ทที่ 554 เจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้
บทที่ 554 เจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้
ทว่ามันสายเกินกว่าที่จะตบหน้าตัวเองแล้ว เพราะกู้ชิงหรันจับเขามัดไว้ที่นี่
เมื่อมองไปทางลู่หยวน เขาก็ไม่เห็นโอกาสในการเจรจาแต่อย่างใด
ท่ามกลางหมู่เมฆเหนือท้องนภา ม่านหมอกสีทองก็สั่นไหว
หญิงสาวสวมผ้าคลุมผืนบางคนหนึ่งก้าวออกมาด้วยสีหน้าดูแคลน รอบกายนางเปล่งรัศมีสง่างามเรืองรอง
บริเวณด้านหลังยังมีผู้หญิงอีกคนสวมผ้าคลุมหน้า นางถือกล่องกระบี่เอาไว้ในมือด้วยท่าทีดวงตาหลุบต่ำแสดงความนบนอบ
หญิงสาวซึ่งอยู่ข้างหน้าจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันทันที
“ไท่อี ถึงเวลากลับแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยอย่างแผ่วเบา แม้น้ำเสียงของนางจะราบเรียบ แต่ยามเอื้อนเอ่ยกลับกลายเป็นเสียงของมหาวิถีประหนึ่งระฆังสีเหลืองที่ดังก้องในอากาศธาตุ
มันเคลื่อนลงมาสู่โลกใบนี้ประหนึ่งกฎเกณฑ์จากทวยเทพ!
เมื่อวิญญาณทั้งหลายในเขาบูรพาได้ยินเสียงดังกล่าว พวกมันต่างพากันคุกเข่าแล้วก้มศีรษะไปทางหญิงสาวด้วยท่าทีจริงจังยิ่ง!
ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตต่างแดนในดวงตาของหญิงสาวคนนี้ นางเพียงจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันเท่านั้น
ส่วนกู้ชิงหรันหัวเราะแผ่วเบา แล้วทิวทัศน์รอบข้างก็หมองหม่น
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า? เหยาจีล่ะ?”
หญิงสาวคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธหลังจากได้ยินเช่นนี้ “โอหัง! เจ้ากล้ามาเอ่ยชื่อของมหาจักรพรรดินีได้อย่างไร!”
“ไท่อี เจ้าควรกลับไปกับพวกเราแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นเมื่อท่านเทพสงครามตื่นขึ้น เจ้าอาจจะตกอยู่ในกรงขังไร้ขอบเขตอีกครั้งก็ได้!”
ลู่หยวนหลุบตาต่ำ สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะมองไปทางหญิงสาวคนนั้น
ลู่หยวนไม่ได้อยู่ในสายตาของหญิงสาวคนนั้น แม้จะรู้สึกเย็นสันหลังวาบเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
กู้ชิงหรันถือกระบี่หักไว้ในมือขณะปราณกระบี่กวาดผ่านออกไป พวกมันก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ในทันที!
“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว หากต้องการพาข้าไปก็จงแสดงทักษะที่แท้จริงให้ได้เห็นซะ!”
หญิงสาวคนนั้นเย้ยหยัน “ไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์สินะ!”
นางยกมือข้างหนึ่งพัดผ่านอากาศธาตุอย่างแผ่วเบา แล้วตราประทับซับซ้อนยิ่งก็ปรากฏขึ้น
ห้วงอากาศทั้งหลายเริ่มบิดเบี้ยว!
กลิ่นอายหนึ่งจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันอย่างรวดเร็ว!
ปราณวิญญาณรอบข้างกู้ชิงหรันถูกตัดขาดในทันที แล้วค่ายกลกระบี่จำนวนมากก็เริ่มสลายเช่นกัน!
ลู่หยวนผู้อยู่ข้างกายกู้ชิงหรันมีสีหน้าไม่ยินดียิ่ง ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย “นางคือร่างแยกที่ถูกส่งมาจากแดนเซียนหรือ?”
กู้ชิงหรันพยักหน้า “เขตอาคมระหว่างแดนเซียนกับแผ่นดินหยวนหงยังไม่ถูกเปิดออก หากพวกเขาลงมาก็ไม่สามารถกลับไปได้ เพราะอย่างนั้นจึงต้องทิ้งร่างจำแลงเอาไว้ ในเมื่ออีกฝ่ายทำแบบนี้ หมายความว่าไม่ได้มีความตั้งใจจะถอยกลับอยู่แล้ว”
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปได้อย่างไร?”
กู้ชิงหรันชูกระบี่หักขึ้น “หากกระบี่กลับ ข้าก็จะกลับ”
ลู่หยวนหลุบตาราวกับกำลังครุ่นคิด
“เหอะ…”
หญิงสาวที่อยู่เหนือห้วงอากาศเผยรอยยิ้มหยันออกมา “ไท่อี ที่เจ้าไม่ยอมกลับเป็นเพราะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์แล้วงั้นหรือ?”
“เจ้าติดตามเทพสงครามมาหลายปี แต่วิสัยทัศน์คับแคบจนตกหลุมรักผู้ชายจากแดนมนุษย์เชียวหรือ แม้เขาจะหล่อเหลาก็จริง แต่ดูจากการบ่มเพาะแล้ว… จุ๊จุ๊จุ๊…”
ลู่หยวนคิ้วขมวดเล็กน้อยขณะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น “จุ๊หาอะไร ผักติดฟันหรือ”
ผู้หญิงคนนั้นสำลักทันทีก่อนใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ปากจัดเสียจริง! ดูซิว่าถ้าเลาะฟันหมดแล้วจะยังปากดีอีกหรือไม่!”
สิ้นคำ ความเร็วของการร่ายผนึกในมือของหญิงสาวก็เพิ่มขึ้น เพียงพริบตา ผนึกจำนวนมากก็ปรากฏ!
กลิ่นอายทั้งหลายซึ่งอยู่รอบข้างลู่หยวนพลันถูกกดดัน
แม้กระทั่งพวกตี้อู่เหอซ่านที่อยู่ในจิตเทวะของลู่หยวนก็ยังหายใจไม่ออก!
มิใช่แค่ลู่หยวนไม่สามารถระดมสุดยอดพลังทั้งหลายที่เกิดจากปราณวิญญาณได้เท่านั้น แม้กระทั่งพลังสามสั่นสะเทือนก็ยังถูกปิดกั้นเอาไว้!
“เจ้าหนู เจ้ามันช่างโง่เขลานัก แม้เจ้าจะมีการบ่มเพาะในโลกมนุษย์อยู่บ้าง แต่มันไม่อาจเทียบเคียงกับคนในแดนเซียนของข้าได้หรอก”
“พวกข้าผู้มาจากแดนเซียนเปรียบได้กับทวยเทพในสายตาของเจ้า เป็นเพียงมนุษย์แต่กล้ามารุกล้ำทวยเทพได้อย่างไร?!”
เสียงของหญิงสาวไพเราะเสนาะหูขณะดังก้องไปทั่วหล้า นางจงใจลากเสียงยาวเพื่อแสดงพลังอันยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจนเกิดเป็นคลื่นกระแทกทีละชั้น
สรรพสิ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยิ่งสั่นสะท้านจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
นางคล้ายกับยินดีที่ได้เห็นการบูชาจากสิ่งเหล่านั้นก่อนจะเชิดหน้าสูงยิ่งขึ้น “ผู้คนในโลกมนุษย์นั้นต่ำต้อย ต่อให้ข้าเป็นเพียงร่างจำแลงในโลกนี้ ต่อให้ข้าจะก้าวข้ามเขตอาคมจนไม่ได้มีพลังเทียบเท่าแต่ก่อน แต่สำหรับข้า การสังหารพวกเจ้าทั้งแผ่นดินย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก!”
“เจ้าหนู จงคำนับสองสามครั้งสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิต”
แม้หญิงสาวจะก้มมองเห็นลู่หยวนยืนตัวตรงในห้วงอากาศ แต่นางก็ไม่ประหลาดใจ
นอกจากเด็กคนนั้นแล้วยังมีกู้ชิงหรัน แม้นางจะถูกจองจำโดยตราประทับทั้งหลาย แต่ก็ยังมีพลังปกป้องลู่หยวนอยู่
ปราณกระบี่กวาดผ่านข้างกายของลู่หยวนเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแทรกแซงจากชั้นกลิ่นอายอันสง่างาม
กู้ชิงหรันมองไปทางลู่หยวนก่อนจะเห็นจิตสังหารนับไม่ถ้วนในดวงตาของอีกฝ่าย ดังนั้นนางจึงเพียงเอ่ยถาม “ต้องการปราณกระบี่ปกป้องเจ้าหรือไม่?”
“เหอะ”
ลู่หยวนยิ้มหยัน “สำหรับหญิงแก่หน้าเหลืองแบบนี้ ไม่จำเป็นหรอก”
หญิงสาวซึ่งอยู่เหนือห้วงอากาศจะไม่ทราบได้อย่างไรว่า ‘หญิงแก่หน้าเหลือง’ หมายถึงตน?!
สีหน้าของนางยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม ตนเองเป็นถึงขุนนางหญิงผู้อยู่ข้างกายจักรพรรดินีเหยาจีเชียวนะ!
ทั่วทั้งวังจักรพรรดิ หากไม่นับจักรพรรดินีเหยาจี นางก็นับว่างามสะพรั่งมากที่สุด!
ทั้งที่ผู้อื่นต่างพากันสรรเสริญ แต่เด็กคนนี้กลับเรียกนางว่าหญิงแก่หน้าเหลืองงั้นหรือ?!
เขาถึงขั้นข่มขู่ว่าจะเฆี่ยนตีนาง กล้าพูดออกมาได้อย่างไร!
เด็กคนนี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง!
เหตุใดไม่คุยโวเลยว่าสามารถเอาชนะมหาจักรพรรดิในแดนเซียนจนสามารถมาเห่าหอนเช่นนี้ได้เล่า! เหตุใดไม่คุยโวว่าเจ้าสามารถบดขยี้วิถีสวรรค์เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเลยล่ะ!
แต่สิ่งที่นางไม่ทราบก็คือความคิดเมื่อครู่นั้นล้วนเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว…
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในภายหลัง
“เจ้าหนู ช่างรนหาที่ตายนัก!”
หญิงสาวสะบัดมือขวาขณะกลิ่นอายทรงพลังกวาดผ่านทั่วท้องนภา ชั้นห้วงอากาศเคลื่อนตัวและสั่นสะเทือนไปมาก่อนจะตรงเข้าหาลู่หยวนทั้งหมด
ปราณกระบี่ของกู้ชิงหรันที่ปกป้องรอบข้างลู่หยวนกางออกชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อย ๆ หายไป
ลู่หยวนยื่นมือขวาออกไปแล้วยกชายชราผู้แสร้งตายไปแล้วจากข้างกาย
ชายชราแทบยัดหัวเข้าไปในกางเกงตั้งแต่ผู้หญิงสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้นด้วยเกรงว่าลู่หยวนจะคิดถึงเขาอีกครั้ง
ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงจับยกขึ้นมา
ชายชราเกิดการรู้แจ้ง เขาเพียงรู้สึกว่าวันนี้ตนเองคงไม่รอดแล้ว
ทว่าเขายังอยากต่อสู้จนตัวตายอยู่ดี
ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของชายชราพลันย่ำแย่ราวกับเพิ่งเสียแม่ก่อนจะร่ำไห้ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพื้นที่ให้เจรจากันจริงหรือ?”
“แม้ข้าจะไม่ควรพูดเช่นนี้ แต่ท่านเอาชนะนางไม่ได้หรอก ทำไมพวกเราไม่หนีโดยมีข้าให้การคุ้มครองท่านเล่า?”
ลู่หยวนคิ้วขมวด “นางเป็นคนมากฝีมือในแดนเซียนหรือ?”
ชายชราตอบตามตรง “องครักษ์ส่วนตัวของมหาจักรพรรดินับว่าเป็นมือดีที่สุดในแดนเซียน ต่อให้เป็นเพียงร่างจำแลงก็ยังมีสถานะหลงเหลืออยู่บ้าง”
“เจ้าก็เทียบนางไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้”
ชายชราส่ายหน้าด้วยท่าทีเศร้าสลดยิ่ง
เป็นเรื่องจริงที่เขาเคยครองตำแหน่งในแดนเซียนเมื่อนานมาแล้ว แต่ในตอนนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับองครักษ์ของมหาจักรพรรดิ บัดนี้กาลเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ตนเองย่อมไม่เหลือสิ่งใด
ลู่หยวนยิ้มกว้าง แล้วรอยยิ้มดังกล่าวก็ปรากฏในดวงตาของชายชราราวกับจะทะลวงเข้าไป
“เช่นนั้นเจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้ ข้าจะช่วยเจ้าทุบตีนางให้ตายเอง!”