บทที่ 572 จ้าวแห่งอาวุธ?
บทที่ 572 จ้าวแห่งอาวุธ?
“อาวุธ?”
ตอนที่ลู่หยวนเข้ามาในดินแดนนี้ได้สำรวจทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งของที่ใช้เป็นอาวุธกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ล้วนเป็นสิ่งของที่ไม่น่าสนใจ
อาวุธที่ทำให้เจ้าแห่งมังกรไม่สามารถถือไว้ได้ถึงสามลมหายใจ ลู่หยวนกลับรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง
หรืออาจเป็นไปได้ว่าอาวุธชิ้นนั้น ลู่หยวนตรวจพบแล้วแต่มิได้ให้ความสนใจมากนัก?
ฝ่ายหลงอ้าวเทียนสังเกตเห็นความสนใจของลู่หยวน จึงเริ่มกล่าวต่อ “ท่านต้องการไปดูหรือไม่?”
ลู่หยวนพยักหน้า
หลังจากนั้นหลงอ้าวเทียนก็เป่านกหวีด มังกรเจินหลงตัวหนึ่งก็บินลงมาจากท้องฟ้า แล้วร่อนลงข้าง ๆ ลู่หยวน
ลู่หยวนวางหลิงอวิ๋นไว้บนหลังของมังกรเจินหลง จากนั้นก็แผ่พลังปกคลุมไว้เพื่อปกป้องนาง
มังกรเจินหลงก็รู้หน้าที่ของตน จึงหมุนตัววนเป็นวงแล้วหมอบลง เกล็ดของมันชี้ขึ้นเพื่อปกป้องหลิงอวิ๋นอีกชั้นหนึ่งโดยมิให้ลมหรือเม็ดทรายเข้าไปได้
“ไปกันเถิด”
ลู่หยวนกล่าว
หลงอ้าวเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ขี่มังกรเจินหลงตัวหนึ่ง หางมังกรสะบัดแล้วก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
โดยที่ลู่หยวนตามมาติด ๆ
ไม่นานก็มาถึงบริเวณที่มีหินผาถูกพายุทรายกัดเซาะ ภูเขาหินที่นี่ดูแปลกประหลาด ลมทรายที่พัดผ่านก็ส่งเสียงคร่ำครวญราวกับผีสาง
หากคนขี้ขลาดผ่านมาบริเวณนี้คงจะต้องกลัวจนฉี่ราด
ลู่หยวนเองก็เพ่งเล็งที่นี่ไว้เช่นกัน แต่บริเวณนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจสำหรับเขาเลย
หลงอ้าวเทียนลงจากหลังมังกรเจินหลง จากนั้นก็พาลู่หยวนลอดผ่านแนวภูเขาหินแล้วก็มาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง
เมื่อเข้าไปในถ้ำก็เห็นเพียงแต่กองกระดูก
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นบรรพบุรุษของข้า ทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่อาภัพเพราะจับอาวุธชิ้นนั้น จึงทำให้ต้องจบชีวิตลง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วคมของลู่หยวนก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แล้วก็ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก
ในไม่ช้าก็มาถึงจุดที่ลึกที่สุดของถ้ำ
ตรงกลางมีแท่นหินวางอยู่ บนแท่นมีสิ่งของคล้ายท่อนไม้สำหรับใช้ก่อไฟวางอยู่ด้านบน
สิ่งของชิ้นนั้นยาวประมาณสามฉื่อ มันเปียกลื่นและเงาวับ ยามที่แสงส่องกระทบมันก็สะท้อนออกมา
ลู่หยวนใช้พลังตรวจสอบดูแต่กลับไม่พบอะไรเลย
ราวกับท่อนไม้สำหรับใช้ก่อไฟเสียจริง
“เจ้าสิ่งนี้ทำให้เจ้าทั้งหลายทนไม่ได้แม้เพียงสามลมหายใจอย่างนั้นรึ?”
ลู่หยวนประหลาดใจเล็กน้อย
หลงอ้าวเทียนรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้มันวิเศษมากเพียงใด!”
ลู่หยวนยังคงมีแววตาลังเล
หลงอ้าวเทียนจึงรีบเดินตรงเข้ามา “นายท่าน โปรดดูให้ดี!”
กล่าวจบหลงอ้าวเทียนก็คว้ามือของตนเองไปจับยังท่อนไม้นั่น
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้น แสงสายฟ้าก็พุ่งออกมาฟาดลงที่ร่างของหลงอ้าวเทียน จนร่างนั้นสั่นเทา!
หลงอ้าวเทียนทนไม่ได้แม้แต่ลมหายใจเดียว นางปล่อยมือและล้มลงไป
ในขณะนั้นหลงอ้าวเทียนมิได้มีสภาพของผู้ถูกสายฟ้าฟาด หากแต่บาดเจ็บเช่นเดียวกับผู้ใช้มังกรทั้งสองคนก่อนหน้านี้!
ลู่หยวนใส่ค่าโชคชะตาลงไปเล็กน้อย เพื่อช่วยเหลือหลงอ้าวเทียนให้กลับคืนมา
หลงอ้าวเทียนลุกขึ้นจากพื้น ดวงตาสุกสว่างราวกับมีแสงไฟ
เห็นได้ชัดว่านายท่านสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นได้!
ต่อจากนี้ ขอเพียงทำให้นายท่านพอใจ ก็จะช่วยชีวิตเผ่าพันธุ์ของนางได้!
ลู่หยวนมองไปยังท่อนไม้นั่น เพียงชั่วครู่ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ถึงปราณกระบี่เล็กน้อย
ทว่าปราณกระบี่นั้นปรากฏเพียงชั่วครู่ ลู่หยวนจึงมิอาจรับรู้ได้ทั้งหมด ในเวลานี้ลู่หยวนไม่กล้าฟันธงเลยว่าสิ่งนี้คือสิ่งใดกันแน่
“เจ้าสิ่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร”
ลู่หยวนเอ่ยถาม
หลงอ้าวเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าคิดว่ามันตกลงมาจากฟากฟ้าลงมายังดินแดนแห่งนี้ แต่มิทราบว่าเพราะเหตุใดบรรพชนและชนเผ่าของข้าล้วนให้ความสำคัญกับมันยิ่งนัก ราวกับว่าทุกยุคทุกสมัยต่างก็ปรารถนาให้มีผู้ครอบครองมัน แต่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แม้จะถือไว้ในมือก็ยากยิ่งนัก นับประสาอะไรกับการครอบครอง”
หลังจากที่หลงอ้าวเทียนเอ่ยจบ ความคิดหนึ่งก็แล่นขึ้นมาทันใด “คล้ายว่าเคยมีตำนานเล่าขานกันมา”
“เป็นคำร่ำลือที่ว่า สิ่งนี้มิได้มีไว้เพื่อพวกเราชาวผู้ใช้มังกร แต่สักวันจะต้องมีผู้มารับมันคืน!”
“หากได้ครอบครองมันแล้ว ก็จะสามารถบัญชาได้ทั่วทั้งใต้หล้า! ทว่าคำร่ำลือนี้มาจากที่ใดก็มิอาจทราบได้ พวกเราต่างรอคอยที่จะครอบครองสิ่งนี้มาชั่วอายุคนแล้ว”
ลู่หยวนหัวเราะในลำคอ “บัญชาได้ทั่วทั้งใต้หล้า?”
กล่าวจบลู่หยวนก็ก้าวไปข้างหน้า เขายื่นมือขวาออกมา หมายจะคว้าท่อนไม้ท่อนนั้น
หลงอ้าวเทียนยืนอยู่ข้าง ๆ กลั้นลมหายใจอย่างจดจ่อ มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่นางถือมันเองเสียอีก
พวกนางมีพลังจำกัด นางรู้ดีว่าในกลุ่มชาวผู้ใช้มังกรทั้งหลาย นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งเทียบเท่าลู่หยวนได้!
มีเหล่าผู้บุกรุกที่เคยเข้ามาในดินแดนนี้คนแล้วคนเล่า ทว่าลู่หยวนคือผู้ที่เก่งกาจที่สุด
พวกเขาล้วนไม่มีพลังที่จะหยิบท่อนไม้นี่ขึ้นมาได้ ทว่าลู่หยวนจะทำได้หรือไม่?
หลงอ้าวเทียนยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิม สิ่งนี้จะสามารถครอบครองทั้งใต้หล้าได้จริงหรือไม่?!
ในขณะที่มือของลู่หยวนค่อย ๆ เคลื่อนลงมาหมายจะหยิบท่อนไม้ เขาก็เห็นแสงบางอย่างเปล่งประกายออกมาจากของสิ่งนี้!
แรงต้านไม่น้อยปรากฏขึ้นตรงกลางฝ่ามือของลู่หยวน
จากนั้นเสียงของคนชราก็ดังขึ้นอย่างไร้ที่มา และดังก้องอยู่ในหูลู่หยวนแต่เพียงผู้เดียว
“หนุ่มน้อย เจ้ามาเสียที!”
เสียงนั้นแม้จะฟังดูแก่ชรา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความยินดี
“ข้ารอเจ้ามา… กี่หมื่นปี… หรือหลายแสนปีกันหนอ จำไม่ได้เสียแล้ว”
“เจ้าคือผู้ใด?”
ลู่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ยามนี้ในใจของลู่หยวนคงเดาได้แล้วว่า ผู้นี้เป็นเจ้าของเดิมของสิ่งนี้ ซึ่งสิ้นชีพไปแล้ว และทิ้งดวงวิญญาณไว้รอคอยผู้ครอบครองคนถัดไป เพื่อกล่าวฝากฝังบางสิ่งบางอย่างหรือมอบทรัพย์สมบัติ ก่อนจะสลายไปพร้อมกับฟังคำขอบคุณสักเล็กน้อย
สุดท้ายแล้ว หากมีเรื่องราวบาดหมางก็อาจเอ่ยสักสองคำ ให้ผู้สืบทอดช่วยล้างแค้นให้ หากไร้ซึ่งเรื่องราวบาดหมาง ก็คงให้คำชื่นชมสักสองคำ เพื่อไม่ให้สูญเปล่าที่มา
หลงอ้าวเทียนซึ่งอยู่ด้านข้าง มิอาจได้ยินเสียงของชายชรา นางได้ยินแต่เพียงเสียงของลู่หยวน จึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ทว่าเมื่อแลเห็นสีหน้าของลู่หยวนแล้ว นางก็รู้ได้ว่าคนที่ลู่หยวนเอ่ยด้วยมิใช่ตัวเขา จึงได้แต่ถอยกรูดไปด้านข้างอย่างว่าง่าย โดยมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
“ข้าคือเจ้าของอาวุธชิ้นนี้!”
เสียงชราภาพเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้าเฝ้ารอมานานนัก เจ้ามีพละกำลังกล้าแกร่งสมควรแก่การสืบทอดอาวุธชิ้นนี้อย่างยิ่ง ข้าจะมอบให้เจ้าในตอนนี้ดีหรือไม่?”
ในเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งความโอ่อ่า
ถึงแม้จะมิได้แลเห็นตัวตนของเขา แต่ลู่หยวนก็สามารถจินตนาการได้ถึงสีหน้าของดวงวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก “ในอดีตข้ายิ่งใหญ่เพียงใด บัดนี้ข้าจะมอบของวิเศษให้แก่เจ้า รีบก้มลงทำความเคารพข้าเถิด”
ทว่าลู่หยวนกลับดึงมือตนกลับ พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้ามีของวิเศษอะไรมาให้ข้าหรือไม่ หรือว่ากำลังภายใน?”
“ข้าเห็นของชิ้นนี้ดูเหมือนจะมีฤทธิ์เดชราวกับจะเป็นกระบี่ยาว สิ่งนี้เป็นของระดับใดเล่า เจ้าสามารถมอบเจตจำนงกระบี่ชั้นเลิศให้ข้าได้หรือไม่? แบบที่สามารถฟันแผ่นดินนี้ให้แยกออกจากกันได้”
“โอ้ นึกขึ้นได้อีกเรื่อง ตำราใด ๆ ที่ว่าด้วยกระบี่ก็ไม่ต้องแล้ว ข้ามีมากเพียงพอแล้วล่ะ”
เสียงของชายชราเงียบงันไปชั่วครู่
ชายหนุ่มผู้นี้… ไฉนจึงดูเชี่ยวชาญเช่นนี้เล่า!
เสียงของลู่หยวนยังคงดังต่อไป “รีบ ๆ เข้าเถิด ทำให้เสร็จสิ้นโดยไว ข้ายังมีกิจที่ต้องทำมิอาจรอให้เจ้าผัดวันประกันพรุ่งได้หรอก”