บทที่ 20 หาเบาะแส
วันต่อมา
หลังรุ่งสาง ทั้ง 6 คนที่แบ่งกันเป็นสองกลุ่มแล้ว ต่างออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่เพื่อค้นหาเบาะแส
เย่ปินกับพวกมาที่บริษัทรถเมล์อีกครั้ง แต่พวกเขาสูญเสียสถานะ “ตำรวจ” ไปแล้ว ทางบริษัทรถเมล์จึงไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับรถเมล์ ‘สาย 18’ กับทั้งสามคนอีก
“ ไม่มีตำแหน่งนี่ไม่ดีเลย ต่อไปจะทำไงกันดี ?” หนิงหวารู้สึกท้อแท้เล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าประตูจะปิดใส่หน้าตั้งแต่ เริ่มต้น
เย่ปินครุ่นคิด แต่ก็หาวิธีดีๆไม่ได้เช่นกัน
ขณะที่ทั้งสองคนไม่สบายใจ ริมฝีปากของจางหลานก็แสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ปินจื่อ ฉันมีวิธี !” เนื่องจากตอนนี้ทุกคนไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เย่ปินจึงขอให้ทุกคนเปลี่ยนคำเรียกขาน
“ วิธีไหน ?” เย่ปินมองจางหลานอย่างสงสัย
จางหลานกวักมือ เรียกให้ทั้งสองคนเข้ามาฟัง
“ มาม๊า สามคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ครับ ?” หญิงวัยกลางคนที่กำลังพาเด็กชายอายุ 5-6 ขวบเดินผ่านป้ายรถเมล์ พอเด็กชายมองเห็นพวกเย่ปินทั้งสามคนกำลังแอบลับๆล่อๆอยู่ไม่ไกลจากบริษัทรถเมล์นัก เด็กชายก็ร้องถามแม่ด้วยความสงสัย
แม่ของเด็กชายหันไปมอง พอเห็นพวกเย่ปินทั้งสามคน เธอก็ตกใจรีบอุ้มเด็กชายเดินหนีจากป้ายรถเมล์อย่างรวดเร็ว
“ เฮ้ ! ดูสามคนนั้นสิ ทำเหมือนจะไปปล้นธนาคารเลย !”
“ ธนาคารอะไร ธนาคารที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่ไปสามช่วงตึก”
“ ถูกของนาย ! แล้วพวกเขาแอบทำอะไรกัน ? ปล้นบริษัทรถเมล์เหรอ ?”
เมื่อผู้คนที่ผ่านไปมามองเห็นการกระทำของพวกเย่ปินทั้งสามคน ต่างก็แสดงความสงสัยและซุบซิบกัน
ทั้งหมดนี้พวกเย่ปินทั้งสามคนไม่ได้รับรู้ ในขณะนี้เย่ปินกับหนิงหวากำลังฟังแผนการของจางหลานและคิดอย่างรอบคอบ
“ หลานเกอ นี่มันจะไม่ดีมั๊ง !” หลังจากฟังแผนการของจางหลานแล้ว เย่ปินก็ถึงกับขมวดคิ้ว
หนิงหวาก็เป็นเช่นเดียวกับเย่ปินที่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ แต่ฉันคิดได้แต่วิธีนี้เท่านั้น ถ้าพวกนายมีวิธีอื่นก็บอกมาเลย” จางหลานผายมือออก ในรูปลักษณ์ที่แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาคิดออกเพียงแค่นี้
“……” เย่ปินกับหนิงหวาเงียบไป แม้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับแผนของจางหลาน แต่พวกเขาก็คิดหาวิธีอื่นไม่ได้
“ เฮ้อ ทำไงได้ มันจำเป็นต้องทำ” เย่ปินส่ายหน้า จำเป็นต้องเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ไปจากบริษัทรถเมล์ ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็กลับมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน หนิงหวาขับรถมาหยุดอยู่หน้าบริษัทรถเมล์ จางหลานสวมหมวกทรงแหลมแบบโบราณ สวมชุดยาวลายดอกของผู้สูงอายุ มีหนวดเคราปลอมสีขาวติดอยู่ที่ปาก และถือไม้ค้ำยัน เดินกะเผลกอยู่ไม่ไกลจากบริษัทรถเมล์ ส่วนเย่ปินอยู่ในชุดปกติของเขา
“ พร้อมหรือยัง ?” ชุดหูฟังที่เสียบอยู่ที่หูของคนทั้งสามดังขึ้น ตอนนี้คนทั้งสามกำลังสื่อสารกันด้วยชุดหูฟัง
“ พร้อม !”
“ เริ่มได้ !”
เมื่อพร้อมกันแล้วทุกคนก็ปฏิบัติการตามแผน จางหลานเดินกะเผลกด้วยไม้ค้ำยัน ในเครื่องแต่งกายและการแสดงท่าทางเกินจริง ไปที่หน้าบริษัทรถเมล์ ในขณะเดียวกันหนิงหวาก็สตาร์ทรถและค่อยๆเคลื่อนไปช้าๆ จากนั้นก็เบรคและหยุดอยู่ไม่ไกลจากจางหลานนัก
“ ไกลไป ไกลไป !” จางหลานพูดใส่หูฟัง และมองไปรอบๆ พอแน่ใจว่าไม่มีใครสนใจ จางหลานก็เดินมาที่รถของหนิงหวา แล้วทำเป็นมึนงงและมองไปที่ขา จากนั้นก็ล้มลงไปนอนอยู่ข้างๆรถที่หนิงหวาจอดไว้
“ โอ๊ย ช่วยด้วย ! ฉันถูกรถชน ! ฉันถูกรถชน !” จางหลานทำเสียงแหบพร่า แสร้งทำเป็นชายชราร้องตะโกน
“ อั๊ยหยา ! เป็นอะไรหรือเปล่า !” หนิงหวาลงจากรถมองไปที่จางหลานด้วยความกังวล และเข้าไปทำเป็นช่วยเหลือจางหลาน
จางหลานยื่นมือออกมาตบไปที่มือของหนิงหวาเบาๆ “เด็กน้อย ขับรถยังไงกัน ! จะตายอยู่แล้ว ! โอ๊ย ! เอวผุๆของฉัน ! โอ๊ย ! ฉันลุกไม่ขึ้น ! อั๊ย ! ไม่มีคนสนใจเลย ไม่มีใครมาช่วยเลยเหรอ !” จางหลานทำการแสดงแสร้งกล่าวความเท็จ จนหนิงหวาที่เห็นกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“ นี่ ! จริงจังหน่อย ลงมือได้แล้ว !” จางหลานพึมพำด้วยเสียงที่มีแต่หนิงหวาเท่านั้นที่ได้ยิน
พอหนิงหวาได้ยิน เขาก็เริ่มขอโทษไม่หยุด “โอ้ คุณปู่ ขอโทษ ! ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมไม่ได้เจตนา !”
“ โอ๊ยโหยว ! ฉันไม่ไหวแล้ว ! เร็ว ! ช่วยพาฉันไปโรงพยาบาลที ! โอ้ย ! ไม่ ! ฉันลุกไม่ได้ ! รีบโทร 120 เร็ว !”
เรื่องของจางหลานสร้างความโกลาหลให้กับบริษัทรถเมล์ กลุ่มคนเริ่มมุงดูด้วยความตื่นเต้น ในช่วงเวลานี้จางหลานได้ทำการแสดงด้วยความสามารถที่โดดเด่น และส่งเสียงคร่ำครวญอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หนิงหวายิ้มอย่างขมขื่นโดยไม่ต้องใช้ทักษะการแสดงแม้แต่นิดเดียว
“ เกิดอะไรขึ้น !”
“ ดูเหมือนว่ามีคนถูกรถชน !”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนของบริษัทรถเมล์ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน
“ ไปดูกันว่าสถานการณ์เป็นไง !” รปภ . ทั้งสองคนอยากรู้อยากเห็นพอๆกัน และไม่นานก็เข้าไปร่วมกลุ่มคนมุง ในเวลาเดียวกันพนักงานในบริษัทรถเมล์หลายคนก็กำลังโผล่หัวออกจากหน้าต่างมาดูเหมือนกัน
“ โอ๊ยโหยว ! โอ๊ยโหยว !” จางหลานทำการแสดงโดยทุบพื้นเบาๆ “ปินจื่อ ลงมือได้ !” จางหลานพูดเบาๆ ส่งสัญญาณไปยังเย่ปินผ่านหูฟัง
พอเย่ปินได้ยินก็เริ่มดำเนินการทันที ในขณะที่คนอื่นๆให้ความสนใจกับจางหลานและหนิงหวา เย่ปินก็เดินเข้าไปในบริษัทรถเมล์ และเข้าไปในห้องเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพนักงานชายที่ทำงานในห้องนี้ก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
“ โอ้ เกิดอะไรขึ้น !” เย่ปินพูดอย่างคุ้นเคย แล้วรีบเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไปข้างนอก ซึ่งพนักงานชายก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ และหันมาพูดกับเย่ปิน
“ ดูเหมือนจะมีคนถูกรถชน !”
“ จริงด้วย ! มีคนตายไหม ? !”
“ ยังอยู่ตรงนั้นแหล่ะ ฟังเสียงคร่ำครวญนั่นสิ !” พนักงานชายพูดคุยกับเย่ปิน
“ เหรอ ? ขอดูด้วยสิ !” เย่ปินเดินไปหาพนักงานชาย และหยิบแฟลชไดรฟ์ USB ออกจากกระเป๋าเสียบไปที่คอมพิวเตอร์ของพนักงานชายอย่างรวดเร็ว หน้าจอสีดำปรากฏขึ้นทันที
“ โอ๊ยโหยว ! โอ๊ยโหยว !” เพื่อให้ความสะดวกกับเย่ปิน จางหลานรีบแสดงอีกครั้ง
“ อั๊ยหยา ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ! เสียงของคุณปู่คนนี้ ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน !”
“ ไม่นะ ! มันรู้สึกหลอกๆนิดหน่อยนะ !” เย่ปินตอบกลับ
เวลาผ่านไปประมาณสองนาที หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง เย่ปินรีบดึงแฟลชไดรฟ์ USB กลับทันที และรีบออกจากห้องเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทรถเมล์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับการแสดงราวกับพายุเฮอริเคนของจางหลาน
“ เอ๋ ? เมื่อกี้มันใครกัน ?” หลังจากเย่ปินจากไป พนักงานชายก็เพิ่งตระหนักว่าเมื่อครู่มีบางคนเข้ามา
“ สำเร็จแล้ว ! ถอนตัวได้ !” หลังจากนั้นเย่ปินก็เดินออกจากบริษัทรถเมล์อย่างสบายๆ และเดินห่างออกไปในที่สุด
พอได้ยินคำพูดของเย่ปิน จางหลานก็ลุกขึ้นทันที และเดินไม่กี่ก้าวไปขึ้นรถของหนิงหวา จากนั้นทั้งคู่ก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงฝูงชนที่ยืนมองอย่างสับสน
“……”
“ หมายความว่าไงกันเนี่ย ?”
“ ทำหนังกันเหรอ ?”
“ ล้อเล่นกันเหรอ ?”
“ ไม่รู้ ! ใครก็ได้ ช่วยอธิบายที ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !” ฝูงชนที่ร่วมมุงดูความตื่นเต้นมองหน้ากัน และไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น