TB:บทที่ 97 ยังมีทางออก
เฉินหลงได้เห็นสีหน้าของลู่หนานแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเขา
“เครื่องกำจัดฝุ่น” ของคนอื่นกำจัดฝุ่นได้แค่ฝุ่นในโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง และหากเครื่องมือใช้การไม่ได้แล้วคงยากที่จะจัดการกับฝุ่นนี้ อีกอย่างคงจะดีกว่าหาก “เครื่องกำจัดฝุ่น” พวกนั้นลง “ถังขยะ” ไป
“นี่คือเครื่องกำจัดฝุ่นหรือ” หลังอ่านแบบของเครื่องกำจัดฝุ่น ลู่หนานมองเครื่องมือที่เจิ้งอี้วางลง
“คุณลู่ คิดว่าอย่างไรครับ ถ้าเครื่องนี่ใช้งานไม่ได้พวกเราจะเอาเครื่องนี้กลับไปแล้วขายเป็นเศษเหล็ก” เฉินหลงไม่ตอบคำถามของลู่หนาน แต่เขากล่าวกับตัวเอง
เมื่อได้ยินคำของเฉินหลงแล้ว ลู่หนานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ตัวเอง
ฮ่าวฉางชิงและภรรยาของลู่หนาน วานเจี่ย เห็นสีหน้าของลู่หนานแล้วก็ได้แต่แอบขำ
กรรมของอารมณ์พลุนพลันของลู่หนานสนองเขาคืนดีเหลือเกิน
“เสี่ยวหลง ฉันขอคืนคำที่พูดไปและต้องขอโทษเธออย่างเป็นทางการ” ลู่หนานว่าอย่างปราศจากทิฐิ เขาโค้งให้เฉินหลง
ในคราวนี้ลู่หนานรู้สึกผิดลึกๆและต้องการขอโทษจากใจจริง “เครื่องกำจัดฝุ่น” ที่เฉินหลงพัฒนาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันสูงส่งต่อมวลมนุษยชนทั้งปวง เมื่อลู่หนานนึกถึงการที่เขาปฏิบัติต่อเฉินหลงก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าเขาจำต้องขอโทษเฉินหลง
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณลู่ ผมแค่ล้อคุณเล่นเท่านั้น อีกอย่างผมคงไม่มาที่นี่หรอกครับถ้าผมไม่อยากเอามาให้ดูน่ะ” เฉินหลงเห็นลู่หนานที่อยู่ๆก็ก้มหัวให้เขาและขอโทษแล้วเขารู้สึกไม่สบายใจ เฉินจึงรีบตอบกลับและพูดไป
“ขอบคุณนะ เสี่ยวเฉิน” ลู่หนานกล่าว เขามองเฉินหลงอย่างขอบคุณ
ความซาบซึ้งที่เขามีไม่ใช่เพราะคำพูดของเฉินหลงทว่าเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำให้มนุษย์โลก
ได้ยินดังนั้นแล้วลู่หนานก็ออกไปเพื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องมือนี้ เป็นดังที่เขาคาด พื้นที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ปราศจากฝุ่นไปโดยสิ้นเชิง เขามองฟ้าครามที่หายไปนาน ลู่หนานรู้สึกปริ่มใจอย่างเสียไม่ได้
“เสี่ยวเฉิน ฉันคงต้องเอาเรื่องนี้ไปผ่านเบื้องบน ฉันคิดว่าพวกเขาจะส่งคนมาคุยกับเธอในทันที” ลู่หนานกล่าวอย่างตื่นเต้น
เพราะเขาได้เห็นการทำงานของ “เครื่องกำจัดฝุ่นแล้ว” แล้ว และมันใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาใด ทั้งที่ราชวงศ์จีนอันยิ่งใหญ่ได้ใช้ทั้งกำลังคนและทรัพยากรไปอย่างมากเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นนี่แล้วแท้ๆแต่ผลลัพท์กลับน้อยนิด
อย่างไรก็ตามแต่ “เครื่องกำจัดฝุ่น” ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาลเพื่อใช้งานครั้งหนึ่ง ทว่าผลลัพท์ก็เห็นอย่างทันตา หากเครื่องนี้ได้การผลักดันที่เหมาะสมแล้ว ยิ่งจะเป็นสิ่งดีต่อมวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่กุมอำนาจของราชวงศ์จีนยิ่งจะเป็นที่รู้จักของหมู่คนด้วย ดังนั้นแล้วลู่หนานเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่สุด
“เอาล่ะ ขอบคุณครับ คุณลู่” เฉินหลงพยักหน้าและขมวดคิ้วใส่ลู่หนาน “คุณลู่ ผมไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้ไหม”
“เสี่ยวเฉิน พูดมาได้เลย ฉันฟังอยู่” ลู่หนานว่าขณะที่เขามองดูรอบๆเครื่องมือ
“คุณลู่ครับคือผมคิดว่าคุณดูไม่ดีนิดหน่อย คุณควรไปโรงพยาบาลแล้วตรวจร่างกายน่าจะดีกว่านะครับ” เฉินหลงมองลู่หนานด้วยสีหน้าจริงจัง
ตั้งแต่ที่เฉินหลงได้เจอลู่หนาน เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ และเมื่อเขาตรวจสอบร่างกายของลู่หนานด้วยเครื่องตรวจสอบเมื่อครู่แล้ว ในที่สุดเขาได้พบว่าอะไรที่แปลกไป นั่นคือพลังชีวิตของเขาลดลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
อายุขัยมนุษย์เรามีจำกัด เมื่อเติบโตชีวิตของคนปกติก็จะใช้อายุขัยไปอย่างช้าๆ เมื่อใช้พลังงานชีวิตจนหมดสิ้นไป ชีวิตของคนทุกคนก็ย่อมจบลงไปด้วย
สำหรับคนทั่วไปชีวิตคงผ่านไปอย่างช้าๆและราบรื่น
ทว่าคนป่วยหรือคนที่ป่วยและไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ พลังชีวิตของคนพวกนี้จะใช้ไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นและมากขึ้น
แม้ตอนนี้อาการป่วยของลู่หนานจะยังไม่ปรากฏ แต่เครื่องมือของเฉินหลงได้บอกเขาว่าลู่หนานกำลังป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
“เสี่ยวเฉิน ถึงฉันจะแน่ใจได้ว่านายเป็นอัจฉริยะ แต่นายไม่ใช่หมอ ฉันรู้ร่างกายฉันดี สภาพยังดีอยู่มากเลย” ลู่หนานไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
เนื่องจากมะเร็งช่องท้องที่ลู่หนานเป็นยังเป็นเพียงระยะที่หนึ่งจึงยังไม่มีอาการปรากฏให้เห็น ลู่หนานจึงไม่เชื่อคำพูดของเฉินหลง
“เหลาลู่ ไม่ได้ตรวจร่างกายมาหลายปีแล้วนี่ ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ไปตรวจหน่อยล่ะ” ถึงลู่หนานจะไม่ได้สนใจร่างกายตัวเองนักแต่วานเจี่ยใส่ใจ
ภรรยาของชายแก่เป็นคู่หูคู่ชีวิตชายแก่ และเพราะชีวิตคนสูงอายุไม่ได้มีสีสันมากเหมือนชีวิตคนหนุ่มสาว ดังนั้นความสุขอย่างที่สุดคือการมีคู่ชีวิตอยู่ด้วย
“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปตรวจ” เจตนาของวานเจี่ยดีแต่ลู่หนานรู้จักร่างกายตัวเองดี วานเจี่ยจึงไม่ยอมแพ้เพียงแต่ยอมไปง่ายๆ
“งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ” เฉินหลงกล่าว
แม้เฉินหลงจะพูดเรื่องสภาพร่างกายของลู่หนานไปแล้ว แต่เขาจะยอมเชื่อต่อเมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง
“เสี่ยวเฉิน เธอยังมีแบบของเครื่องนี้อีกหรือไม่” ลู่หนานรีบกล่าว
“เราต้องขอแบบของเครื่องนี้ไว้ก่อนน่ะ”
เฉินหลงคิดว่าด้วยนิสัยของลู่หนานแล้วเขาจะไม่ใช่คนโลภที่จะขโมยความคิดคนอื่น แต่เฉินหลงไม่เชื่อใจคนเบื้องบน ดังนั้นคงดีกว่าหากเก็บแบบไว้กับตัว
จากนั้นฮ่าวฉางชิงก็ออกไปกับเฉินหลง
“เสี่ยวเฉิน พูดจริงหรือเรื่องที่เหลาลู่ป่วย” เมื่อลงไปยังชั้นล่างแล้ว ฮ่าวฉางชิงถามขึ้นมาทันที
และเนื่องฮ่าวฉางชิงได้ติดต่อกับเฉินหลงมาพักหนึ่งแล้ว เขารู้ว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา หากเขาไม่พบอะไรผิดปกติ เขาคงไม่กล่าวออกไปเช่นนั้น
“ผมเห็นว่าคุณลู่ดูไม่สบายเท่าไหร่ แต่หากอยากรู้แน่ชัดผมว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลมากกว่า” เฉินหลงไม่ยอมรับตรงๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็วินิจฉัยโรคได้เพียงแค่มอง แต่นี่อาจจะดูเกินกว่าความไป
เครื่องมือต่างๆและตัวเฉินหลงเองมักค้นพบความมหัศจรรย์จากอะไรเก่าๆ ในตอนนี้หากเขาแสดงออกไปเรื่องความสามารถทางการแพทย์ คนอื่นจะเป็นอย่าไรเล่า
เฉินหลงไม่ใช่คนที่ชอบเป็นจุดเด่น เขาจึงทิ้งที่ทางให้คนอื่น
ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงแต่เขาไม่พูดอะไร และแม้เฉินหลงจะไม่ยอมรับแต่เขารู้ว่าเฉินหลงรู้ได้จริงๆ
แน่นอนว่าเมื่อลู่หนานตรวจร่างกายในวันถัดมาเขาพบว่าเขาเป็นมะเร็งช่องท้อง แต่ยังโชคดีที่ยังเป็นเพียงระยะแรก
“เหลาลู่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณได้อย่างไร พระเจ้าช่างไม่มีเหตุผลเสียจริง” เมื่อได้ทราบเรื่องของลู่หนาน ฮ่าวฉางชิงไปยังบ้านลู่หนานทันที
“เหลาฮ่าว มาทำไมน่ะ ฉันแค่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้นเอง ไม่ได้จะตายเสียหน่อย หมอยังบอกเลยว่าให้มองโลกในแง่บวกไว้ ท่าทีทีนายทำฉันเครียดได้นะ” ลู่หนานปลอบฮ่าวฉางชิงด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อลู่หนานเหลือบไปมองตาของภรรยาเขา วานเจี่ยพยายามที่จะเค้นยิ้มออกมา แต่ฉันสัญญากับวานเจี่ยไว้แล้วว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป ฉันคงทำไม่ได้แล้ว
“ยังมีทางหน่า”