บทที่ 11 ความรับผิดชอบ
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล จางหลานกับเฉินฮุ่ยก็รีบดึงตัวลู่เฉียนฉิงไปยังห้องที่เย่ปินนอนรักษาตัวอยู่ทันที
“ พวกคุณ ! พวกคุณ ! เสื้อผม ! เสื้อผม ! พี่ชาย ! เสื้อผมเสื้อผม !” เนื่องจากจางหลานกับเฉินฮุ่ยกังวลมากเกินไป พวกเขาแต่ละคนใช้มือคนละข้างจับเสื้อผ้าของลู่เฉียนฉินแน่น แล้วลากเขาไปข้างหน้า โดยไม่สนใจกับเสียงทักท้วง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เสียงดังแควก ชุดสูทเรียบร้อยของลู่เฉียนฉิงถูกดึงจนขาดเป็นรอยขนาดใหญ่ทันที
“……” เมื่อได้ยินเสียงผ้าขาดดังขึ้น ทั้งจางหลานกับเฉินฮุ่ยก็ต่างตกตะลึง และพอได้เห็นแขนเสื้อสูทด้านซ้ายของลู่เฉียนฉิงถูกดึงจนเกือบขาด ทั้งคู่ก็แสดงรอยยิ้มเจื่อนๆออกมา
“ เอ่อ เสี่ยวเกอ ( พี่ชายหรือน้องชายคนเล็ก ) นี่…”
ลู่เฉียนฉิงร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เขามองดูชุดสูทที่ขาดด้วยหัวใจที่แทบแตกสลาย “พี่ใหญ่ทั้งสอง พวกคุณรู้ไหมว่ากว่าผมจะซื้อชุดสูทนี่มาได้มันยากลำบากแค่ไหน รู้ไหมว่าชุดนี้มันราคาเท่าไหร่ ?”
“ เสี่ยวเกอ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าคุณจะซื้อชุดนี้มาแพงแค่ไหนก็ตาม ผมจะจ่ายเพิ่มให้เป็นสองเท่า !” จางหลานพูดตรงๆ เขารู้แล้วว่า อีกฝ่ายต้องการเงิน
เมื่อได้ยินว่าจะได้เงินค่าเสื้อเป็นสองเท่า สีหน้าของลู่เฉียนฉิงก็สงบลงทันที “พี่ใหญ่ทั้งสอง เพื่อนพวกคุณอยู่ที่ไหน การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด !”
“……” ทั้งจางหลานและเฉินฮุ่ยพูดอะไรไม่ออก พวกเขาคาดไม่ถึงกับทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของลู่เฉียนฉิง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่เวลาคิดอะไรมาก รีบลากลู่เฉียนฉิงเดินต่อไป
ในที่สุดก็มาถึงห้องพักผู้ป่วยของเย่ปิน และแขนเสื้อทั้งสองข้างของชุดสูทของลู่เฉียนฉิงก็ถูกฉีกขาดออกจากไหล่ หมดสภาพไปโดยสมบูรณ์
“ ลู่เสี่ยวเกอ ชุดสูทของคุณ คุณภาพไม่ดีเลย !” เมื่อมองดูชุดสูทที่กลายสภาพเป็นชุดลำลอง จางหลานก็พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
ลู่เฉียนฉิงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็หันไปมองเย่ปินที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
ในตอนนี้เย่ปินได้ถูกฉีดยาระงับประสาทไปอีกครั้งแล้ว และกำลังตกอยู่ในอาการเซื่องซึม
“ อาการของเขาแย่มาก !” สีหน้าของลู่เฉียนฉิง เปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเย่ปิน
พอได้ยินคำพูดของลู่เฉียนฉิง ทั้งจางหลานและเฉินฮุ่ยที่กำลังเป็นกังวล ก็รีบถามขึ้นพร้อมกันว่า
“ ลู่เสี่ยวเกอ คุณรักษาเขาได้ไหม ?”
ลู่เฉียนฉิงจ้องมองเย่ปินและนิ่งคิด วินาทีต่อมาเขาก็หยิบกระดาษยันต์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เสกคาถาพึมพำ แล้วแปะกระดาษยันต์ไปที่หน้าผากของเย่ปิน
ทันทีที่กระดาษยันต์แปะเข้าที่หน้าผากของเย่ปิน มันก็เปลี่ยนเป็นสีดำราวกับแปดเปื้อนสิ่งปฏิกูลทันที
“ นี่ !” พอเห็นดังนั้น จางหลานกับเฉินฮุ่ยก็ต่างอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
ลู่เฉียนฉิงมองดูกระดาษยันต์สีดำบนหน้าผากของเย่ปินอย่างใจเย็นและส่ายหน้าเล็กน้อย
พอเห็นลู่เฉียนฉิงส่ายหน้า จางหลานกับเฉินฮุ่ยก็รีบก้าวเข้าไปถามอาการของเย่ปินทันที
“ ลู่เสี่ยวเกอ มีปัญหาอะไรไหม ?”
“ พวกคุณไปที่ไหนกันมา วิญญาณร้ายที่คุกคามเขาแข็งแกร่งและน่ากลัวมากจริงๆ” ลู่เฉียนฉิงกล่าวพร้อมกับจ้องมองจางหลานกับเฉินฮุ่ย
ทั้งคู่เงียบ พลางคิดในใจว่า พวกเขาควรบอกลู่เฉียนฉิงดีหรือไม่
เมื่อเห็นความลำบากใจของคนทั้งคู่ ลู่เฉียนฉิงก็ยิ้มออกมา “พวกคุณไม่ต้องกังวล ผมแค่ถามเท่านั้น เพื่อนของคุณสบายดี แต่การมีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้ในร่างกาย แสดงให้เห็นว่าสถานที่ที่พวกคุณไปนั้นมันอันตรายมาก ผมขอแนะนำว่าในอนาคตอย่าไปเหยียบที่นั่นอีก” พูดจบ ลู่เฉียนฉิงก็หยิบกระดาษยันต์ปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้จางหลาน “แบ่งใช้ 6 วัน ทุกๆวัน ตอนเที่ยง วันที่มีพลังหยางเข้มข้นที่สุด ให้แปะมันไว้ที่หน้าผากของเขา ในวันที่ 7 วิญญาณชั่วร้ายในร่างของเขาก็จะหายไป”
“ เจ็ดวัน ! แล้วในระหว่างนี้เขาก็จะยังไม่ได้สติ งั้นเหรอ?” ผู้บังคับบัญชา ได้ให้เวลาเย่ปิน 1 อาทิตย์ เพื่อหาเบาะแสคดีเด็กหาย แต่ตอนนี้ เย่ปินต้องนอนไม่ได้สติเป็นเวลาถึง 7 วัน ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสายเกินไป
“ วิญญาณชั่วร้ายในร่างของเขาถูกยันต์ของผมควบคุมไว้แล้ว แต่ทำไมเขายังไม่ตื่นนั้น ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ” ลู่เฉียนฉิงกล่าวด้วยสีหน้างุนงง
“ เขาตื่นไม่ได้แน่ เพราะเขาโดนวางยาอยู่” ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงง หมอคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พอเขาเห็นยันต์สีดำบนหน้าผากของเย่ปิน เขาก็หันมามองคนทั้งสามอย่างระมัดระวัง “พวกคุณสามคนเป็นใคร นี่มันอะไรกัน ! ทำไมถึงเอาของแปลกๆนี่มาแปะไว้ บนตัวคนไข้ของผม ระวังเถอะ ผมจะให้รปภ.มาไล่พวกคุณออกไป” หมอตะโกนพร้อมกับดึงกระดาษยันต์บนหน้าผากของเย่ปินออก
“ เฮ้ !” พอจางหลานเห็นว่าอีกฝ่ายดึงกระดาษยันต์ออก ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ถูกลู่เฉียนฉิงใช้มือดึงห้ามไว้
หลังจากหมอออกไปแล้ว ลู่เฉียนฉิงก็พูดขึ้นว่า “มีคนไม่มากในโลกนี้ที่เชื่อเรื่องภูติผีและเทพเจ้าอย่างแท้จริง และมีคนเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่แบกรับความรับผิดชอบในการรักษาความสงบสุขของโลก ผมอยากให้คำแนะนำกับพวกคุณว่า ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครหรือกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภูติผีหรือเทพเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย” คำเตือนของลู่เฉียนฉิงดูจริงจังมาก ไม่เหมือนเด็กแก่แดดก่อนหน้านี้เลย แต่มันดูเหมือนคำกล่าวของปรมาจารย์อย่างแท้จริง
จางหลานกับเฉินฮุ่ยเงียบไป ทั้งสองคนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้
“ โอ้ ! ใช่แล้ว ! สูทของผมราคา 476 หยวน 5 เหมา พวกคุณบอกว่าจะจ่ายให้สองเท่า เดี๋ยวขอผมคำนวณก่อน” ตอนนี้ลู่เฉียนฉิงได้เปลี่ยนจากปรมาจารย์กลายเป็นผีโลภมากไปแล้ว เขาหยิบมือถือออกมาจิ้มคิดเลขอย่างเอาจริงเอาจัง
“ ไม่ต้องคิด 983 หยวน” จางหลานพูดด้วยสีหน้าหมดหนทาง
“ เหอ เหอ” ลู่เฉียนฉิงเกาหัว “งั้นผมคิดแค่ 980 หยวน เงินสดหรือโอน ? วีแชทหรือเอรี่เพย์ ?” ใบหน้าของลู่เฉียนฉิงแสดงรอยยิ้มสดใสเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก ซึ่งแตกต่างกันมากกับเมื่อ ครู่นี้ เหมือนเป็นคนละคน
สุดท้ายจางหลานก็โอนเงินให้ลู่เฉียนฉิงไป 1,000 หยวน ก่อนเขาจะจากไปอย่างมีความสุขก็ได้ทิ้งนามบัตรไว้ให้กับจางหลาน
“ พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ ลู่เฉียนฉิง”
“ เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะกระดาษยันต์ของเขาใช้ได้ผลล่ะก็ ฉันคงคิดว่าเขาเป็นคนหลอกลวงจริงๆ” เฉินฮุ่ยยิ้มอย่างขมขื่น
จางหลานพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้ในใจของเขากำลังคิดถึงสิ่งที่ลู่เฉียงฉิงพูด
“ เฉินฮุ่ย นายคิดว่าเราไม่ควรสืบสวนเรื่องนี้ต่อไปจริงๆเหรอ” จางหลานมองไปยังเย่ปินที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับความคิดมากมายในหัว
เฉินฮุ่ยก้าวเข้าไปตบไหล่ของจางหลานเบาๆ “เขาพูดถูก แต่พวกเราไม่ใช่กำลังแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องโลกอยู่หรือ ?”
พอได้ยินคำพูดของเฉินฮุ่ย จางหลานก็ตระหนักขึ้นมาได้ และหัวเราะกับตัวเอง “ใช่ ฉันลืมไป ว่าพวกเรากำลังแบกรับความรับผิดชอบนี้อยู่”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่ปินก็ตื่นขึ้น แต่ก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“ เด็กหนุ่มนักพรต ?” เย่ปินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่จางหลานกับเฉินฮุ่ยบอกเล่าเกี่ยวกับลู่เฉียงฉิงว่าอีกฝ่ายแม้จะยังอายุน้อยแต่ก็เก่งกาจมาก
“ พูดถึงเรื่องนี้ ปินจื่อ เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ ? ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ !” เมื่อคิดถึงอาการของเย่ปินก่อนหน้านี้ เฉินฮุ่ยก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
พอได้ยินคำถามของเฉินฮุ่ย สีหน้าของเย่ปินก็ดิ่งลงทันที เขายังจำฉากนั้นได้ขึ้นใจ จนถึงตอนนี้เย่ปินยังรู้สึกถึงความสยองขวัญที่กัดกินเขาได้
“ ในรถเมล์คันนั้น มีหัวที่ขาดกำลังจ้องมองมาที่ฉัน”
“ ขาด…หัวที่ขาด จ้อง ? จ้องมาที่นาย !” จางหลานกับเฉินฮุ่ยโพล่งออกมา พร้อมกับเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก เมื่อพวกเขาได้ยินก็นึกรู้ได้ทันทีว่าฉากที่เย่ปินได้เห็นเป็นการส่วนตัวนั้น มันน่ากลัวมากขนาดไหน