แต่ถึงอย่างนั้น คังชือหลินก็ยังรู้สึกหนักใจ เขาไม่ได้ไปเก็บของด้วยซ้ำ เขาออกเดินทางไปทันที เพราะของมีค่าทั้งหมดอยู่ในแหวนมิติ และที่พักของเขาก็ไม่มีอะไรมีค่า ของจิปาถะพวกนั้นไม่จำเป็นต้องกลับไปเก็บเพราะมันไม่ได้มีค่ามากเท่าไหร่
เมื่อบินออกมาจากเมือง ร่างของคังชือหลินก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาหันกลับมามองที่เมืองด้านล่างด้วยความเศร้าและกระอักกระอ่วน
“ลาก่อนสมาคมค่ายกล ลาก่อนบ้านของข้า” คังชือหลินกระซิบ ก่อนจะหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือแบบไม่มีวันย้อนกลับมาที่นี่
ในเวลาเดียวกันที่สมาคมปรุงยา, หลอมและพันธมิตรร้อยสำนักเองก็มีร่างๆหนึ่งที่บินออกมาจากที่ที่พวกเขาอยู่มาหลายปี ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือ
สถานการณ์พวกนั้นเหมือนกับคังชือหลิน พวกเขาคือคนที่โชคร้ายจากสมาคมและกองกำลังอื่นๆที่ไม่ค่อยมีตัวตนในสมาคม พวกเขามักจะถูกมองข้าม
….
ที่ภูเขาร้าง
ในวันนั้นสำนักคังเฉียงยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนในอดีต แต่อยู่ ๆมันกลับดูอ้างว้างขึ้นมา แม้แต่ตอนมื้อเที่ยง อาจารย์และศิษย์หลายคนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
เจ้าสำนักมากินมื้อเที่ยงโดยไม่รับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆนี่เลย
หลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จเจ้าสำนักก็ลุกขึ้น และปรบมือดึงความสนใจจากทุกคน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาช้า ๆ “ผ่านไปเกือบปีแล้ว ข้าพอใจอย่างมากที่ทุกคนยังไม่ออกจากสำนักคังเฉียงในปีนี้ นอกจากนี้สำนักคังเฉียงก็ยังเป็นไปตามที่ข้าได้คาดเอาไว้หลังจากที่พัฒนาขึ้นมาทั้งหมดนี้เพราะความช่วยเหลือของทุกคน ข้าต้องขอบคุณอาจารย์ทุกคนที่ช่วยกัน ! ”
โอวเสินเฟิงรีบลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นมา “เจ้าสำนัก นี่คือสิ่งที่ข้าควรจะทำ ยิ่งไปกว่านั้นการที่เจ้าสำนักช่วยให้ข้าได้ฟื้นคืนชีพ หากเทียบกันแล้ว การทำงานนี่จะไปมีความหมายอะไร ?”
เจ้าสำนักพยักหน้าตอบรับและหันไปหาอู่ฉิงฉวน “ส่วนท่านอู่ ท่านก็ทำงานหนักกับการเตรียมอาหารสามมื้อให้กับเหล่าศิษย์และอาจารย์ มันกินเวลาส่วนตัวของท่านไปอย่างมาก สำหรับเรื่องนี้แล้วในนามของสำนักคังเฉียง ข้าขอขอบคุณท่านจริงๆ ! ”
“เจ้าสำนัก เป็นเกียรติที่ข้าได้มีส่วนร่วมกับสำนักคังเฉียง “ อู่ฉิงฉวนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “การที่เจ้าสำนักชมข้าแบบนี้ทำให้ข้ารู้สึกผิด ”
“ท่านอู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เจ้าสำนักยิ้มออกมาและมองไปที ซู่เหยียน,หลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆก่อนจะพูดขึ้น “ อาจารย์ซู่, ผู้ช่วยหลิน, ผู้ช่วยโหว…. แม้ว่าพวกท่านจะยังไม่ได้เข้าร่วมกับพวกเราอย่างเป็นทางการ แต่พวกท่านก็ได้ทำการชี้แนะศิษย์ ข้าคงต้องขอบคุณพวกท่านเช่นกัน ”
ซู่เหยียนและคนอื่นๆรีบลุกขึ้นยืนและตอบรับด้วยความสุภาพ
เจ้าสำนักผายมือออกและรอให้ซู่เหยียนกับคนอื่นๆใจเย็นลง จากนั้นเขาก็มองไปที่เฉินกู ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ อาจารย์เฉิน ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ชินกับมนุษย์ ข้าจะไม่บังคับท่าน แต่ท่านก็อยู่กับเรามาได้สักพักใหญ่แล้ว ข้าคิดว่าท่านควรลองทบทวนดูว่าจะกลับมาสอนที่สำนักคังเฉียงในปีหน้าได้หรือไม่ ?”
ตั้งแต่ที่เฉินกูเข้าร่วมสำนักคังเฉียง เขาก็เอาแต่สอนที่ป่าหวงหยวนมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเพราะเขาจงใจหรือไม่ แต่ที่เขาทำแบบนั้นไปก็เพราะระวังตัวจากจางหยู สองวันก่อนภูเขาที่เขตมืดได้ถูกทำลายลงไป ดังนั้นเขาจึงได้สอนอยู่ในสำนักตลอดสองวันมานี้
“ขอบคุณเจ้าสำนัก ข้าเต็มใจ ! ” เฉินกูอยากกลับมาที่สำนักคังเฉียงเพื่อสอนมานานแล้ว เมื่อเจ้าสำนักออกปากเชิญเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
เจ้าสำนักยิ้มออกมาอย่างพอใจและพูดขึ้น “ฮาฮา ! ดี ! ท่านตกลงก็ดี ! ”
สัตว์อสูรต่างก็พากันตื่นเต้นกันขึ้นมา “ ยอดเยี่ยมจริงๆ !”
เฉินกูจะมาสอนที่สำนักคังเฉียง พวกเขาก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับ นี่ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับสัตว์อสูร การประหยัดเวลาพวกนั้นได้พวกเขาก็จะไปทำอย่างอื่นได้อย่างการบ่มเพาะแทนที่จะไปเสียเวลากับการเดินทาง
ที่สำคัญกว่านั้นคือการได้อยู่ในสำนักคังเฉียงนั้น ดูเหมาะกับการเป็นศิษย์มากกว่า
เจ้าสำนักมองไปรอบๆและเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมา
สำนักคังเฉียงในตอนนี้เต็มไปด้วยคนมีพรสวรรค์และแข็งแกร่ง
ในฝ่ายอาจารย์ด้านมนุษย์ยังมี ซู่เหยียน, โอวเสินเฟิง,อู่ฉิงฉวนและคนอื่นๆ ในด้านสัตว์อสูรก็มีเฉินกูและกลุ่มสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวน เผ่ามังกรก็มีอ้าวอู่เหยียนและอ้าวเยว่ ด้วยอาจารย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้หากมองทั้งโลกแล้วคงไม่มีกองกำลังไหนจะมาเทียบเท่าได้
ในหมู่ศิษย์ก็ยังมีอัจฉริยะ 6 ดาวอย่าง เซียวเหยียน,เซี่ยเฟิงและหนิวซิงไห่ ด้านสัตว์อสูรก็ยังมีมังกรแดง, อินทรีย์ปีกฟ้าและไป่หลิง สายอาชีพพิเศษก็ยังมี อู่โม่,เติ้งชิวฉาน และคนอื่นๆ นี่ยังมีสัตว์อสูรที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ศิษย์ทั่วไปอย่าง เย่ลั้ว,เหมาฉางเฟิงและจางเหิงหยาง ก็ยังถือว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นหากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน
นอกจากนี้ภายใต้ความพยายามของมังกรแดงและสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ภูเขาแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปในเวลาอันสั้น พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมาใหม่ หลังจากนี้มันอาจจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
เมื่อคิดถึงภาพในตอนแรก เขาได้พัฒนาสำนักคังเฉียงขึ้นมาจากกองดิน เจ้าสำนักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จ “รอจนกว่าเหล่าเซียนจะส่งคนมาที่นี่ มันจะทำให้สำนักคังเฉียงแข็งแกร่งขึ้น ตอนที่สำนักคังเฉียงรับศิษย์ในปีนี้ เราจะเริ่มวันหยุดกัน ! ”
ตอนนั้นเจ้าสำนักเริ่มคาดหวังกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง
จากนั้นเจ้าสำนักก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ ต่อไปข้าจะประกาศเรื่องการพัฒนาสำนักคังเฉียงในปีหน้า และตำแหน่งอาจารย์ในปีหน้า ”
ตอนนั้นเหล่าอาจารย์ต่างก็พากันกังวลและตั้งใจฟังกันขึ้นมา
“ปีหน้าสำนักคังเฉียงจะรับศิษย์จำนวนมาก ชั้นเรียนมนุษย์แต่เดิมจะแบ่งแยกย่อยเป็นชั้นเรียนบ่มเพาะ, ปรุงยา, หลอม, ค่ายกล, ฝึกสัตว์อสูร, ภาพลวงตา, ดนตรี, อาหารและคำสาป ชั้นเรียนเหล่านี้คือระบบของชั้นเรียนมนุษย์ ชั้นเรียนสัตว์อสูรจะแบ่งเป็นชั้นเรียนสัตว์อสูรทั่วไป, สัตว์อสูรสายเลือดศักดิ์สิทธิ์และชั้นเรียนสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์แยกกัน ทั้งหมดจะเป็นระบบของชั้นเรียนของสัตว์อสูร”
“อาจารย์โอวคือหัวหน้าฝ่ายชั้นเรียนมนุษย์ มีหน้าที่ดูแลและจัดการฝ่ายนี้ อาจารย์ซู่อยู่ในชั้นเรียนบ่มเพาะ ท่านอู่ ยังคงรับหน้าที่ในโรงอาหารและเป็นอาจารย์ของชั้นเรียนด้านอาหาร ผู้ช่วยโหว รับหน้าที่ในครัวดังเดิมและช่วยสอนบ้างในบางครั้ง ผู้ช่วยหลิน, ผู้ช่วยหวงฟู่,และคนอื่นๆเองก็เข้าช่วยสอนด้วยเช่นกัน…”
“อาจารย์เฉินเป็นหัวหน้าของฝ่ายสัตว์อสูรมีหน้าที่ดูแลและจัดการฝ่ายนี้ สำหรับชั้นเรียนสัตว์อสูรทั่วไป, ชั้นเรียนสัตว์อสูรสายเลือดศักดิ์สิทธิ์, ชั้นเรียนสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ข้ากำหนดเกณฑ์แค่เพียงอย่างเดียวคืออาจารย์ต้องขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนแล้ว และผู้ช่วยต้องอยู่อย่างน้อยขอบเขตหลี่ซวน”
“สำหรับอาจารย์อ้าวอู่เหยียนและอาจารย์อ้าวเยว่ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความเป็นระเบียบของสำนัก สำหรับเรื่องภายนอกแล้ว พวกท่านมีหน้าที่ป้องกันคนรุกรานและให้ความปลอดภัยแก่สำนัก”
“เหลยอ้าว เจ้ายังคงดูแลที่ประตูอย่าให้ใครเข้ามาในสำนักได้ ”
หลังจากที่ประกาศหน้าที่ของแต่ละคนแล้ว เจ้าสำนักก็มองไปรอบ ๆและถามขึ้นมา“พวกท่านมีคำถามอะไรรึไม่? ”
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า
มีแค่โอวเสินเฟิงที่ยังรู้สึกผิดกับอำนาจที่ได้มา “เจ้าสำนัก ข้าดูแลฝ่ายมนุษย์ ข้าเหมาะสมจริงๆรึ ?”
ในด้านการบ่มเพาะแล้วเขายังอยู่ขอบเขตตันซวนขั้นกลาง…ไม่สิ เมื่อเช้านี้เขาก็ขึ้นมาถึงขั้นสูงได้ แต่ระดับการบ่มเพาะนี้ยังด้อยกว่าซู่เหยียน,อู่ฉิงฉวนและคนอื่นๆ แม้แต่ผู้ช่วยก็ยังมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเขา ในด้านสายอาชีพแล้วเขายังเป็นแค่ปรมาจารย์ด้านการหลอม 5 ดาว เขายังไม่ได้เหนือกว่าใคร เพราะเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้เขาไม่มั่นใจว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายมนุษย์ได้
“ ข้าบอกว่าท่านทำได้ หากใครไม่เชื่อก็ให้มาหาข้าโดยตรง ” เจ้าสำนักพูดด้วยท่าทีเฉยเมย
เมื่อได้ยินแบบนั้น เหล่าอาจารย์และผู้ช่วยที่ยังไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ต่างก็พากันก้มหน้าทันที
เจ้าสำนักพูดต่อ “ ผลงานที่อาจารย์โอวได้สร้างให้กับสำนักคังเฉียง ทุกคนก็ได้เห็นแล้ว หากใครบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดูแลฝ่ายมนุษย์ งั้นสำนักคังเฉียงก็ไม่มีใครมีสิทธิจะได้ตำแหน่งนี้ไป หากไม่เชื่อก็ถามเซียวเหยียน อู่โม่ กับศิษย์คนอื่นๆดูว่า พวกเขาสนับสนุนให้ใครเป็นหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ ? ”
“แน่นอนว่าต้องเป็น อาจารย์โอว นอกจาก อาจารย์โอว แล้วข้าไม่อาจจะยอมรับใครได้?”
“ ใช่ ฝ่ายมนุษย์มีแค่ อาจารย์โอว เท่านั้นที่เหมาะจะดูแล ข้าเชื่อในตัว อาจารย์โอว ! ”
“ อาจารย์โอว อย่าคิดมากเกินไป ทุกคนต่างก็เห็นว่าท่านเหมาะสมแล้ว ! ”
ศิษย์ทุกคนต่างก็ผูกพันกับโอวเสินเฟิง พวกเขาผูกพันกับอาจารย์ที่ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่มีใครมาแทนที่โอวเสินเฟิงในใจพวกเขาได้
โอวเสินเฟิงซึ้งใจ เขามองไปที่ใบหน้าของเด็กพวกนั้นพร้อมกับปากที่สั่นไหว “ ขอบคุณพวกเจ้ามาก เด็กน้อยทั้งหลาย ”
อยู่ ๆเขาก็พบว่าผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุด ในการอยู่ในสำนักคังเฉียงอาจจะไม่ใช่การฟื้นคืนชีพ แต่เป็นความรักของกลุ่มเด็กเหล่านี้ ซึ่งเป็นของที่มีค่ามากที่สุดในโลกสำหรับเขา
ซู่เหยียนและคนอื่นๆมองไปที่โอวเสินเฟิงด้วยความอิจฉา ผลงานที่โอวเสินเฟิงสร้างไว้กับสำนักคังเฉียงนั้นมากกว่าพวกเขามากจริงๆ
“เอาล่ะ อาจารย์โอว จะเป็นหัวหน้าฝ่ายมนุษย์ จบเรื่อง ต่อไปข้าจะประกาศวันหยุด ” เจ้าสำนักสงบสติอารมณ์และพูดขึ้นมา “ วันหยุดเริ่มตั้งแต่บ่ายวันนี้จนถึงวันที่ 30 เดือน 8 ในเดือน 9 ทุกคนต้องกลับมายังสำนักให้ทันเวลาห้ามสาย หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นให้แจ้งล่วงหน้าก่อน หากได้รับอนุญาติพวกเจ้ากลับมาช้ากว่านั้นได้ ข้าหวังว่าทุกคนจะจำให้ขึ้นใจ ! ”
สำหรับกฎของสำนักคังเฉียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหรือจางหยู ต่างก็ให้ความสำคัญกับมันมาก เขาไม่อาจจะมองข้ามได้หากใครฝ่าฝืนกฎ
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้น ก็พากันจดจำกฎเหล่านี้ให้ขึ้นใจ หากพวกเขาถูกไล่ออกจากสำนักเพราะพวกเขามาสาย พวกเขาคงหมดอนาคต
“วันหยุดมากกว่า 1 เดือนนี้ ข้าหวังว่าทุกคนจะขยันในการบ่มเพาะ” เจ้าสำนักมองไปที่เหล่าศิษย์ “ถึงพรสวรรค์จะสูงก็อย่าเสียเวลาเปล่า ถึงพรสวรรค์จะต่ำแต่พวกเจ้าก็ต้องรีบตามคนอื่นให้ทัน จำไว้ว่าพวกเจ้าบ่มเพาะเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อคนอื่น อนาคตของพวกเจ้า พวกเจ้าจงตัดสินด้วยตัวเอง ทักษะจี๋อู่ขั้นสูงนี้คือสิ่งที่คนมากมายต้องการแต่ไม่อาจจะได้มันมา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเห็นคุณค่าของมัน ”
เหล่าศิษย์มองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลังจากที่ประกาศทุกอย่างจบ เจ้าสำนักก็ไม่ได้พูดธุระอะไรต่อ เขาได้ตะโกนออกมาทันที “ ข้าขอประกาศว่าหยุดเรียนได้ ! ”