ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตาบทที่ 603 ฟางฉง

บทที่ 603 ฟางฉง

บทที่ 603 ฟางฉง

บทที่ 603 ฟางฉง

เมื่อก้าวเข้ามาในกระโจม กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงก็ลอยมาเตะจมูก กลิ่นนี้คล้ายว่าจะสะสมมานานแล้ว จึงระเหยลอยคลุ้งออกมาจนทำให้อยากจะอาเจียน

แม้แต่ลู่หยวนก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย ลมปราณรอบตัวสั่นไหว ก่อนที่กลิ่นคาวเลือดทั้งหมดจะสลายหายไป

“แดนมัชฌิมทุกวันนี้มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าคลื่นลูกใหม่จะตามมาเรื่อยๆ เลยจริงๆ”

เสียงแผ่วเบาดังมาจากมุมมืดในกระโจม สายตาของทุกคนหันมองไปทางนั้น

พวกเขาเห็นชายร่างผอมสูงสี่ศอกวัยกลางคนเดินออกมาจากเงามืด ตัวซูบผอมสกปรก ทว่าบนอาภรณ์ที่ขาดวิ่นก็ยังมีอักขระโบราณที่แสนหาดูได้ยากปรากฏอยู่

ใบหน้าของชายผู้นั้นคล้ายหนังหุ้มกระดูก ใต้ดวงตาคล้ำดำหมอง แลดูโทรมไม่น้อย

ราวกับว่า… ไตจะเสื่อมลงแล้ว…

“นั่งตามสบาย”

บุคคลผู้นั้นยกมือขึ้นอย่างสบายๆ แล้วนั่งลงบนพื้นโดยไม่ใช้เก้าอี้ เขาเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย พิงราวเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ

ทุกคนมองหาแต่ไม่เห็นเก้าอี้สักตัวในกระโจมหลังเล็ก หนำซ้ำที่พื้นยังสกปรก และเปื้อนคราบเลือดที่ไม่รู้ว่าเป็นเลือดของสิ่งใดอีกด้วย!

จะให้นั่งตรงนี้ได้อย่างไร?

ชายผู้นั้นไม่สนใจว่าลู่หยวนและคนอื่นๆ จะนั่งลงหรือไม่ เขากล่าวต่อ “ในเมื่อพวกเจ้าหาทางมาที่นี่ได้ แสดงว่าพวกเจ้าคงจะรู้เรื่องเกาะสังหารเซียนดีอยู่แล้ว ที่นี่คือฐานทัพแห่งหนึ่งที่พวกเราสร้างขึ้นบนเกาะสังหารเซียน ส่วนข้าชื่อฟางฉง”

“ฟางฉง?”

ฮ่วนซิงไป๋ขมวดคิ้วพึมพำทวน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาโน้มตัวไปทางลู่หยวนแล้วกระซิบกระซาบ “เหมือนจะเป็นคนจากตระกูลฟาง เคยเป็นบุคคลสำคัญในทะเลใต้ แต่ว่าอยู่ดีๆ ก็ถูกเรียกตัวกลับตระกูลไป ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ส่วนเซียวเทียนก็เป็นคนจากทะเลใต้ อาจจะเคยได้ยินเรื่องเขามาบ้าง”

เซียวเทียนที่อยู่เคียงข้างลู่หยวนเมื่อได้ยินก็พยักหน้า “แม้ว่าเขาจะหายตัวไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับฟางฉงแห่งทะเลใต้ เล่ากันว่าเขาเก่งในด้านการต่อสู้ระยะประชิดที่สุด”

เสียงของพวกเขาลอยเข้าหูฟางฉง ชายผู้นั้นยังพิงราวระเบียงอยู่ด้วยท่าทีเฉื่อยชา

ลู่หยวนมองไปที่ฟางฉง ก่อนจะกล่าวออกมา “ข้ามาจากตระกูลลู่ ลู่หยวน แห่งเวิ้งทะเลแดนเหนือ”

ฟางฉงขานรับแบบไม่เต็มเสียง เกาะสังหารเซียนกับแผ่นดินหยวนหงนั้นถือว่าแยกออกจากกันไปแล้ว เรื่องราวบนแผ่นดินหยวนหงพวกเขาไม่ค่อยรู้สักเท่าไรแล้ว

ในความคิดของฟางฉง ตระกูลลู่ แห่งเวิ้งทะเลแดนเหนือนั้นก็เป็นตระกูลหนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก ไม่ต่างอะไรกับตระกูลของตนสักเท่าไร ตระกูลที่น่าสนใจจริงๆ นั้นคือตระกูลเทพตกสวรรค์ต่างหาก

“เจ้าเป็นหัวหน้าหรือ?”

ฟางฉงมองไปที่ลู่หยวนแล้วเอ่ย

เขายังพอจะสังเกตได้ว่าผู้ใดเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้

“แล้วคราวนี้พวกเจ้าขนเสบียงมาเท่าไร เอายารักษามาบ้างหรือเปล่า? เอาออกมาให้ข้าดูหน่อย!”

ถ้อยคำตรงไปตรงมานั้นราวกับการบังคับให้ลู่หยวนและคนอื่นๆ ส่งมอบเสบียงให้

สีหน้าของฮ่วนซิงไป๋เย็นชาในทันที “เมื่อเอ่ยขอสิ่งของจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะสำรวมกิริยาเสีย!”

ฟางฉงแสดงสีหน้าบูดบึ้งในฉับพลัน “เด็กน้อย อย่าคิดว่าพวกเจ้าเก่งกาจเข้าหน่อยแล้วจะโลดแล่นบนเกาะสังหารเซียนได้ตามใจชอบ! คนอย่างพวกเราที่อยู่รอดบนเกาะแห่งนี้ได้นานขนาดนี้ก็ต้องมีกลยุทธ์มิใช่หรือ? ขบวนของพวกเจ้ามีคนมากถึงเพียงนั้น แต่แท้จริงก็พึ่งพาเจ้าคนนี้ที่ชื่อลู่หยวนมิใช่หรือ? ฝีมือของเขาก็พอใช้ได้ ในสายตาข้าก็ยังเก่งกว่า เขาก็แค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์เท่านั้น แต่ถ้าหากข้าต้องการ ข้าก็สามารถก้าวเข้าสู่ครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์ได้ทุกเมื่อ!”

ณ ตอนนี้ การฝึกยุทธ์ของลู่หยวนนั้นอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขั้นเทพยุทธ์แล้ว และการฝึกยุทธ์ไปถึงในระดับที่สูงเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอื้อมถึงมาสามแสนปีแล้ว แม้แต่ฟางฉงก็ไม่เคยเห็น จึงคิดว่าอย่างเก่งก็แค่ครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์

ซึ่งพวกครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์ในสมัยนั้นล้วนเหมือนกับลู่หยวนที่นำพาความกดดันและปราณที่เหนือกว่ามาให้เขาจนไม่อาจก้าวข้ามได้!

ดังนั้น ฟางฉงผู้นี้จึงรู้สึกว่า ลู่หยวนอาจจะเป็นครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์

ฟางฉงยังคงกล่าวต่อไป “เฮอะ ครึ่งก้าวสู่ขั้นอมตยุทธ์เมื่อไปถึงตรงกลางของเกาะสังหารเซียนไม่ตายก็ถือว่าเก่งมากแล้ว! ยังคิดจะมาโอ้อวดอยู่ที่นี่อีกรึ?”

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด หรือไม่ก็แค่ต้องการให้ข้าใช้ที่นี่เป็นฐานทัพ แต่ข้าก็มิใช่คนใจดำนัก หากพวกเจ้าขนเสบียงมาแลกกับที่นี่ ก็พอจะให้ใช้เป็นฐานทัพของพวกเจ้าได้”

เมื่อเอ่ยจบ ฟางฉงผู้นี้ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ซี่ฟันเหลืองๆ ดำๆ ปรากฏให้เห็น “หากพวกเจ้าให้มากพอ ข้าสามารถให้พวกน้องๆ นำทางพวกเจ้าผ่านตอนกลางไปถึงด้านในได้อีกด้วย! แต่จะรอดชีวิตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดวงของพวกเจ้าแล้ว!”

นี่คือการแลกเปลี่ยน

ฮ่วนซิงไป๋เองก็ย่อมรู้แจ้งในอกว่าเกาะสังหารเซียนแห่งนี้พิสดารนัก เขารู้ดีว่าทั้งแดนมัชฌิมและแดนเหนือยังไม่มีผู้ใดเคยมาที่เกาะนี้มาก่อน

ทว่าลู่หยวนกลับเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ฐานทัพแห่งนี้ช่างน่าสนใจ พวกเจ้าที่เข้ามาในเกาะสังหารเซียนแห่งนี้แล้วยังรอดชีวิตได้นั้นก็แบ่งออกเป็นหลายสำนักเช่นนี้งั้นหรือ?”

ฟางฉงก็มิได้มีความเกรงกลัว “ถูกต้อง ข้าตั้งตนเป็นใหญ่ ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้น”

ลู่หยวนหัวเราะแผ่วเบา

ทันใดนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นหน้ากระโจมฟาง ดูเหมือนว่าจะมีผู้คนมากมายมาเยือนพร้อมกันในเวลานี้

ซ้ำยังมีเสียงหัวเราะครึกครื้นดังมาจากด้านนอกอีกด้วย

“พี่เฟยกล่าวจริงใช่หรือไม่ว่ามีคนใหม่จากแผ่นดินใหญ่มาเยือน?”

“เป็นเช่นนั้นแน่ พี่เฟยเคยหลอกพวกเรางั้นรึ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นเราจะได้ลิ้มรสชาติกันอย่างเอร็ดอร่อยในคืนนี้แล้ว! เจ้าหนุ่มนกกระจอกเหล่านี้มีเหล้าติดตัวมาหรือเปล่านะ?!”

“พวกเขายังอยู่ในกระโจมของท่านผู้นำ ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขามีอะไรมาบ้าง!”

“ไป! เข้าไปดูกัน!”

ผู้คนมากมายต่างก็กรูกันเข้ามาในกระโจมฟางโดยมิได้รับเชิญ คงเป็นเพราะกระโจมหลังนี้ใหญ่โตนักจึงสามารถรองรับผู้คนจำนวนมากได้

คนทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็เป็นขั้นจ้าวยุทธ์ระดับสูงทั้งสิ้น ดุจเทพสังหารที่โหดเหี้ยมถืออาวุธในมือพร้อมด้วยปราณเลือดที่อบอวลโดยรอบ

เมื่อปราณวิญญาณของลู่หยวนแผ่กว้างออกไปก็รับรู้ได้ในทันทีว่าภายนอกมีผู้คนมารวมตัวกว่าสิบคน และต่างก็เป็นขั้นจ้าวยุทธ์ระดับสูงทั้งสิ้น

เมื่อผู้คนเหล่านี้เข้ามาในกระโจมก็เดินตรงมาอยู่ข้างฟางฉง แต่ละคนต่างจ้องมองลู่หยวนและพวกพ้อง ราวกับมองเห็นเหยื่อที่น่าลิ้มลอง เต็มไปด้วยความโลภและโหดเหี้ยม

ฮ่วนซิงไป๋และเซียวเทียนต่างก็รู้สึกขยะแขยงกับสายตามากมายนั้น

คนผู้นั้นกำลังดึงกระบี่สังหารเซียนออกจากฝัก พร้อมที่จะลุกขึ้นและโจมตีทุกเมื่อ

คนที่อยู่ด้านหลังก้มตัวลง มองไปที่ลู่หยวนอย่างไม่ละสายตา หากลู่หยวนเคลื่อนไหวเขาก็พร้อมจะเคลื่อนไหวตามไปด้วย

ส่วนกู้ชิงหรันนั้นยืนอยู่ด้านหลังของลู่หยวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางให้ความสนใจกับลู่เทียนเฟิ่งเล็กน้อย

ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว

ทั่วทั้งกระโจมต่างก็ตกอยู่ในบรรยากาศแปลกประหลาด

ลู่หยวนไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขามองเพียงแค่ฟางฉง “เช่นนั้น พวกเจ้าทุกคนที่นี่สามารถนำผู้คนผ่านตอนกลางไปถึงด้านในได้ทั้งหมดเช่นนั้นหรือ?”

ฟางฉงหัวเราะ “ถูกต้อง!”

“แล้วที่เจ้ากล่าวว่า ‘ให้มากพอ’ หมายความว่าอย่างไร?”

ลู่หยวนยังคงถามต่อไป

ฟางฉงเหลือบมองพวกพ้องที่อยู่ด้านข้าง อยู่ๆ แววตาก็ดูเจ้าเล่ห์ขณะเปลี่ยนไปมองด้านหลังของลู่หยวน “พวกเราขาดเสบียงทั้งหมด รวมถึงผู้หญิงด้วย!”

“สาวน้อยผู้นี้ช่างงามราวกับนางฟ้า งามกว่าเมียข้าราวฟ้ากับเหว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะลดค่าตอบแทนให้ ท่านจงนำเสบียงออกมาเจ็ดส่วน แล้วส่งสาวน้อยผู้นี้มา ข้าจะสั่งให้คนนำท่านไปเดี๋ยวนี้! และฐานทัพแห่งนี้ท่านก็จะสามารถใช้งานได้ทุกเมื่อ!”

คนอื่นๆ ก็พากันโห่ร้อง “นี่ท่านผู้นำ หากท่านได้นางผู้นี้แล้ว ก็แบ่งให้พวกเราเล่นด้วยสิ”

“ได้!”

ฟางฉงฟาดมือลง “เมื่อข้าเล่นกับนางจนพอใจแล้ว ก็จะให้พวกเจ้าเล่นต่อ”

“ขอบพระคุณท่านผู้นำ!”

ใบหน้าของคนอื่นๆ เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ที่แสดงออกมาอย่างไม่ขาดสาย

มีเพียงเฟยซิงที่ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเท่านั้นที่ไร้ซึ่งความยินดี และกลับมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย เขาคิ้วขมวดอย่างไม่รู้สาเหตุ รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น!

ฟางฉงลุกขึ้น “เจ้าชื่อลู่หยวนใช่ไหม เอาล่ะ แค่วางเสบียงและผู้หญิงคนนี้ไว้ที่นี่ พวกเจ้าก็สามารถออกไปได้แล้ว!”

ลู่หยวนขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “เจ้าว่าอะไรรึ? ข้าไม่ได้ยิน”

ลูกน้องคนหนึ่งของฟางฉงรีบลุกขึ้นมา “ท่านผู้นำ…”

เขาเพิ่งจะเอ่ย ทว่ากลับต้องเงียบเสียงในทันที!

เปลวไฟสีม่วงแดงลุกโชนขึ้นจากร่างของเขา ในพริบตาเดียวก็กลืนกินเขาไปจนสิ้น ร่างนั้นสลายกลายเป็นกลุ่มควันไปในโลกใบนี้ในเวลาไม่ถึงอึดใจ!

ทุกคนต่างก็ตะลึงงัน!

แม้แต่ฟางฉงก็ยังเบิกตากว้าง ผู้ที่หายตัวไปเมื่อครู่ก็มีระดับการบ่มเพาะที่เหนือขั้น แม้แต่ฟางฉงก็ยังไม่กล้าเอ่ยว่าตนสามารถทำให้คนหายตัวไปได้เช่นนี้!

“เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่าอันใด?”

เสียงของลู่หยวนยังคงดังก้อง ราวกับยมทูตในแดนนรกกำลังกระซิบอยู่ข้างหู

เฟยซิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก วันนี้พวกเขาพบกับคนที่ยุ่งยากเข้าเสียแล้ว!

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

Score 10
Status: Completed
เจ้าพวกพระเอกที่โง่เง่าทั้งหลาย ทั้งตัวตนอันไร้เทียมทาน สาวงาม ทรัพย์สมบัติ หรือกระทั่งโชคชะตาของพวกเจ้า ข้าก็จะช่วงชิงมันมาให้หมด!

Options

not work with dark mode
Reset