เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยูสีหน้าของโอวเสินเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที
เขาไม่คิดว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น หากเขามีกายเนื้อ เขาก็จะเป็นเหมือนคนทั่วไป เมื่อพลังชีวิตหมดไป เขาก็จะตายอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่โอวเสินเฟิง แต่จางหยูก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่มีทางปล่อยให้โอวเสินเฟิงรับความเสี่ยงแบบนี้
“ทำยังไงดี ทำยังไงดี…” เซียวเหยียนกังวลจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว “อาจารย์ เร็วเข้า รีบทำการบ่มเพาะ”
โอวเสินเฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “บ่มเพาะรึ ? พลังชีวิตของข้าลดลงมาไม่ถึงปี ด้วยพรสวรรค์ของข้าแล้ว แม้ว่าจะไม่นอนเป็นเวลาหนึ่งปีแต่ก็ไม่อาจจะบ่มเพาะไปถึงขอบเขตหลี่ซวนได้ ! ”
เขามีอายุ 1,548 ปี หากต้องการหยุดพลังชีวิตที่หมดไปอย่างรวดเร็วนี้ เขาก็ต้องบ่มเพาะให้ถึงขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำ
มันใช้เวลาหลายร้อยปี กว่าที่เขาจะบ่มเพาะขึ้นมาถึงขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่คิดว่าเขาจะบ่มเพาะขึ้นไปยังขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำได้เร็วพอ
“ไม่ อาจารย์โอว ท่านทำได้” จางหยูพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งปีจากขอบเขตตันซวนขั้นต่ำขึ้นไปยังขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องยากสำหรับท่าน อย่าลืมว่าท่านรู้ถึงทักษะจี๋อู่ขั้นสูงแล้ว ซึ่งดีกว่าขั้นกลางที่เหล่าศิษย์บ่มเพาะกันมาก หากดูจากการบ่มเพาะของเซียวเหยียนแล้ว ท่านก็ควรมั่นใจในตัวเองบ้าง ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นโอวเสินเฟิงก็ได้สติ “ ใช่สิ ทักษะจี๋อู่ ! ”
เขาก็แค่ลนลานจนลืมเรื่องทักษะจี๋อู่ไป มันคือทักษะที่แสนวิเศษ
ต้องรู้ก่อนว่าเซียวเหยียนและคนอื่นๆทำการบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นกลาง แค่ไม่กี่เดือนพวกเขาก็ทะลวงผ่านขึ้นมาขอบเขตว่อซวนและตันซวนได้ ผลของทักษะจี๋อู่ขั้นกลางนั้นน่าทึ่งขนาดนี้แล้วทักษะขั้นสูงจะมีผลที่น่าทึ่งขนาดไหนกัน ?
แม้ว่าพรสวรรค์ของโอวเสินเฟิงก่อนหน้านี้จะไม่ได้สูงนัก แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะแย่กว่าเซียวเหยียนมาก ด้วยทักษะจี๋อู่ขั้นสูงกับระดับการบ่มเพาะขอบเขตตันซวนขั้นต่ำแล้ว มันมีหวังที่เขาจะบ่มเพาะไปถึงขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำใน 1 ปีได้ !
ศิษย์คนอื่นๆรวมไปถึงอาจารย์อย่างซู่เหยียนละอู่ฉิงฉวนต่างก็พากันโล่งอก
ทักษะจี๋อู่ขั้นสูงอาจจะมีความพิเศษ ที่ทำให้โอวเสินเฟิงบ่มเพาะขึ้นไปถึงขอบเขตหลี่ซวนใน 1 ปีได้ !
เฉินกู,อ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียนต่างก็แปลกใจ พวกเขารู้ว่าทักษะจี๋อู่นั้นวิเศษ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะสามารถพัฒนาคนที่อยู่ขอบเขตตัวซวนขั้นต่ำไปยังขอบเขตหลี่ซวนขั้นต่ำได้ใน 1 ปี ทักษะแบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยรึ ?
“ข้าจำได้ว่าเจ้าสำนักได้มอบทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำให้กับพวกเซียนไป” เฉินกูและอ้าวเยว่มองหน้ากันด้วยความเคร่งเครียด เฉินกูแปลกใจ “ หากมนุษย์บ่มเพาะทักษะจี๋อู่กันหมดแล้ว ทวีปป่าแห่งนี้กับเผ่าสัตว์อสูรจะเป็นยังไง?”
ทั้งสัตว์อสูรและมังกรต่างก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
ตอนนั้น เฉินกูก็หนักใจขึ้นมาเพิ่ม
“อาจารย์เฉิน เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมาก” จางหยูเห็นท่าทีผิดปกติของเฉินกู และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำกับขั้นสูงมีความต่างกันอย่างมาก ขั้นต่ำนั้นมีผลไม่ถึง 1 ใน 10 ของขั้นสูง แม้ว่ามนุษย์จะบ่มเพาะ แต่มันก็ยากที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของมนุษย์ขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น”
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าการยกระดับครั้งใหญ่ มันหมายถึงการพัฒนาครั้งใหญ่ของโลกนี้
เฉินกูสงสัยในคำพูดของจางหยู แต่หนึ่งสิ่งที่เขามั่นใจคือมนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นมา หลังจากนี้อีก 10 ปีหรือนานกว่านั้นเผ่าสัตว์อสูรและมังกรจะไม่ได้เหนือกว่ามนุษย์อีก พวกเขาอาจจะยากที่จะทัดเทียมกับมนุษย์ได้
กงล้อแห่งโชคชะตาพลิกผันแล้ว เผ่ามังกรที่สูงส่งสำหรับทวีปป่ามาเป็นหมื่นๆปี อีกไม่นานจะถูกมนุษย์ก้าวข้าม บัลลังก์ที่พวกเขาเคยยึดครองไว้จะตกเป็นของมนุษย์
อ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียนยากที่จะรับความจริงในข้อนี้ได้ เพราะตัวตนของจางหยูทำให้พวกเขาไม่อาจจะทำอะไรได้ พวกเขาได้แต่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วน แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
“เจ้าสำนักเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เหนือกว่าเผ่ามังกรนั้นพอเข้าใจได้ แต่ยังมีสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าสัตว์อสูรมากมาย แล้วเผ่ามังกรจะเป็นยังไง?” อ้าวอู่เหยียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า เขาคือองค์รัชทายาทของเผ่ามังกร เขาเป็นรองแค่เพียงราชามังกร ในสายตาของคนในเผ่าแล้ว ฐานะของเขาสูงกว่าอ้าวเยว่ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ค้นพบว่าฐานะองค์รัชทายาทมังกรในอนาคตนั้นไม่ได้มีค่าคู่ควรพอที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ
สูงสุดคือเผ่ามนุษย์ แม้แต่เผ่าสัตว์อสูรก็ยังเหนือกว่าเผ่ามังกร
เผ่ามังกรที่รุ่งโรจน์มาหลายหมื่นปีกลับต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถแบบนี้รึ ?
จางหยูไม่ได้มีทักษะอ่านใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ว่าอ้าวอู่เหยียนคิดอะไรอยู่ ไม่งั้นแล้วเขาคงพูดออกไปว่า “หากพวกศัตรูรุกรานเข้ามายังโลกป่าขั้นต่ำ เผ่ามนุษย์, สัตว์อสูรและมังกรก็ไม่อาจจะหนีพ้นได้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ความแข็งแกร่ง ”
จางหยูหันไปหาโอวเสินเฟิงและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์โอว ข้าคิดว่าท่านลองบ่มเพาะดูก่อน และท่านจะพบกับความจริงที่น่าแปลกใจ ”
ทุกคนไม่เข้าใจว่าจางหยูหมายถึงอะไร
โอวเสินเฟิงเองก็ไม่เข้าใจ แต่เขาเชื่อว่าจางหยูไม่โกหกเขา เมื่อเจ้าสำนักบอกว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกใจ งั้นมันก็ต้องน่าแปลกใจ !
สำหรับจางหยูแล้วโอวเสินเฟิงถือว่าเขาเป็นเซียน เขาเชื่อในตัวจางหยูในระดับที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจางหยูจะพูดอะไร เขาก็ไม่คิดสงสัยเลยแม้แต่น้อย การที่เขาได้กลับมาเป็นมนุษย์ทั่วไปนี้คือข้อยืนยันที่ดีที่สุด
โอวเสินเฟิงนั่งขัดสมาธิลงทันที และเริ่มทำการบ่มเพาะตามทักษะจี๋อู่ขั้นสูง
ปัง ปัง ปัง ปัง !
หลิงชี่รอบตัวของโอวเสินเฟิงถูกดึงเข้าหาตัวอย่างบ้าคลั่ง การบ่มเพาะอันน่ากลัวแบบนี้ ทำให้เฉินกู,อ้าวเยว่และคนอื่นๆพากันตะลึง พวกเขารับรู้ได้ว่าพลังของโอวเสินเฟิงนั้นเพิ่มขึ้นมาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แม้ว่าไม่อาจทะลวงผ่านได้ในตอนนี้ แต่เวลานั้นคงมาถึงในอีกไม่ช้า
คนที่เหลือต่างก็พากันหวาดกลัวกับความเร็วในการบ่มเพาะของโอวเสินเฟิง แม้แต่เซียวเหยียน, อู่โม่ และคนอื่นๆก็พากันตะลึง
พวกเขาได้เปลี่ยนมาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นสูงกันแล้ว แต่ความเร็วในการบ่มเพาะก็ยังด้อยกว่าโอวเสินเฟิง แม้แต่เซียวเหยียนที่มีร่างกายที่ดีที่สุด ก็ยังบ่มเพาะได้ไม่เร็วเท่าโอวเสินเฟิง มันยากที่จะคิดได้ว่าโอวเสินเฟิงมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะน่ากลัวแค่ไหน
อยู่ๆพลังของโอวเสินเฟิงก็ยกระดับขึ้นมามากขึ้นถึงสองเท่าในพริบตา
“ทะลวงผ่านแล้ว!”
ทุกคนตะลึง นี่มันราวกับความฝัน
จริงรึ ?
แค่บ่มเพาะได้ไม่นานก็ยกระดับจากขอบเขตตันซวนขั้นต่ำมาเป็นขั้นกลางได้รึ ?
ต้องรู้ก่อนว่าโอวเสินเฟิงไม่ได้ใช้สมบัติและไม่ได้กินยาเข้าไป ระดับการบ่มเพาะของเขาทะลวงผ่านมาได้เพราะการบ่มเพาะของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีองค์ประกอบภายนอก
โชคดีที่หลังจากทะลวงผ่านมาได้ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาก็ลดลงมาอย่างมาก แม้ว่าจะเร็วกว่าเซียวเหยียนแต่มันก็ต่างกับตอนแรกอย่างมาก
โอวเสินเฟิงปรับระดับการบ่มเพาะของตน ก่อนจะหยุดลงแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ พระเจ้า ทะลวงผ่านมาได้เร็วจริงๆ!” เขาไม่คิดไม่ฝันว่าบ่มเพาะได้เพียงไม่นานแต่กลับทะลวงผ่านขึ้นมาขอบเขตตันซวนขั้นกลางได้ แม้ว่าพลังชีวิตจะเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่การสูญเสียพลังชีวิตก็ช้าลงไปด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ทำการบ่มเพาะต่อแต่เขาก็มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานกว่าเดิม…
“ความเร็วในการบ่มเพาะนี่เร็วกว่าในอดีตเป็นร้อยเท่าเลยไม่ใช่รึ?” โอวเสินเฟิงจมอยู่กับความยินดี หากไม่ใช่เพราะจางหยูรออยู่ เขาคงทำการบ่มเพาะทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน
จางหยูพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไง ท่านพอใจหรือไม่ ?”
สำหรับความเร็วในการบ่มเพาะของโอวเสินเฟิงนั้น จางหยูไม่ได้แปลกใจ เพราะเมื่อโอวเสินเฟิงเริ่มทำการบ่มเพาะ พลังดั้งเดิมก็ถูกปนเปื้อนทันที ดังนั้นพลังดั้งเดิมจึงถูกเปลี่ยนเป็นปราณและทำให้ระดับการบ่มเพาะเพิ่มขึ้น ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ แม้ว่าระดับการบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นมา แต่พลังในการต่อสู้ไม่ได้พัฒนาขึ้นมามากนัก ยิ่งการบ่มเพาะพัฒนาไปได้มากเท่าไหร่ พลังในการต่อสู้ก็จะยิ่งหายไปมากเท่านั้น
โอวเสินเฟิงพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นเต้น “ พอใจ พอใจมากๆ ! “
เขารู้สึกว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเขาสูงกว่าในอดีตที่ยังมีชีวิตเป็นสิบเท่า หากเขามีความสามารถเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกินยาใดๆ แค่พึ่งพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของตัวเองก็ง่ายที่จะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนได้ และกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด
“เจ้าสำนัก เกิดอะไรขึ้นกัน ” ซู่เหยียนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “เหตุใดพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของอาจารย์โอว ถึงได้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ?”
ซู่เหยียนเชื่อว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเขาไม่ได้แย่ แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับเหล่าเซียน แต่พรสวรรค์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก พรสวรรค์ในการบ่มเพาะของโอวเสินเฟิงนั้นสูงกว่าเขาซึ่งมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าเซียนเลย หากรับรวมกับทักษะจี๋อู่ขั้นสูงนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วเขากลัวว่าจะตามโอวเสินเฟิงไม่ทัน
คนอื่นๆพากันมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย
โอวเสินเฟิงเองก็สงสัยเช่นกัน เขาอยากรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง
ภายใต้สายตาของทุกคนจางหยูได้พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ ข้าเคยบอกแล้วว่าพรสวรรค์ของคนแบ่งเป็น 6 ดาว พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ ?”
เฉินกู , อ้าวเยว่, อ้าวอู่เหยียน, ซู่เหยียน, อู่ฉิงฉวนและคนอื่นๆแสดงสีหน้าว่างเปล่าออกมา มีแค่โอวเสินเฟิงและเหล่าศิษย์ที่พยักหน้า
“อันที่จริงแล้วพรสวรรค์ของคนไม่ใช่แค่แบ่งเป็น 6 ดาวแต่มันยังแบ่งเป็นขั้นด้วย” จางหยูพูดขึ้นมาโดยไม่ลังเล “พรสรรค์ทางกายภาพ, การรับรู้, พรสวรรค์พิเศษ พรสรรค์ทางกายภาพหมายถึงสายเลือดและความสามารถในการบ่มเพาะ การรับรู้หมายถึงสติในการต่อสู้และความสามารถในการทำความเข้าใจกฎ พรสวรรค์พิเศษหมายถึงสายอาชีพพิเศษอย่างเช่นหลอม, การปรุงยาและค่ายกล”
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินเรื่องนี้ มันทั้งดูน่าทึ่งและมีเหตุผล มันเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะของพวกเขา แม้แต่สัตว์อสูรกับมังกรก็ใช้ระบบนี้เช่นกัน
“ อาจารย์เฉิน, อาจารย์อ้าวเยว่, อาจารย์อ้าวอู่เหยียน ต่างก็มีร่างกาย 6 ดาวขั้นสูง อาจารย์ซู่เหยียน ด้อยกว่ามีร่างกายที่ 6 ดาว…” จางหยูมองไปรอบๆและพูดขึ้นมา “ ร่างกายของเซียวเหยียนอยู่ที่ 5 ดาวขั้นสูงและการรับรู้อยู่ที่ 5 ดาวแต่พรสวรรค์ด้านการหลอมอยู่ที่ 6 ดาว ร่างกายของโจวซินเอ๋อร์อยู่ที่…”
จางหยูบอกพรสวรรค์ของทุกคนออกมา ยกเว้นแค่โอวเสินเฟิง
“พรสวรรค์ร่างกายของเราอยู่แค่ 1 ดาวเองรึ ?” เหมาฉางเฟิงและคนอื่นๆรู้สึกละอายขึ้นมา
อู่โม่,เติ้งชิวฉานและคนอื่นๆที่มีร่างกาย 3 ดาวและ 2 ดาวยังพอจะรักษาหน้าไว้ได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกละอายอยู่ดี
แต่คนเหล่านี้ไม่อาจจะมองข้ามได้ เวลาแค่ไม่กี่เดือนพวกเขาก็ขึ้นมาถึงขอบเขตว่อซวนได้ มันแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าพวกเขาขยันในการบ่มเพาะทักษะจี๋อู่มากเพียงใด
“แล้วอาจารย์โอวล่ะ?” ซู่เหยียนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
จางหยูพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เพื่อจะสร้างกายเนื้อให้อาจารย์โอว ข้าต้องเสียไปไม่น้อยเช่นกัน แน่นอนว่ามันย่อมไม่ธรรมดา พรสวรรค์ทางกายภาพและการรับรู้ของอาจารย์โอวอยู่ที่ 6 ดาวขั้นสูง พรสวรรค์การหลอมที่แต่ก่อนอยู่ที่ระดับ 5 ดาวขั้นต่ำก็ขึ้นมาถึง 6 ดาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาจารย์โอวได้พบกับโชคดีในโชคร้าย ในโลกป่าขั้นต่ำนี้ยากที่จะหาผู้บ่มเพาะทัดเทียมกับอาจารย์โอวได้ ในสำนักคังเฉียงของพวกเรา นอกจากอาจารย์เฉิน อาจารย์อ้าวเยว่และอาจารย์อ้าวอู่เหยียนแล้ว ไม่มีใครทัดเทียมกับเขาได้”
คนอื่นๆอาจจะไม่เห็น แต่จางหยูเห็นข้อมูลที่เต็มไปด้วยสีแดงและม่วงของโอวเสินเฟิงได้
ยกเว้นแค่ร่างเทียมของเขาแล้ว ไม่มีใครที่ทัดเทียมกับโอวเสินเฟิงได้ แม้แต่ร่างเทียมของเขาก็ยังไม่ดีเท่ากับโอวเสินเฟิง เพราะเขาไม่ได้เพิ่มพรสวรรค์พิเศษให้กับร่างเทียม ส่วนร่างสุดยอดสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น เพราะสายเลือดจึงทำให้มีทักษะศักดิ์สิทธิ์กับตัว แต่หากไม่มีพรสวรรค์ในการรับรู้ ก็ยังด้อยกว่าโอวเสินเฟิง
แน่นอนสิ่งที่พูดถึงตอนนี้คือพรสวรรค์โดยรวม หากวัดแค่พรสวรรค์ในการบ่มเพาะแล้ว คงมีไม่กี่คนที่ทัดเทียมกับโอวเสินเฟิงได้