บทที่ 14 ศพในแท่นปูน
“ หัว…หัวหน้าเย่ ถ้าดูไม่ผิด ข้าง…ข้างในนั้น เป็น… คน !” จางหลานพูดเสียงสั่น ไฟฉายในมือร่วงหล่นลงพื้น
เย่ปินก็หน้าซีดเช่นกัน จากรูเล็กๆบนแท่นปูน เขามองเห็นร่างหนึ่งขดตัวอยู่
“ น่าจะใช่” เย่ปินพูดด้วยน้ำเสียงสงบ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่ในแท่นปูนที่มีขนาดเพียง 1 ตารางเมตร
ในที่สุดเจ้าหน้าที่นิติเวชก็มาถึง และด้านบนของแท่นปูนก็ถูกเปิดออกได้สำเร็จ แล้วร่างคนด้านในก็ถูกยกออกมา
“ คาดว่าน่าจะเสียชีวิตนานแล้ว” หลังจากการประเมินทางนิติเวช ผู้ตายได้เสียชีวิตมานานกว่า 20 วันแล้ว
“ อืม” เย่ปินพยักหน้า สำหรับเวลาตายนั้นตรงกับที่เขาได้ประมาณไว้
“ แล้ว สาเหตุการตายล่ะ ?”
“ น่าจะเป็นการขาดอากาศหายใจ”
“ ขาดอากาศ” เย่ปินหน้าซีดทันทีที่ได้ยิน “นี่หมายความว่า ผู้ตายยังไม่เสียชีวิตตอนที่ถูกฝังไว้ในแท่นปูน แต่หลังจากนั้นก็เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ”
“ นี่เป็นผลชันสูตรเบื้องต้น” เจ้าหน้าที่นิติเวชพยักหน้า
“ มีอะไรอีกไหมครับ” หลังจากสอบถามอีกสักพัก เจ้าหน้าที่นิติเวชก็นำศพกลับไปชันสูตรในขั้นตอนต่อไป
หลังจากนั้น เย่ปินและคนอื่นๆก็ได้ดำเนินการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างเข้มงวด แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าคดีนี้ต้องเป็นคดีฆาตกรรมแน่ๆ แต่หลังจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวด พวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆที่เป็นประโยชน์เลย
“ เพื่อนบ้านยืนยันว่า ผู้ตายคือ ซุนสี่เทา เจ้าของบ้านหลังนี้” ระหว่างคนอื่นตรวจสอบที่เกิดเหตุ เฉินฮุ่ยได้ถือรูปถ่ายของผู้ตายไปสอบถามกับคนที่อาศัยอยู่แถวนี้ และในที่สุดก็ได้รับคำยืนยันว่า ศพในแท่นปูน ก็คือซุนสี่เทา นั่นเอง
“ อืม เข้าใจแล้ว” เย่ปินพยักหน้า
“ ที่เกิดเหตุเป็นไงบ้าง ? นายพบเบาะแสอะไรบ้างไหม ?”
เย่ปินส่ายหน้า ไม่ว่าจะทำการตรวจสอบสักกี่ครั้ง เขาก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆเลย “ไม่พบอะไรเลย หน้าต่างถูกปิด ประตูถูกล็อค มันเป็นห้องปิดตาย ฆาตกรก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”
“ หรือว่าฆาตกรจะไม่ใช่มนุษย์ ?” เฉินฮุ่ยกล่าว จากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่พบมาก่อนหน้านี้ ทำให้เฉินฮุ่ยคิดแบบนี้เป็นอย่างแรก แทนที่จะเป็นเหตุฆาตกรรมอำพรางที่มนุษย์สร้างขึ้น
เย่ปินไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้เช่นกัน เขาเพียงพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ว่าฆาตกรจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม ถ้าหากยังไม่มีหลักฐาน ก็อย่าด่วนสรุป”
“ หัวหน้าเย่ ฉันคิดออกแล้ว บางทีฉันอาจมีวิธีหาตัวฆาตกร” จางหลานที่ยืนนิ่งเหมือนกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆก็พูดขึ้นมา
“ วิธีอะไร ?” เย่ปินกับเฉินฮุ่ยหันไปมองจางหลานพร้อมกัน
จางหลานหยิบนามบัตร ‘พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ ลู่เฉียนฉิง’ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ ?” เย่ปินจำไม่ได้ว่าลู่เฉียงฉิงเป็นใคร เลยทำให้เขารู้สึกอึ้งเมื่อเห็นคำว่า พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์บนนามบัตร “หลานเกอ นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นตลก” เย่ปินคิดว่าจางหลานกำลังเล่นตลกกับเขา
“ ปินจื่อ นี่คือนักพรตน้อยที่ช่วยนายตอนนั้น” เฉินฮุ่ยเตือนความจำ
“ โอ้ ! เขานั่นเอง !” พอได้ยินเฉินฮุ่ยเตือน เย่ปินก็นึกขึ้นได้ทันที “ไม่ มันอันตรายเกินไป” เย่ปินปฏิเสธความคิดของจางหลานตรงๆ เขาไม่ต้องการให้ลู่เฉียนฉิงต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตราย
“ เราไม่ต้องให้เขามายุ่งเกี่ยวกับคดี แค่ให้เขามาดูว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติหรือไม่เท่านั้น แค่นั้นคงไม่ทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายหรอก” จางหลานอธิบาย เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการให้ลู่เฉียนฉิงเกี่ยวข้องกับคดีมากเกินไป เขาแค่อยากรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรือไม่เท่านั้น
“ ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันเองก็คิดว่ามันคงไม่เป็นไร แค่ขอให้เด็กนั่นมายืนยันเท่านั้นว่า มีผีหรือไม่ เราจะได้แยกแยะประเด็นและทิศทางการสืบสวนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” เฉินฮุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยกับความคิดของจางหลาน
เย่ปินเงียบ แม้เขาจะเห็นด้วยกับความคิดของจางหลาน แต่เขาก็ยังกลัวว่าลู่เฉียนฉินอาจตกอยู่ในอันตราย
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เย่ปินก็ถอนหายใจเบาๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากลู่เฉียนฉิง
“ ไม่เป็นไรที่เราจะขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ เราต้องปิดบังเรื่องคดีไว้ให้ดี”
“ ไม่มีปัญหา” จางหลานพยักหน้า ต่อให้เย่ปินไม่พูด เขาก็จะทำแบบนั้น เพราะถ้าหากลู่เฉียนฉิงรู้เรื่องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
“ ฮัลโหล สวัสดี ลู่เฉียนฉิงใช่ไหม ?” เนื่องจากเวลาในการสืบสวนคดีที่ถูกกำหนดไว้กำลังใกล้จะหมด หลังจากตัดสินใจกันแล้ว จางหลานก็รีบโทรติดต่อลู่เฉียนฉิงทันที
“ สวัสดีครับ ผมลู่เฉียนฉิง คุณต้องการดูบ้านหรือซื้อบ้านครับ ?”
“……” คำพูดแบบนักขายมืออาชีพของลู่เฉียนฉิง ทำให้จางหลานถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ และแทบจะพูดต่อไม่ออก
“ เอ่อ คือ ผมชื่อจางหลาน คนที่เคยเชิญคุณมาช่วยเพื่อนก่อนหน้านี้ไง”
“ โอ้ ! โอ้ ! โอ้ !” ลู่เฉียนฉิงร้องออกมาเหมือนจะคิดออก แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้คนฟังหมดหนทางจริงๆ “เอ่อ คุณเป็นใคร ผมลืมไปแล้ว”
“……” จางหลานอึ้งไปอีกครั้ง ถ้าเลือกได้ เขาคงเลือกวางสายไปแล้ว
“ เมื่อวันก่อน คุณไปโรงพยาบาลกับเรา และเราก็ทำให้ชุดสูทของคุณขาด” จางหลานกล่าวถึงบางสิ่งที่ยากจะลืมเลือน
พอได้ยินจางหลานพูดแบบนั้น ทางปลายสายก็เงียบไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็เหมือนกับว่าลู่เฉียนฉิงจะเพิ่งนึกขึ้นได้ “โอ้ ! คุณนั่นเอง มีอะไรเหรอครับ ?”
“ เราต้องการให้คุณช่วยอะไรหน่อย” จางหลานพูดตรงๆ
“ ไม่ไป ! ช่วงนี้ผมยุ่งมาก ไม่สามารถช่วยเหลือได้ครับ !” ลู่เฉียนฉิงปฏิเสธตรงๆ อย่างไม่ให้โอกาสจางหลานโต้แย้ง
“ ผมต้องการซื้อบ้าน”
“ คุณอยู่ที่ไหน ? บ่ายนี้ว่างไหม ? มาเจอกันหน่อย ผมมีบ้านดีๆมากมายให้คุณเลือก” เมื่อได้ยินจางหลานบอกว่าจะซื้อบ้าน ทัศนคติของลู่เฉียนฉิงก็เปลี่ยนไปทันที
“ สี่โมงเย็น บ้านหลิวหลิน” ( ผู้แปล – น่าจะเป็นชื่อชุมชนที่พักอาศัย )
“ ไม่มีปัญหา ไม่เจอไม่เลิกรา”
หลังจากวางสาย จางหลานก็ถอนหายใจอย่างช่วยอะไรไม่ได้ “เด็กคนนี้ เหลือเกินจริงๆ !”
“ คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ง่ายเลย !” เฉินฮุ่ยถอนหายใจ
พอใกล้ถึงเวลานัดหมาย พวกเย่ปินทั้งสามคนก็ออกมารออยู่ด้านนอกบ้านหลิวหลิน เพื่อรอการมาถึงของลู่เฉียนฉิง
ประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ชายในชุดสูทก็มาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ มาแล้ว !” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ เด็กคนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดอีกเหรอเนี่ย ?” พอลู่เฉียนฉิงเข้ามาใกล้ จางหลานก็ประหลาดใจเมื่อพบว่า มีรอยเย็บบนไหล่ทั้งสองข้างของชุดสูทของลู่เฉียนฉิง เนื่องจากแขนเสื้อเคยถูกฉีกขาดอย่างรุนแรง ตะเข็บแขนเสื้อที่เย็บไว้จึงไม่ราบเรียบนัก
“ อ๊ะ ! มาเร็วกันจัง !” ลู่เฉียนฉิงรีบฉีกยิ้ม เมื่อเห็นพวกจางหลานทั้งสามคน
“ คุณก็มาเร็วเหมือนกัน !” จางหลานยิ้มและยื่นมือขวาออกไปเพื่อจับมือกับลู่เฉียนฉิง
“ ขอบคุณเสี่ยวเกอ ที่ช่วยผมไว้คราวก่อน” เย่ปินกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“ เรื่องเล็กน้อยครับ ตอนนี้อาการไม่รุนแรงแล้วใช่ไหมครับ ?” ลู่เฉียนฉิงกล่าวอย่างเอาใจใส่
“ ไม่เป็นไรแล้วครับ” เย่ปินยิ้ม ด้วยความช่วยเหลือจากลู่เฉียนฉิง อาการของเขาไม่ได้ร้ายแรงอีกต่อไป
“ งั้นก็ดีแล้ว” ลู่เฉียนฉิงพยักหน้า จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็สดใสมากขึ้น “ใครครับ ที่ต้องการซื้อบ้าน ?” ขณะที่พูดดวงตาของเขาก็จับจ้องไปยังคนทั้งสาม
“……” พวกเย่ปินทั้งสามคนถึงกับพูดไม่ออก และมีสีหน้าดิ่งลงทันที