TB:บทที่ 166 พวกพระที่ไม่สมเหตุสมผล
“ได้เลยสิ ที่นี่มีห้องเยอะมาก นายพักก่อนแล้วรอให้พี่นายตื่น”
เฉินหลงมองหวังเฉียนจินและตอบตกลงอย่างง่ายดายเพราะเขาเป็นน้องของหวังเจียน
ใบหน้าของหวังเฉียนจินฉายความสุขออกมาและกล่าวกับเฉินหลง “คุณเฉิน ผมจะโทรไปบอกที่บ้านก่อนนะครับ”
เฉินหลงพยักหน้า อย่างไม่ได้ใส่ใจหวังเฉียนจินเท่าไร
หวังเฉียนจินบอกสถานการณ์ให้ที่บ้านฟัง และเน้นเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเฉินหลงและฉือเฮยหูว่าไม่ธรรมดา
หวังเฉียนจินยังได้คำสั่งจากตระกูลเขาอีกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นเพื่อนที่ดีกับเฉินหลงให้ได้ เพราะตราบใดที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจะหมายถึงโอกาสที่สกุลหวังจะยิ่งใหญ่ และหวังเฉียนจินจะเป็นคนแรกที่สกุลหวังสรรเสริญเป็นแน่
ก่อนหน้า เฉินหลงมีพลังของเขาเอง มีฝีมือทางการแพทย์ที่วิเศษ และไม่มีทางสังกัดกลุ่มใด แน่นอนว่าสกุลเก่าแก่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวงสนใจเขาอย่างมาก แม้จะที่มีเพื่อนอย่างฉือเฮยหูที่แข็งแกร่งอย่างทัดเทียมแต่โดยทั่วไปแล้วเขาดูมีค่ามากกว่า
หลังจากฟังน้องชายเขาเล่าแล้ว หวังเฟ่ยหลง หัวหน้าของสกุลหวัง เป็นคนที่มีประสิทธิภาพที่สุด และหลังจากหวังเฟ่ยหลงได้ฟังคำบอกเล่า ตาของหวังเฟ่ยหลงลอยขึ้นไปฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการที่หวังเจียนเกิดมาหรือจู่ๆเฉินหลงก็มาร่วมมือด้วย นี่เป็นลางบอกเหตุถึงสกุลหวังที่จะเติบใหญ่ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสกุลหวัง หวังเฟ่ยหลงจะไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะขยับขยายตระกูลเขาไป
“คุณเฉิน คุณช่างทรงพลัง คุณช่วยแนะนำผมได้หรือไม่ครับ” เมื่อโทรไปแล้วและได้ฟังคำสั่งจากที่บ้าน หวังเฉียนจินเดินไปหาเฉินหลงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสาม
จนถึงตอนนี้ หวังเฉียนจินยังไม่รู้ว่าสุนัขโดเบอร์แมนที่กำลังระแวงเขาอยู่สามารถบดขยี้เขาได้อย่างราบคาบ
“ฉันคงบอกไม่ได้ เราควรเรียนรู้จากกันและกัน” ตอนนี้เฉินหลงกำลังอารมณ์ดี ดังนั้นจึงพร้อมคุย
“คุณเฉิน ผมคิดกระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” โปรดแนะนำผมด้วยนะครับ”
จากนั้น หวังเฉียนจินร่ายกระบวนท่า“เฉียนจิน เฉินฉวน”
กระบวนท่า“เฉียนจิน เฉินฉวน” สร้างขึ้นมาด้วยพลังที่มีของตัวเขาเอง หมัดต่อหมัดต่อกันไปเรื่อยๆ และแม้หมัดของเขาจะมีข้อผิดพลาดบ้างแต่ก็มีความเร็วและพละกำลังมาทดแทนส่วนของหมัดที่ผิดพลาด และแม้พลังของหวังเฉียนจินจะเป็นแค่ขั้นปรมาจารย์เท่านั้นแต่ด้วยกระบวนท่านี้เขาแทบจะต้องฝึกฝนแค่ฝีมือมวย เขาสู้กับคนระดับพลังอื่นได้แน่นอน
เมื่อหวังเฉียนจินชกหมัดสุดท้ายแล้ว เขามองเฉินหลง และหวังว่าเฉินหลงจะให้คำแนะนำกับเขาได้
“ฝีมือมวยช่างแข็งแกร่ง และด้วยฝีมือมวยที่นายมี คงไม่มีปัญหาอะไรในการในสู้ใหญ่ๆ”
เฉินหลงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงจุดกับหวังเฉียนจิน “แต่ยังมีปัญหาอยู่ว่า ท่ามวยของนายแข็งแกร่งเกินไป และจะใช้พลังนายอย่างมาก หากนายเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าในเวลาสั้นๆไม่ได้แล้ว นายจะไม่เหลือพลังพอใช้ท่ามวยนี่ นั่นคือตอนที่นายจะแพ้”
เมื่อได้ยินคำของเฉินหลง หวังเฉียนจินมองเฉินหลงด้วยสายตาชื่นชมและกล่าวต่อไป
“คุณเฉิน ผมไม่รู้ว่าผมจะแก้ไขกระบวนท่ามวยนี่และกำจัดข้อผิดพลาดนี่ได้อย่างไร”
หวังเฉียนจินได้ยินข้อแนะนำนี้มาจากผู้อาวุโสในตระกูลเช่นกัน เขาจึงนับถือเฉินหลงมากไปอีก ชายคนนี้อายุเทียบเท่ากับเขา แต่พลังของเขาช่างมากมาย ทำไมจะนับถือไม่ได้กัน
“ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่ามวยหรอก ตราบใดที่นายฝึกฝนฝีมือได้ นายจะทดแทนส่วนของพลังฉีให้ยาวได้ และนายควรต้องชดเชยส่วนที่บกพร่องไป” ความชื่นชมในตัวเฉินหลงของหวังเฉียนจินช่างมีประโยชน์
คำของเฉินหลงทำให้สีหน้าหวังเฉียนจินขมขื่น คำพูดเข้าใจง่าย แต่จะทำได้อย่างไรกัน
“เฉียนจิน นายเคยได้ยินพระสวดมนต์ไหม” ได้เห็นสีหน้าอมทุกข์ของหวังเฉียนจินแล้ว เฉินหลงต้องการจะช่วยเขาให้ได้
หวังเฉียนจินส่ายหัว เขาไม่เคยจำเป็นต้องฟังพวกพระท่องพระสูตร
เฉินหลงว่าต่อด้วยรอยยิ้ม “พระที่ท่องพระสูตรในลมหายใจเดียว และยังอ่านต่อไปได้อีกหลายนาทีโดนไม่มีอะไรมาขัด นายคิดออกไหมว่าพวกพระพวกนี้เป็นอย่างไร หากนายมีฝีมือจากการฝึกฝนโดยพระพวกนั้นแล้ว ข้อบกพร่องพวกนั้นก็จะชดเชยไปได้”
เมื่อได้ฟังคำของเฉินหลงแล้ว ตาของหวังเฉียนจินพลันเป็นประกาย หากที่เฉินหลงว่าถูกต้องแล้ว การไปฝึกฝีมือกับพระเหล่านั้นคงเหมาะกับเขาจริงๆ
แต่อย่างไรเสียเมื่อคิดถึงกลุ่มพระนั้นที่ท่องพระสูตร สีหน้าหวังเฉียนจินก็ฉายความงุนงง
ในอดีต ทุกคนรู้ว่าพระพวกนี้เต็มไปด้วยตรรกะเหตุผลเป็นที่สุด แต่หลังการปรากฏตัวของพวกที่ไร้เหตุผลแล้ว พระพวกนั้นกลายมาเป็นทรงพลังมากขึ้นและมากขึ้น พวกเขาไม่ทำร้ายคนอื่น พวกเขาทำร้ายเพียงพวกเดียวกันเอง
เพราะฉะนั้น หากหวังเฉียนจินจะไปถามวิชาศิลปะการต่อสู้ด้วยตัวเอง คงไม่มีอะไรที่ดีเกิดกับเขาแน่
“อย่างไรก็เถอะ แม้ผมจะรู้ว่าควรทำอย่างไรให้ชดเชยข้อบกพร่องได้จากการฝึกกับพระเหล่านั้นแล้ว แต่ผมคงไม่ได้อะไรจากพระพวกนั้นอยู่ดี” หวังเฉียนจินกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่งั้นหรอ” เฉินหลงกล่าวอย่างประหลาดใจต่อหวังเฉียนจิน
หวังเฉียนจินบอกเฉินหลงว่าพวกนั้นไม่หลับ ไม่กินแต่พระพวกนั้นกลับแข็งแกร่ง
“ไม่หลับ ไม่กินอะไร พวกนั้นอยู่ข้างนอกตลอดเวลา มีคนกล่าวว่าพวกเขาต้องการตามหาความลับที่สูญหายในวิหารหนึ่ง และยังว่ากันอีกว่าสิ่งนั้นคือ “ระฆังทอง” ที่สร้างขึ้นโดยธรรมะ ก่อนหน้านี้พี่ฉือแสดงพลังของ “ระฆังทอง” ผมเชื่อว่าพวกนั้นจะต้องตามหาพี่ฉือ” หวังเฉียนจินว่า
“พวกพระไม่สมเหตุสมผล เรื่องนี้น่าสนใจจริง ตอนนี้ฉือเฮยหูไม่อยู่ พวกเขาคงมาหาฉันแทน ฉันจะรอพวกเขาที่นี่” เฉินหลงได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกว่ามีพระแบบนี้อยู่ด้วย เขารู้สึกสนใจพระพวกนี้ที่ไม่กินไม่นอนนี่ทันที
“คุณเฉิน ช่างทรงพลัง คุณกล้าแกร่งกว่าพวกที่ “ไม่หลับไม่นอน” แต่ควรระวังไว้ดีกว่า” หวังเฉียนจินเตือนเฉินหลง
เฉินหลงพยักหน้าและกล่าว “เฉียนจิน แม้ว่าพระจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ตระกูลที่สูงศักดิ์ของนายก็ไม่ใช่คนธรรมดานะ การพัฒนาพลังของนายสำคัญกับตระกูล หากฝีมือนี่ช่วยนายได้แล้ว ฉันเชื่อว่าตระกูลนายจะมาช่วยให้นายทำได้ และแม้ว่าที่คุยกันจะทำไม่ได้ แต่พวกเขาคงไม่ได้จะไม่ช่วยนี่ ขอเพียงรอและคอยดูว่าพวกเขาจะเต็มใจช่วยไหม”
หวังเฉียนจินไม่หวังอื่นใดจากเฉินหลง
“ไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งนั้นตลอดไปบนโลกนี้หรอก ไม่มีใครเกิดมาไร้เหตุผล แม้พวกเขาจะเปลี่ยนใจไปก็เถอะ” เฉินหลงยิ้ม
ในตอนนี้เฉินหลงหวังให้เขา “ยืนหยัด” และหาทางรู้ว่าพระพวกนี้เป็นแบบไหน
เมื่อเห็นเฉินหลงว่าดังนั้นแล้ว หวังเฉียนจินก็กล่าวไปว่าไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องนี้แล้ว เขาเปิดประเด็นสนทนาอื่นและคุยกับเฉินหลงเรื่องฝีมือการแพทย์ของเฉินหลงแทน
“คุณเฉิน มีการพูดกันว่าฝีมือการแพทย์ของคุณสามารถชุบชีวิตคนได้ และหมอจีนก่งๆหลายคนเป็นศิษย์ของคุณนี่จริงไหมครับ”
เฉินหลงประหลาดใจที่หวังเฉียนจินถาม เขามองฮัวหมิงเหรินเป็นเหมือนเด็กฝึกงาน แต่มีคนไม่มากที่รู้เรื่องนี้ พวกตระกูลเก่าแก่นี่ช่างฉลาดนัก “พวกนายทุกคนรู้ว่าฮัวหมิงเหรินเป็นศิษย์ฉันแน่ๆ ฉันรักษาคนเป็นได้ แต่หากตายแล้ว คงไม่มีทางทำได้”