับอยู่ในเทือกเขาตรงหน้าของพวกเรา มันจะมีถ้ำที่ผู้ฝึกตนในอดีตเคยใช้งานอยู่ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พูดขึ้นมา
อู๋ฝานถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อระบุตำแหน่งแดนลับในข่าวลือได้ชัดเจนขนาดนั้น แดนลับก็น่าจะถูกสำรวจไปนานแล้วนะครับ ข้างในจะยังเหลือสมบัติอะไรอีกล่ะ?”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์คิดตาม ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่รู้ชัด ๆ เหมือนกันค่ะ แต่ได้ยินมาจากคนที่เคยเข้าไปในแดนลับก่อนหน้านี้ ว่าสุดท้ายพวกเขาก็คว้าน้ำเหลวกลับมา ฉันเลยคิดว่าแดนลับแห่งนี้ไม่น่าใช่สถานที่ธรรมดา คิดหยิบอะไรออกมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
อู๋ฝานมองเทือกเขาตรงหน้าพลางตอบ “ยังไงพวกเราก็มาถึงที่นี่กันแล้ว ต้องไปดูให้เห็นกับตาเท่านั้นแหละครับ ถ้าได้รับอะไรกลับมาก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็ถือว่ามาเที่ยวชมสถานที่แล้วกันครับ”
แนวคิดของอู๋ฝานคือการมองในแง่ดี เขาแตกต่างจากบรรดาผู้ฝึกตนในความเป็นจริง เพราะสามารถทำการเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกม ที่ซึ่งมีแต่สมบัติรอคอยให้หยิบฉวย แดนลับในโลกความเป็นจริง ในสายตาของเขาก็ไม่ได้น่าคาดหวังอะไรถึงขนาดนั้น ตอนที่เดินทางมาที่นี่ตนก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายด้วยซ้ำ ชายหนุ่มแค่อยากร่วมทางมาเปิดหูเปิดตา ดูว่าคนอื่นในแวดวงผู้ฝึกตนเป็นอย่างไรก็เท่านั้น
ดังนั้นแนวคิดของอู๋ฝานจึงผ่อนปรนและปล่อยวาง
ทั้งสามคนต่างพยักหน้ารับ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เดิมก็ไม่สนใจอะไรมากอยู่แล้ว แม้เธอจะเป็นผู้ฝึกตน แต่ก็เพียงสงสัยเรื่องราวของแดนลับเท่านั้น หญิงสาวสามารถวางตัวอยู่เหนือความโลภได้ แม้ไม่ได้รับอะไรกลับมาก็ไม่ใส่ใจ ถึงเธอไม่อาจเทเลพอร์ตได้เช่นอู๋ฝาน ทว่าเบื้องหลังของเธอก็เลิศล้ำเกินใครเทียบ บ่อยครั้งได้เห็นของดีผ่านตาไปมามากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับของในแดนลับมากนัก
ส่วนถังอวี่เฟยนั้นมาเพราะอยากเปิดหูเปิดตา เรื่องแดนลับมีสมบัติหรือไม่นั้น มันไม่อยู่ในความคิดของเธอด้วยซ้ำ กระทั่งไม่รู้ว่าแดนลับคืออะไรกันแน่ ส่วนทางเป้ยอวี่ฉวน จิตใจของเธอมีเพียงการล้างแค้นให้อาจารย์และศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นไม่อยู่ในใจแม้แต่น้อย
กลุ่มคนทั้งสี่เดินทางต่อไปยังเทือกเขา ก่อนจะเจอถ้ำตามข้อมูลและเข้าไปอย่างราบรื่น
“ก่อนหน้านี้มีคนมากมายมาที่นี่ จากสภาพน่าจะเคยเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นนะครับ” อู๋ฝานพูดขึ้นมาพลางสำรวจรอยเท้าอันวุ่นวายบริเวณปากทางเข้าถ้ำ รวมถึงต้นไม้และวัชพืชโดยรอบที่ถูกทำลาย
“ถือว่าเข้าใจได้ค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบรับ “ในแวดวงผู้ฝึกตน มันไม่ได้สงบสุขเหมือนที่คนภายนอกคิด ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ การต่อสู้น้อยใหญ่มักเกิดขึ้นไม่เคยขาด เพราะทรัพยากรสำหรับใช้ฝึกฝนมีอย่างจำกัด ไม่ว่าสำนักไหนต่างก็ต้องการทรัพยากร จะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันก็ไม่แปลก และผู้ฝึกตนก็เป็นคนที่ฝึกฝนการต่อสู้ ความมั่นใจเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงปะทะกันได้ง่าย ๆ และยังมีเรื่องความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสำนักกับเรื่องส่วนตัวที่เข้ามาเกี่ยวด้วย”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” ถังอวี่เฟยที่ได้ฟังจึงพยักหน้าตอบรับ “ฉันเคยคิดว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ตัดขาดจากเรื่องราวทางโลกเหมือนในนิยายด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าจริง ๆ แล้วจะกระทบกระทั่งกันเหมือนการเมืองขนาดนี้”
ขณะคนทั้งสี่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำเพื่อพูดคุย ด้านหลังก็ปรากฏกลุ่มคนเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาเป็นคนจากสำนักใดสักแห่ง ทุกคนต่างก็มีออร่าของผู้ฝึกตนแผ่ออกมาจนสามารถรับรู้ได้
ตอนที่พวกเขาเห็นกลุ่มอู๋ฝานสี่คน ที่ทำก็เพียงปรายตามองก่อนจะเดินเข้าถ้ำไป เห็นได้ชัดว่าข่าวเรื่องแดนลับแพร่กระจายออกไปไกล ผู้ฝึกตนมากมายมาเยือน หากไม่ใช่เพราะมีข้อพิพาทเก่าต้องชำระ ผู้ฝึกตนจะไม่ลงมือโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะไม่มีใครรู้ว่าที่ลงมือไปนั้นจะเป็นใคร มาจากตระกูลไหน เป็นมิตรสหายของใคร หรือศิษย์พี่น้องร่วมสำนักใด ดังนั้นการไม่บุ่มบ่ามลงมือถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะครับ” อู๋ฝานเห็นกลุ่มคนมาทีหลังทว่าเดินเข้าถ้ำไปก่อนจึงเอ่ยขึ้น
คนทั้งสามต่างพยักหน้ารับขณะติดตามชายหนุ่มเข้าถ้ำในภูเขาไปอย่างใกล้ชิด
เดิมอู๋ฝานคิดว่าด้านในถ้ำจะอับแสง แต่หลังเข้ามาจึงได้รู้ว่าด้านในเป็นเหมือนมาโผล่อีกสถานที่หนึ่ง มันไม่ได้อับแสงเช่นที่คิด กระทั่งว่าสว่างไสว อากาศก็ยังค่อนข้างแห้งซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่ชื้นจนยากที่จะหายใจเหมือนภายนอก
“หือ กลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว?” ถังอวี่เฟยมองตรงไป ก่อนจะรู้ว่ากลุ่มคนที่เข้ามาก่อนไม่นานหายไปเรียบร้อยแล้ว
พวกอู๋ฝานมุ่งหน้าไปต่อ พร้อมกับพบว่าระยะหนึ่งร้อยเมตรถัดมานั้นเป็นทางแยกหลายเส้นทาง คาดการณ์คร่าว ๆ ว่าใครก็ตามที่เคยเข้ามาจะต้องเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง
อู๋ฝานมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ราวกับคิดถามว่าจะเลือกเส้นทางใด เพราะในบรรดาพวกเขาทั้งสี่ มีเพียงหญิงสาวที่ทราบสถานการณ์ของแดนลับ
แม้หลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะเห็นสายตาสอบถามจากอู๋ฝาน แต่เธอกลับทำได้เพียงแค่ส่ายศีรษะ “ฉันไม่รู้ว่าต้องเลือกทางไหนค่ะ ข่าวที่ได้มาบอกแค่ตำแหน่งของแดนลับ ส่วนสถานการณ์ภายในถ้ำเป็นยังไงไม่มีการอธิบายเอาไว้ ฉันก็เพิ่งรู้ก็ตอนนี้ว่าที่นี่มีทางแยกหลายเส้นทาง”
อู๋ฝานขมวดคิ้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายเหมือนที่คาดเอาไว้ซะแล้ว
“จะว่าไป ใครที่เป็นคนปล่อยข่าวเรื่องแดนลับครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถามขึ้นมา “ในเมื่อค้นพบแดนลับและรู้ว่าที่นี่มีของดี ทำไมไม่เก็บเอาไว้สำรวจด้วยตัวเองไปทีละนิด แต่เลือกที่จะปล่อยข่าวให้คนภายนอกรู้เรื่องกันล่ะครับ? เพราะอะไรเขาถึงต้องกระจายข่าวออกไป ทั้ง ๆ ที่ทำไปก็มีแต่จะปล่อยให้สมบัติในแดนลับถูกคนอื่นชิงไปไม่ใช่เหรอครับ? ทำแบบนี้แล้วคนคนนั้นจะได้อะไร?”
คนทั้งสามครุ่นคิดตามพร้อมขมวดคิ้ว ไม่มีใครเดาออกว่าอีกฝ่ายจะกระจายข่าวนี้ออกมาเพื่ออะไร
“บางทีเขาอาจจะคิดว่าตัวเองไม่สามารถสำรวจที่นี่ได้หมด จะปล่อยให้มันถูกฝังไว้ก็ไม่ใช่เรื่องดี เลยกระจายข่าวให้คนอื่นรู้มั้งคะ”
อีกฝ่ายจะเป็นคนดีถึงขนาดนั้นเลย?
อู๋ฝานมองว่ามันไม่ใช่เหตุผลเรียบง่ายอย่างแน่นอน
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการหยุดครุ่นคิดตรงนี้ไม่มีทางได้คำตอบขึ้นมา ถ้าคิดอยากรู้ความจริงก็มีแต่ต้องสำรวจที่นี่ต่อ หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่อาจทำให้เกิดอะไรขึ้นมา
“ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน งั้นก็สุ่มเลือกสักทางแล้วกันครับ” อู๋ฝานเสนอความคิดเห็น
อีกสามคนไม่มีใครเห็นต่างจึงพยักหน้ารับ
ด้วยเหตุนี้อู๋ฝานจึงทำการสุ่มเลือกและเดินนำไป โดยมีอีกสามคนที่เหลือเดินตามติด ๆ