บทที่ 545 ทัณฑ์ใจ
บทที่ 545 ทัณฑ์ใจ
ทุกคำพูดของชายชราประหนึ่งผู้เผยพระวจนะที่คอยชี้แนะให้กับดินแดน
เขาหรี่ตาเล็กน้อยจนดูเหมือนกับผู้ควบคุมสรรพสิ่งใต้หล้าที่อยู่ในกำมือ
ซึ่งผู้ที่สามารถฟังคำพูดของเขาได้ควรซาบซึ้งที่ได้เติมเต็มโชคชะตาที่อีกฝ่ายกล่าวถึง!
“เหอะ…”
ลู่หยวนพลันยิ้มหยันขณะง้าวมังกรครามแปดแดนร้างถูกเหยียดออกไปจนจ่อที่คอของชายชรา
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดงั้นหรือ? ข้าบอกว่าต้องการผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม!”
ชายชราเงยหน้า “เจ้าหนู เจ้าสนใจสิ่งเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้างั้นหรือ? พื้นที่นี้เป็นของข้า ดังนั้นหากเจ้านำมันออกไปจะเกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าทำร้ายข้าได้หรือ? เจ้าหนู ข้าแนะนำให้เจ้าเก็บสิ่งนี้กลับไปเสีย ข้าจะแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนและจะไม่สนพฤติกรรมต่ำทรามในวันนี้”
“ส่วนผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม เดิมทีข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองแข่งขันกัน ใครฝีมือดีกว่าก็เอาไป แต่เห็นการกระทำในวันนี้ของเจ้าแล้ว ข้าจึงตัดสินใจที่จะมอบมันให้กับซ่งชิง”
เมื่อซ่งชิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ “ขอบคุณผู้อาวุโส”
ชายชรายิ้มแล้วเอ่ย “ไม่จำเป็น”
จากนั้น ปลายนิ้วของเขาสัมผัสง้าวมังกรครามแปดแดนร้าง แล้วมันก็กระเด็นออกไปอย่างรุนแรงก่อนจะตกลงบนพื้น
“ลู่หยวน โปรดถอยออกไปด้วย”
ชายชราเอ่ยอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงหยิบขวดน้ำเต้าสุราบนโต๊ะ
แต่ลู่หยวนกลับหรี่ตาเล็กน้อยขณะจับจ้องไปทางชายชรา เขาก้าวเท้าเล็กน้อยเพื่อเหยียบไปบนขวดน้ำเต้า
ชายชราคิ้วขมวดด้วยสีหน้าไม่ยินดียิ่ง จากนั้นจิตสังหารก็ระเบิดออกมา “ลู่หยวน เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า?”
“เหอะ…”
แม้ลู่หยวนจะยิ้มหยัน แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชา “ถ้ากล้าฆ่าข้า เหตุใดจึงไม่เข้ามาเล่า?”
ฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดมาทางศีรษะของลู่หยวน แต่เขากลับไม่หลบแต่อย่างใด จนกระทั่งฝ่ามืออยู่ห่างจากตรงหน้าเพียงสามเฟิน มันก็หยุดนิ่งจนไม่อาจขยับต่อได้อีก
ชายชรามองลู่หยวนด้วยสีหน้าเฉยชาราวกับพลังทั้งหมดทั่วหล้าอยู่ในกำมือของเขา
ผ่านไปสักพัก ชายชราก็ประหลาดใจเช่นกัน
หมายความว่าลู่หยวนรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วหรือ?!
เป็นไปไม่ได้!
หากเป็นซ่งชิงก็ยังพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรประสบการณ์กับตัวตนของเขาก็อาจจะข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
แต่ลู่หยวนอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย เว้นแต่ว่า…
ชายชราคิ้วขมวดขณะจ้องมองไปที่กู้ชิงหรันผู้ปรากฏตัวด้านหลังลู่หยวนหลังจากที่บ้านร้างหายไป
หรือกู้ชิงหรันจะเป็นคนเล่าทุกอย่างให้ลู่หยวนฟัง?!
นี่…
ชายชราไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร หากลู่หยวนทราบทุกอย่างอยู่แล้ว เช่นนั้นการตระเตรียมทั้งหมดก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า!
ถ้าอย่างนั้น การนำลู่หยวนกับซ่งชิงมาอยู่ด้วยกันในวันนื้ถือเป็นการรบกวนหมากรุกทั้งกระดานหรือไม่?!
ถึงตอนนั้น…
เมื่อกระดานหมากรุกเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่ทำให้ผู้เล่นทั้งสองขุ่นเคืองใช่หรือไม่?!
“เหอะ…”
ขณะชายชรากำลังครุ่นคิด เสียงพ่นลมออกจมูกก็ดังขึ้น
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่หยวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายชรา!
“กลัวหรือ?”
ลู่หยวนยังคงเย้ยหยันขณะสายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
ทันทีที่เข้ามาในบ้านร้างและเห็นชายชรา ลู่หยวนก็คล้ายกับทราบบางอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและเคารพของซ่งชิง ลู่หยวนก็เข้าใจว่าชายชราผู้นี้ไม่ได้มาจากแผ่นดินหยวนหงแต่อย่างใด
แต่พวกเขาไม่ใช่คนจากแดนเซียนอีกแล้ว
พูดตามตรง มันก็คล้ายกับตี้อู่เหอซั่นผู้เคยมาจากแดนเซียนและถูกทิ้งไว้ที่นี่ในภายหลัง
เมื่อมองท่าทางของชายชรา เหตุผลที่ร่างกายของเขาไม่ตายก็คงไม่ต่างจากตี้อู่เหอซั่น
แต่เนื่องจากใช้อุบายบางอย่าง จึงทำให้เส้นชีพจรมัดกล้ามบนร่างของเขาเด่นชัดยิ่ง
เส้นชีพจรมัดกล้ามเคลื่อนผ่านทั่วแขนของชายชรา แล้วลู่หยวนก็มองเห็นข้อมือที่อยู่ในเสื้อคลุมเพียงเล็กน้อย
แต่แค่นั้นก็ทำให้ลู่หยวนทราบว่าเหตุใดชายชราจึงอยู่รอดในกายหยาบนี้มาได้
ของจริงเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามซึ่งถูกบันทึกไว้ในตระกูลลู่แห่งแดนเหนือ ว่ากันว่าผู้อาวุโสแข็งแกร่งในตระกูลจะคัดเลือกทายาทหนึ่งคนเพื่อคอยเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด จากนั้นก็กินอาหารที่ปนเปื้อนโลหิตของทายาทผู้นั้นทุกวัน
ยามทายาทเติบใหญ่ พวกเขาสามารถลอกเปลือกจักจั่นสีทองออกมาได้ ก่อนจะเปลี่ยนจากกายหยาบเดิมไปสู่ร่างกายของทายาท
เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้เป็นอันตรายต่อธรรมชาติ ทุกคนบนแผ่นดินหลักต่างพากันประณาม ดังนั้นมันจึงถูกผนึกเอาไว้อย่างเป็นเอกฉันท์
ส่วนสาเหตุที่ตระกูลลู่บันทึกเอาไว้ แน่นอนว่ามีใครบางคนเกิดความคิดที่จะใช้เคล็ดวิชาชั่วร้ายดังกล่าว แต่หลังจากถูกสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลพบเข้า พวกเขาก็ต่อสู้กันจนทำให้ผู้อาวุโสถึงแก่ความตาย
ถึงอย่างไร ตัวตนของเคล็ดวิชาชั่วร้ายดังกล่าวก็เป็นผลดีต่อผู้อาวุโส แต่สำหรับทายาทที่ถูกเลือกย่อมไม่ต่างจากหายนะ!
อีกอย่าง หากมีคนหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดมรดกเช่นนี้ได้ ทั่วทั้งตระกูลก็จะมีผู้กุมอำนาจเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักเพียงเพื่อได้อำนาจ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและรับรู้ได้ถึงโชคชะตาของตัวเองหรอกหรือ?!
แต่หลังจากเรื่องนี้จบลง เคล็ดวิชาชั่วร้ายก็ถูกเก็บไว้ไม่มีใครแตะต้องอีก
ลู่หยวนเคยเห็นเคล็ดวิชาชั่วร้ายนี้ตอนทำการฝึกฝนในตระกูลลู่ เขาเพียงเหลือบมองสักพักก็สามารถจดจำมันได้
คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะถึงกับได้เห็นของจริง!
เคล็ดวิชาชั่วร้ายนั่นช่างน่าสนใจ…
มุมปากของลู่หยวนยกยิ้ม หากเคล็ดวิชาชั่วร้ายนี้วิวัฒนาการ ไม่ว่าตระกูลจะทรงพลังแค่ไหน พวกเขาก็จะถูกคนผู้นี้กินทั้งเป็น!
ตอนนี้ชายชราแทบจะเข้าตาจน แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ เขาจึงเลือกผลักไสตัวเองมาอยู่ตรงหน้าพายุอย่างลู่หยวนและซ่งชิง
เขาอาจจะคิดว่าเทือกเขาแห่งนี้เป็นอาณาเขตของตนเอง ดังนั้นทั้งลู่หยวนกับซ่งชิงจะต้องถูกกำราบและทำได้เพียงเชื่อฟังอย่างไร้ทางขัดขืน!
ลู่หยวนมองชายชราขณะร่างเหยียดตรง แล้วง้าวมังกรครามแปดแดนร้างในมือถูกกุมไว้มั่น
จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วเอ่ย “อาณาเขตของเทือกเขาแห่งนี้ ข้าทราบตั้งแต่เข้ามาที่นี่แล้ว ข้ายอมรับว่าเจ้ามีความสามารถหากอยู่ในพื้นที่นี้ หากอยู่ในอาณาเขตดังกล่าว ข้าคงถูกจำกัดจนไม่สามารถขัดขืนได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราก็ยิ้มหยัน “ก็ดีแล้วที่รู้ ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับเจ้า ไม่อย่างนั้น วันนี้เจ้าคงถูกฆ่าไปแล้ว!”
“เหอะ… เจ้ากล้าหรือ?”
ลู่หยวนมองตรงไปที่ชายชรา “ถ้าเจ้ากล้าจริงก็คงลงมือไปนานแล้ว มีหรือจะมาเล่นละครตบตาอยู่ตรงนี้? ข้าขอเดาว่า…”
“สิ่งที่เจ้าพูดพอมีมูลอยู่บ้าง แต่สาเหตุที่เจ้ามาอยู่ที่นี่นั้น…”
“ข้าเชื่อว่าหากเจ้าไม่ทำเพื่อตัวเองก็คงถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ เจ้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อพาข้ากับขยะนั่นมาอยู่ด้วยกัน สาเหตุก็มีแค่อยากรู้ว่าควรยืนอยู่ข้างใคร และใครจะสามารถพาเจ้าไปแดนเซียนได้ ใช่หรือไม่?”
ซ่งชิงผู้อยู่ข้างกายกัดฟันเมื่อได้ยินลู่หยวนพูดคำว่า ‘ขยะ’
แต่เมื่อหันสายตาไปมอง เขาก็เห็นสีหน้าประหลาดใจของชายชราจนตัวเองก็แข็งทื่อเช่นกัน
ลู่หยวน นี่เจ้าเดาแน่รึ?!