ตอนที่ 434 : ความสิ้นหวังของโอวเสินเฟิง
เหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนรึ ?
นี่คือความต้องการของยอดฝีมือระดับสูงสุดทุกคน !
ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีใครก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนได้ แม้แต่อัจฉริยะอย่างเป้ยหลงที่มีฝีมือน่าตกใจก็ยังไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้
ราชามังกรในแต่ละรุ่นที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก ต่างก็อยากที่จะก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนไปให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีราชามังกรคนไหนเลยที่ทำแบบนั้นได้
ขอบเขตตุ้นซวนนี้เหมือนกับเป็นคำสาป มันคือกำแพงที่ขวางกั้นผู้บ่มเพาะทุกคน
ดังนั้นผู้คนจึงไม่คิดหวังที่จะก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนอีกต่อไป พวกเขากลับใช้ราชามังกรเป็นเป้าหมายแทน ตราบใดที่ขึ้นไปถึงจุดที่ราชามังกรอยู่ได้ มันก็ถือว่าเป็นเกียรติยศสำหรับพวกเขาแล้ว
การก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคาดคิดมาก่อน !
หากเป็นคนอื่นที่พูด พวกเขาคงไม่เชื่อ แต่เมื่อคนที่พูดเป็นจางหยู พวกเขาจะไม่เชื่อได้ยังไง ?
เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของจางหยูด้วยตาของตัวเอง พวกเขาก็มั่นใจว่าความแข็งแกร่งของจางหยูนั้น เหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวน
ในอีกความหมายก็คือ จางหยูคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปป่าที่ก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนไปได้ !
คำสัญญาจากปากของคนที่ก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนได้ มันน่าสงสัยรึไง ?
“เราจะทำตามที่เจ้าสำนักบอกให้ได้!” เหล่าเซียนกำหมัดแน่นและแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปเราก็ไม่คิดลังเล !”
จางหยูยิ้มออกมาและพูดขึ้น “ ข้าคาดหวังกับพวกท่าน ! ”
เมื่อกระตุ้นทั้งสี่คนแล้ว จางหยูก็โบกมือและพูดขึ้น “ เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว ข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ”
“เจ้าสำนัก พวกเราขอตัว !” ทั้งสี่คนรีบบินออกไปทันที หลังจากนั้นแค่อึดใจเดียวร่างของทั้งสี่คนก็หายไป
ตอนนี้พวกเขาอยากรีบกลับไปที่เขตของตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ภารกิจที่จางหยูมอบหมายมา มันสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของพวกเขาเองอีก
“เจ้าสำนัก” เมื่อทั้งสี่คนกลับไปแล้ว เฉินกูก็พูดขึ้นมา
“ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าเข้าร่วมสำนักคังเฉียง ท่าน ท่านรับปากไว้…” เขาอ้ำอึ้งเพราะความกังวล “ รับปากว่าจะให้โอกาสที่ข้าก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวน ข้าขอถามเจ้าสำนักทีว่า สัญญานั่นยังคงอยู่หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างก็มองไปที่เฉินกูด้วยความแปลกใจ
แม้แต่อ้าวเยว่ก็ยังตื่นเต้นกับการก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวน ความเย้ายวนนี้ส่งผลต่อทุกคนโดยเฉพาะกับยอดฝีมือระดับนาง !
“ แน่นอน” จางหยูมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าอ้าวเยว่,อ้าวอู่เหยียนหรือแม้แต่ซู่เหยียนกับคนอื่นๆ พากันมองมาที่เขาด้วยความกังวล เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ไม่ใช่แค่อาจารย์เฉิน คนของสำนักคังเฉียง ในอนาคตพวกเจ้าจะได้รับโอกาสที่จะก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวน แต่หากพวกเจ้าต้องการคว้าโอกาสแบบนั้น พวกเจ้าก็ต้องแสดงความสามารถของตัวเองออกมาก่อน ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา
ในหมู่พวกนั้น เฉินกู,อ้าวเยว่ และอ้าวอู่เหยียนคือคนที่ยินดีที่สุด เพราะพวกเขาแข็งแกร่งที่สุดและขึ้นมาถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์แล้ว ในทางทฤษฎีแล้วตราบใดที่พวกเขาพัฒนาไปได้อีกขั้น พวกเขาก็สามารถก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนได้ แน่นอนว่ามันเป็นแค่ทฤษฎี สถานการณ์จริงๆแล้ว จางหยูยังไม่มั่นใจ
เฉินกูและอ้าวเยว่นั้นน่าจะก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนได้ แต่อ้าวอู่เหยียนที่พอทัดเทียมกับขั้นกลางของระดับสูงสุดนี้ ไม่อาจจะก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนในตอนนี้ได้
ตอนนั้นหลินจื้อเป่ย โหวเทียนหมาง หวงฟู่เชิงจื้อและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองนั้นถูกต้อง
“โอกาส ข้าให้โอกาสกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ต้องขยัน พวกเจ้าส่วนใหญ่ยังขึ้นมาไม่ถึงขอบเขตตุ้นซวน แล้วข้าจะให้โอกาสกับพวกเจ้าได้ยังไง?” จางหยูหุบยิ้มและแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “ยังขึ้นมาไม่ถึงขอบเขตตุ้นซวนแต่กลับอยากก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวน ไม่ตลกไปหน่อยรึ ? อย่าหวังสูงเกินไปเลย!”
ทุกคนพากันมองหน้ากันและเงียบไป
คนของสำนักคังเฉียงมากมาย ยกเว้นแค่เฉินกู, อ้าวเยว่, อ้าวอู่เหยียน, ซู่เหยียน และอาจารย์ชั้นเรียนสัตว์อสูรหลายคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ล้วนอยู่ขอบเขตตุ้นซวน ส่วนคนที่เหลือต่างก็อยู่ต่ำกว่าขอบเขตตุ้นซวน การพูดถึงการก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวนจะไม่ตลกไปหน่อยรึ ?
“เจ้าสำนักสบายใจได้ เราจะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนให้เร็วที่สุด!” โอวเสินเฟิงแสดงสีหน้าจริงจังออกมา
หลินจื้อเป่ยและคนอื่นๆพากันพยักหน้า “ใช่ เราจะไม่ทำให้สำนักคังเฉียงต้องเสียหน้า !”
ก่อนที่จะเข้าร่วมสำนักคังเฉียง เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวน แต่ตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่ที่ขอบเขตตุ้นซวนอีกต่อไป พวกเขามั่นใจอย่างมากเพราะพวกเขาเริ่มเปลี่ยนมาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ขั้นสูงแล้ว ความน่ากลัวของมันพวกเขารับรู้ได้ด้วยตัวเอง มันไม่เกินไปเลยที่จะบอกว่าการเปลี่ยนมาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่ ทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนได้และอาจจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุด
ต้องรู้ก่อนว่าทักษะจี๋อู่ขั้นสูงมีจุดผิดพลาดแค่จุดเดียวต่อขั้น หากเทียบกับทักษะจี๋อู่ขั้นกลางที่เหล่าศิษย์บ่มเพาะแล้ว มันให้ผลที่ดีกว่า
จางหยูมองไปที่พวกนั้นและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ พวกเจ้าจงจำให้ขึ้นใจ ”
“เจ้าสำนัก ท่านช่วยชี้แนะวิญญาณอย่างข้าได้หรือไม่ ข้าควรบ่มเพาะยังไง? มันมีทางอื่นนอกจากกินยาวิญญาณหรือไม่?” โอวเสินเฟิงรู้สึกหนักใจ ปากของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ สายตาของเขาแสดงความคาดหวังและความกังวลออกมา
ทั้งสำนักคังเฉียงนั้นโอวเสินเฟิงพิเศษที่สุดเพราะเขาไม่มีกายเนื้อ เขาคือร่างวิญญาณในตำนาน
ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะมีร่างวิญญาณแต่ก็แทบจะนับนิ้วได้ โอวเสินเฟิงไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างวิญญาณมาก่อน เขาแค่พึ่งการคาดเดาของตัวเองและเริ่มทำการบ่มเพาะ เขาไม่อาจจะเรียกมันว่าการบ่มเพาะได้ด้วยซ้ำ การกินยาวิญญาณและใช้ทักษะบางอย่างจะช่วยพัฒนาพลังวิญญาณของเขาขึ้นมาทีละนิดๆ
แต่การพัฒนาทีละนิดๆนี้ก็ถือว่าน้อยนิดสำหรับเขาที่อยู่ขอบเขตหลี่ซวน ด้วยความเร็วระดับนี้แล้วเขาอาจจะบ่มเพาะไม่ถึงขอบเขตตุ้นซวนตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
โอวเสินเฟิงร้อนรนและอยากที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมา เพราะเขาไม่รู้ว่าร่างวิญญาณของเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน อายุขัยของเขาจะเท่ากับผู้บ่มเพาะหรือไม่ ? เขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อ จนถึงตอนที่อายุขัยถึงขีดจำกัดรึไม่?
แต่เขาตายมานานแล้ว หากเขาตายอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเขาจะถูกลบตัวตนไปเลยรึ ?
เมื่อคนอื่นตาย พวกนั้นก็มีโอกาสที่จะเกิดใหม่แต่เมื่อเขาตาย มันคือเรื่องร้ายแรงและเขาจะต้องหายไปตลอดกาล !
นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่โอวเสินเฟิงรับได้ เขาไม่อยากตายและเขาก็ไม่ต้องการที่จะตายด้วย !
“ร่างวิญญาณ…” จางหยูคิ้วขมวดก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่มีความรู้เรื่องร่างวิญญาณ ข้าไม่รู้ว่าร่างวิญญาณควรบ่มเพาะยังไง” เรื่องแบบนี้ไม่อาจจะปกปิดได้ “แต่อาจารย์โอวไม่ต้องกังวลไป ข้าเชื่อว่าสักวันวิธีการบ่มเพาะของร่างวิญญาณจะปรากฏขึ้นมา แน่นอนข้าไม่ได้มั่นใจในเรื่องนี้ แต่ข้าบอกได้ว่ามันยังมีหวัง”
“แม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้รึ เจ้าสำนัก?” โอวเสินเฟิงสลด “ไม่ใช่ว่าในอนาคตข้าต้องตายรึ?”
เมื่อก่อนเขาเคยรู้สึกว่า ตราบใดที่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อ ไม่ว่าจะต้องอยู่ในรูปลักษณ์ไหน เขาก็ยอมรับได้ทั้งนั้น แต่ทว่ายิ่งเขาเข้าใจเรื่องราวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากเท่านั้น เขากลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะสูญสลายไป ความเป็นจริงมักโหดร้ายอยู่เสมอ…
เซียวเหยียนเคร่งเครียดขึ้นมา เขามองไปที่โอวเสินเฟิงด้วยสีหน้าสลด เขาเองก็สงสารอาจารย์
“อาจารย์” เซียนเหยียนกุมมือของโอวเสินเฟิงเอาไว้เพื่อให้โอวเสินเฟิงใจเย็นลง
โอวเสินเฟิงมองไปที่เซียวเหยียน และบอกกับจางหยูด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
แม้ว่าเขาจะฝืนยิ้มออกมา แต่มันก็ยังเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความเศร้า
ศิษย์ที่เหลือเองก็เศร้าไปด้วย แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับโอวเสินเฟิงจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน เท่ากับเซียวเหยียน แต่โอวเสินเฟิงก็ยังเป็นคนสำคัญในใจของพวกเขา ถึงจะไม่ใช่ญาติกันแต่ก็สนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เมื่อเห็นว่าโอวเสินเฟิงสลด พวกเขาเองก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจ
“ขอโทษด้วยเจ้าสำนัก ข้าไม่น่าทำให้ท่านเคร่งเครียด” โอวเสินเฟิงหัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เฉินกู,อ้าวเยว่และคนอื่นๆมองดูฉากนี้อยู่เงียบๆ พวกเขาอึดอัดใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับโอวเสินเฟิงแต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นอาจารย์สำนักคังเฉียงร่วมกัน พวกเขาไม่อาจจะมองข้ามกันได้
“คนที่ต้องขอโทษคือข้าต่างหาก” จางหยูรู้สึกหมดหนทาง หากเขาเป็นคนที่ก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวนจริงๆ บางทีมันอาจจะมีทางช่วยโอวเสินเฟิง แต่มีแค่เขาที่รู้ว่าเขายังไปไม่ถึงระดับสูงสุดด้วยซ้ำ แม้จะรู้ว่าโอวเสินเฟิงอาจจะต้องถูกลบจากโลกนี้ในอนาคต แต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
สีหน้าที่เขามองไปยังโอวเสินเฟิงดูซับซ้อน นี่คืออาจารย์คนแรกของสำนักคังเฉียง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของศิษย์มากมาย เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสำนักคังเฉียง บอกได้ว่านี่คือคนข้างกายจางหยู จางหยูมีเหตุผลที่จะช่วยโอวเสินเฟิง แต่….จางหยูไม่เข้าใจว่าจะบ่มเพาะวิญญาณยังไง เขาไม่อาจจะช่วยอะไรได้ !
“เฮ้อ !”
จางหยูถอนหายใจออกมาพร้อมกับความสลดที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ
ทุกคนถือว่าเขาเป็นเทพที่สูงส่ง แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดา เขาไม่ได้วิเศษแบบที่ทุกคนคิด การชี้แนะการบ่มเพาะร่างวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้ !
หากโอวเสินเฟิงมีกายเนื้อ งั้นทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย เขาไม่จำเป็นต้องชี้แนะโอวเสินเฟิงเพราะโอวเสินเฟิงรู้เนื้อหาทักษะจี๋อู่ทั้งหมด แต่โอวเสินเฟิงกลับมีร่างวิญญาณ
“หือ กายเนื้อรึ?”
อยู่ๆจางหยูก็นิ่งไป สมองของเขามีความคิดที่บ้าคลั่งโผล่มา และความคิดนั้นก็คงอยู่อย่างมั่นคง “ กายเนื้อ กายเนื้อ…”
เขาพูดออกมาซ้ำๆและเงยหน้าขึ้นมองที่โอวเสินเฟิงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “ อาจารย์โอว มีทางหนึ่ง…บางทีเราอาจจะลองดูได้ หากสำเร็จ ท่านจะได้เกิดใหม่ ! แต่ว่าวิธีนี้มันพิเศษอย่างมาก ข้าไม่เคยทดสอบมันและมันเสี่ยงอย่างมากด้วย หากล้มเหลวท่านอาจจะถูกลบไปจากโลก ! ”
จางหยูแสดงสีหน้าจริงจังพร้อมกับสายตาที่เคร่งเครียด