บทที่ 19 ความรับผิดชอบที่ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากตัดสินใจแล้ว เย่ปินก็เข้าไปพบ เลี่ยวมู่หยาง ผู้บังคับบัญชาของเขา
“ ตามคำกล่าวของคุณ คดีการหายตัวไปและคดีฆาตกรรมของเด็กชาย กับคดีศพในแท่งปูน ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของภูติผีปีศาจใช่ไหม ?” เลี่ยวมู่หยางจ้องหน้าเย่ปินด้วยสีหน้าเย็นชา
เย่ปินพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น “จากการสืบสวนของเราจนถึงปัจจุบัน เบาะแสทั้งหมดชี้ไปทางเรื่องเหนือธรรมชาติ”
“ ผมไม่สนว่าสิ่งนี้จะเหนือธรรมชาติหรือไม่ คุณจะให้ผมบอกกับพ่อแม่ของเด็กที่หายตัวไปกับพ่อแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรมว่ายังไง ? บอกว่าลูกของพวกเขาถูกภูติผีฆ่าตายงั้นรึ ?” เลี่ยวมู่หยางกล่าวอย่างเย็นชา
เย่ปินเงียบ อันที่จริง นี่เป็นข้อกังวลใหญ่ที่สุดของเขา ถ้าเขาบอกพ่อแม่ของเด็กทั้งสองคนเช่นนี้ อันดับแรกจะทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคือง ต่อมาก็จะเกิดความวุ่นวายในสังคม
“ เย่ปิน คุณควรเข้าใจ ว่าต่อให้สิ่งที่คุณพูดจะเป็นความจริง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โลกต้องการ และถ้าหากคุณเผยแพร่สิ่งที่คุณบอกผมต่อสาธารณะ รูปแบบของโลกก็จะเปลี่ยนไป ในฐานะตำรวจ เราต้องป้องกันไม่ให้โลกปั่นป่วน” คำพูดของเลี่ยวมู่หยางเผยให้เห็นการหมดสิ้นทางเลือก
“ หัวหน้าเลี่ยว ( ผู้แปล – เป็นผู้บังคับบัญชาสถานีตำรวจ แต่ไม่ได้ระบุยศ จึงขอใช้คำนี้แทน ) ผมเข้าใจแล้วครับ” เย่ปินไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลังและเดินจากไป
ภายในวันนั้น เย่ปิน จางหลาน เฉินฮุ่ย เหล่าสวี จ้าวเจิ้น และหนิงหวา ต่างก็ยื่นใบลาออก ( ปล . ไม่รู้ว่าเป็นการลาออกจากตำรวจ หรือเป็นการลาออกจากทีมสืบสวน ) ซึ่งการลาออกของทั้ง 6 คนในครั้งนี้ ทำให้การสืบสวนดำเนินต่อไปได้
เลี่ยวมู่หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานมองดูใบลาออกที่กระจายอยู่บนโต๊ะอย่างไตร่ตรอง อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่า คดีนี้เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่เพื่อปกป้องโลกให้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ เลี่ยวมู่หยางทำได้เพียงเลือกที่จะไม่เชื่อเท่านั้น
“ หัวหน้าเย่ จะสืบคดีต่อไหม ?” หลังจากพวกเย่ปินยื่นใบลาออก พวกเขาก็ออกจากสถานีตำรวจ
เย่ปินเงียบไป ในเมื่อทั้ง 6 คนยื่นใบลาออกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะดำเนินการสืบสวนต่อ
“ หยุดตรงนี้ เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว” จางหลานแหงนหน้ามองฟ้า รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ ไม่สืบต่อก็ไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก งั้นพวกเราก็หยุดตรงนี้เถอะ” เฉินฮุ่ยแสดงความคิดเห็นเช่นเดียวกับจางหลาน
“ บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องค้นหาความจริง บางเรื่องต่อให้รู้ความจริงแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ ?” เหล่าสวีถอนหายใจและส่ายหน้า
พอได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูด เย่ปินก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเวลานี้เขาก็กำลังตกอยู่ในความสับสนเช่นกัน
“ ทำไมพวกเราถึงได้มาเป็นตำรวจ ?” ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสน หนิงหวาที่ไม่เคยพูดอะไรเลย ก็เอ่ยถามขึ้น
พอได้ยินทุกคนก็ต่างตกตะลึงและหันหน้าไปมองหนิงหวา
“ ความปรารถนาในวัยเด็กของฉัน คือการเป็นหมอ” หนิงหวาไม่สนใจทุกคน เริ่มบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง
“ ตอนที่ฉันอายุ 19 แม่ของฉันไปเจอโจรวิ่งราวกระเป๋า ตอนนั้นในกระเป๋ามีเงินอยู่ 30,000 หยวน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเรียนมหาวิทยาลัยของฉัน เพื่อเงินจำนวนนี้แม่จึงจับกระเป๋าไว้แน่น ระหว่างยื้อยุดกัน โจรได้ใช้มีดแทงแม่ของฉันไปสองแผล สุดท้ายกระเป๋าก็ไม่ได้ถูกกระชากเอาไป แต่แม่ของฉัน…” หนิงหวาพูดพลางน้ำตาไหล
“ ในโรงพยาบาล ฉันมองแม่ที่นอนอยู่บนเตียง คำพูดสุดท้ายของแม่ ฉันยังจำมันได้ดี” หนิงหวาถอนหายใจ นึกถึงฉากนั้นในใจ
“ ลูกแม่ ค่าเล่าเรียนของลูกยังอยู่ไหม ?”
“ ยังอยู่”
……
“ ถ้าเราละทิ้งหน้าที่ แล้วคนที่ได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร ?” เมื่อหนิงหวาพูดจบ ทุกคนก็เงียบไป
“ ไม่ว่าเราจะเป็นตำรวจหรือไม่ก็ตาม ตั้งแต่เรามาเป็นตำรวจความรับผิดชอบบนบ่าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง” เย่ปินตบบ่าหนิงหวาเบาๆ และมองไปที่ทุกคน
“ ฉันนะไม่เป็นไรหรอก แค่ติดตามนายไปก็พอ” จางหลานกางมือออกและยิ้ม
เฉินฮุ่ยไม่พูด แต่เดินไปยืนอยู่ข้างๆจางหลาน
“ เหล่าสวี อายุก็มากแล้ว มาทำเป็นอายอยู่ทำไม รุ่นน้องเขาเลือกกันหมดแล้ว นายล่ะ ?”
รอยยิ้มน่าอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าสวี เขายักไหล่และพูดว่า “ฉันมีทางเลือกเหรอ ?”
ในที่สุด ทุกคนก็บรรลุข้อตกลง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นตำรวจหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่พวกเขามาเป็นตำรวจความรับผิดชอบที่แบกรับไว้บนบ่าจะไม่มีวันหายไป
ทั้งหกคนตัดสินใจมาที่บ้านของเฉินฮุ่ยที่อยู่คนเดียว
สภาพครอบครัวของเฉินฮุ่ยนั้นดีมาก บ้านในเขตเมืองที่คึกคักของเขามีขนาดกว่า 150 ตารางเมตร ด้วยความที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นสำหรับการสืบสวนคราวนี้ เฉินฮุ่ยจึงริเริ่มจัดตั้งบ้านของตัวเองเป็นวอร์รูมชั่วคราว
“ ตามเบาะแสที่เรามีตอนนี้ ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเริ่มจาก 2 จุด จุดแรก รถเมล์ผี ‘สาย 18’ ซึ่งเป็นแนวทางสืบสวนที่อันตรายมาก ยิ่งกว่านั้น เบาะแสที่สำคัญที่สุด 2 ชิ้น หนึ่งคือบันทึกการเดินรถ ‘สาย 18’ ของบริษัทรถเมล์ กับ โทรศัพท์มือถือที่ถูกซุนสี่เทาหยิบไป ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดได้สูญหายไปแล้ว ดังนั้นเราต้องพักการสืบสวนเรื่องรถเมล์ ‘สาย 18’ ไว้ก่อน แล้วมุ่งเน้นพลังทั้งหมดไปที่ ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’”
เย่ปินหยิบปากกาขึ้นเขียนอธิบายสถานการณ์ที่ทุกคนเผชิญมาบนกระดานไวท์บอร์ท
“ ในคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย เรามีปัญหา 2 เรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ ชาวบ้านกับสมาชิกในทีมสืบสวนที่หายตัวไป” จางหลานกล่าวถึงปัญหาที่กำลังเผชิญในการสืบสวนคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’
“ ถ้าเราต้องการไขคดี เราต้องสืบสวนคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยเมื่อ 5 ปีก่อน แต่แฟ้มข้อมูลทั้งหมดของคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย ถูกทำลายไปแล้ว หากเราต้องการสืบสวนคดีนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ ถึงจะมีต้าส่าเป็นคนวงใน แต่สำหรับคดีนี้ เขารู้เพียงว่ามีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีเบาะแสอย่างอื่น ตอนนี้พวกเรามีเพียง 6 คน และไม่มีสิทธิพิเศษในสถานีอีก หากให้ทำการสืบสวนคดีเมื่อ 5 ปีก่อน มันก็ยากเกินไปจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้”
“ ใช่ ! หากปราศจากความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ถึงจะมีเบาะแสก็ยากที่จะรู้”
มีการถกเถียงกันมากมาย จนมุมมองของสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเลวร้ายลง ทั้งไม่มีจุดเริ่มต้นในการสืบคดี หากจำเป็นต้องทำการสืบสวน หรือ ข้อจำกัดต่างๆที่ต้องเผชิญเมื่อเริ่มการสืบสวน
“ สำหรับเรื่องผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องห่วง ฉันหาคนมาช่วยได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องหาเบาะแส ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ผี ‘สาย 18’ หรือว่า ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ ถ้าเราได้เบาะแสมา เราก็สามารถสืบต่อไปได้”
“ พวกเราน่าจะแบ่งกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกสืบคดีรถเมล์ ‘สาย 18’ อีกกลุ่มสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’” เหล่าสวีเสนอให้แบ่งการสืบสวนออกเป็น 2 กลุ่ม
พอได้ยินคำแนะนำของเหล่าสวี ทุกคนก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ เราจะใช้วิธีจับสลากว่าใครจะสืบคดีรถเมล์ผี ‘สาย 18’ และใครจะสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’”
“ ดี”
ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง สุดท้ายพวกเขาก็จัดกลุ่มกันตามสลากที่จับได้
เย่ปิน จางหลาน และหนิงหวา รับผิดชอบสืบคดี รถเมล์ ‘สาย 18’ ในขณะที่ เฉินฮุ่ย เหล่าสวี และจ้าวเจิ้น รับผิดชอบสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’